สัญญาเลขท่ี RDC5810002
สัญญาเลขท่ี RDC5810002
รายงานวิจัยฉบับxxxxxxx
โครงการ
“การเมืองคนดี”: ความคิด ปฏิบัตการ และอตลักษณ์ทางการเมืองของผู้สนับสนุน
“ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย”
(“Good Man’s Politics”: Political Thoughts, Practices and Identities of the “Change Thailand Movement” Supporters)
อxxxx xxxxxxxxxxx และxxxxxxx อุณโณ
สนับสนุนโดยฝ่ ายนโยบายชาตและความxxxxxxxxข้ามชาติ (ฝ่ าย 1)
สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจ (สกว.)
25 สิงหาคม 2560
เสนอต่อ
ฝ่ ายนโยบายชาตและความxxxxxxxxข้ามชาติ (ฝ่ าย 1) สกว. ผู้รับผิดชอบชุดโครงการ อxxxx xxxxxxxxxxx และxxxxxxx อุณโณ
ช่ือโครงการ (ภาษาไทย) “การเมืองคนดี”: ความคิด ปฏิบติการ และอตลั ักษณทางการเ์ มืองของ
ผ้สนบสนน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย”
(ภาษาองxxx) “Good Man’s Politics”: Political Thoughts, Practices and Identities of the “Change Thailand Movement” Supporters
คาสําคัญ การเมืองไทย, ความขดแย้งทางการเมือง, การเมืองเชิงศีลธรรม, xxxxxxxxxx, พนธxxxxxxxxxxx
เพื่อประชาธิปไตย (พธม.), คณะกรรมการประชาชนเพ่ือการเปล่ียนแปลงประเทศไทยให้เป็ นxxxxxxxxxxx xxxxxxxxxxxxxxพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นxxxxxx (กปปส.), อุดมการณ์และอัตลักษณ์ทางการเมือง, ขบวนการเคลื่อนไหวทางสงคม
Keywords: Thai Politics, Political Conflicts, Moral Politics, Yellow-shirts, People's Alliance for Democracy, People's Democratic Reform Committee, Political Ideology and Identity, Social Movement
สารบญ
สารบญั
..................................................................................................................................................................................................................3
สารบญตาราง 7
สารบญภาพ 8
ตารางแผนภาพ 9
กิตติกรรมประกาศ 10
บทคดย่อ 11
บทที่ 1: บทนํา 14
1.1 ความสําคญของปัญหา 14
1.2 วตถxxxxxxx 17
1.3 แนวคิดและทฤษฎี 18
1.3.1 คนชน้ กลางกบการเปล่ียนผ่านสxx xบอบประชาธิปไตย 18
1.3.2 โลกทศน์และคติความเชื่อทางศาสนา 28
1.3.3 อตลกษณ์และกระบวนการสร้างอตลกษณ์ 37
1.4 คําถามวิจย
........................................................................................................................................................................................... 43
1.5 พืxxxxวิจย
................................................................................................................................................................................................ 43
1.6 วิธีการวิจย
............................................................................................................................................................................................ 45
บทที่ 2 “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” 47
2.1 พนธxxxxxxxxxxxเพื่อประชาธิปไตย 47
2.1.1 ช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กนยายน 2549 47
2.1.2 ช่วงหลงรัฐประหาร 19 กนยายน 2549 49
2.2 คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็ นประชาธิปไตยxxxxxบรณ์xxxxพระมหากษัตริย์ทรง
เป็ นประมข (กปปส.) 50
2.2.1 การต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม 51
2.2.2 ช่วงขดขวางการเลือกตงั ้ 51
2.2.3 ช่วงขบไลร่ ัฐบาลย่ิงลกษณ์ 52
2.3 วตถxxxxxxxในการเคล่ือนไหว 53
2.3.1 ขจด “ระบอบทกษิณ” 53
2.3.2 xxxx xxสถาบนพระมหากษัตริย์ 55
บทที่ 3 ผ้สนบสนน “ขบวนการเปลยนแปลงปี่ ระxxxxxx” 59
3.1 คนกรุงเทพฯ ชน้ กลางระดบบน 59
3.1.1 ฐานะทางเศรษฐกิจและสงคม 60
3.1.2 เส้นทางชีวิต 69
3.1.3 ประสบการณ์และความคิดทางการเมือง 70
3.1.3.1 “หน้าใหม่” ทางการเมือง 70
3.1.3.2 ผ้มีประสบการณ์ทางการเมองื 72
3.2 คนใต้ย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ 74
3.2.1 คนใต้ในบริบทความขดแย้งทางการเมืองร่วมสมย
............................................................................................................. 74
3.2.2 “คนใต้” แฟลตxxxxจน
............................................................................................................................................................... 77
3.2.2.1 สถานะทางเศรษฐกิจ 77
3.2.2.2 สภาพสงคมและวฒนธรรม 79
3.2.2.3 ชีวิตทางการเมือง: พรรคประชาธิปัตย์ พนธxxxxฯ และ กปปส 80
บทท่ี 4 อตลกษณ์ผ้สนบสนน “ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย” 86
4.1 “ลกxxx” 86
4.2 “คนใต้” 92
4.3 “มวลชนใต้ร่มxxxxx” “ประชาชนของพระราชา” และ “มวลมหาประชาชน” 97
บทที่ 5 “การเมืองคนดี” 100
5.1 อตลกษณ์ “คนดี” 100
5.1.1 เราคือ “คนดี” 100
5.1.2 เขา/เธอคือ “คนเลว” 106
5.2 “การเมืองคนดี” 110
บทท่ี 6: ประชาธิปไตยxxx “คนดี” 117
6.1 โลกทศน์และคติความเชื่อทางศาสนากบระบอบประชาธิปไตย 117
6.2 ชนชน้ กลางไทยกบระบอบประชาธิปไตย 125
บทที่ 7 สรุป 139
7.1 ชนชน้ หลกในขบวนการและนยต่อความขดแย้งทางชนชนั ้ 139
7.2 ชนชน้ กลางกบระบอบประชาธิปไตย 141
7.3 โลกทศน์และคติความเชื่อทางศาสนากบการโหยหาสงคมช่วงชนั
........................................................................................ 143
7.4 อตลกษณ์ “คนดี” และความรุนแรง 145
ภาคผนวก 149
รายชื่อรายงานโครงการวิจยย่อยของรายงานxxxxx 149
xxxxxนกรม 149
ภาษาไทย 150
ภาษาองxxx 154
สารบญตาราง
ตารางที่ 1: ระดบการบริโภคต่อเดือนท่ีแท้จริง (ค่าเงินปี พ.ศ. 2556) ของแต่ละชนชนั
ระหว่าง พ.ศ. 2524-2556 61
ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบความแตกต่างด้านฐานะทางเศรษฐกิจสงคม และแบบแผนการใช้ชีวิตประจําวนระหว่างกลม่
ตวอย่างกล่มแดงกบกลมเหลองื 67
ตารางท่ี 3 : ผลการศกษาโดยใช้แบบจําxxx SEM 128
ตารางที่ 4: แบบแผนวิถีชีวิตประจําวน
(Lifestyle) 129
ตารางที่ 5: อํานาจxxxx 130
ตารางท่ี 6: ความไม่มนxxในชีวิตความเป็ นอยู่ 131
ตารางที่ 7: ลําดบปัจจยกําหนดการเปล่ียนแปลงระดบความเหลื่อมลํา้ 134
สารบญภาพ
ภาพที่ 1 : จํานวนประชากรจําแนกตามชนชน้ ทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2524-2556 62
ภาพที่ 2: สดสวนชนชน้ กลางบนในแต่ละพืxxxx พ.ศ. 2524 และ 2556 (เรียงตามการเปล่ียนแปลงสดสวนสทธิจากมากไป น้อย) 63
ภาพที่ 3: สดสวนระดบการศึกษาของชนชน้ กลางบนสองรุ่น 64
ภาพที่ 4: สดสวนลกษณะงานของชนชน้ กลางบน (คนรุ่นเกิดก่อน พ.ศ. 2510) พ.ศ. 2524-2556 65
ตารางแผนภาพ
xxxxxxxxx 1: การเปลี่ยนแปลงของระดบความเหลื่อมลํา้ 132
xxxxxxxxx 2: การเปล่ียนแปลงของรายได้โดยเปรียบเทียบระหว่างชน้ รายได้แบบ percentile 133
xxxxxxxxx 3 ระดบการบริโภคของครัวเรือนโดยเปรียบเทียบระหว่างชนบทกบเมือง 136
กิตตกรรมประกาศ
การวิจย
รายงานวิจยxxxxxจะเกิดขน้ มิได้หากมิได้รับการอดหนนด้านการเงินจากสํานกงานกองทนสนนสนนุ
(สกว.) ฝ่ ายนโยบายชาติและความสมพนธ์ข้ามชาติ (ฝ่ าย 1) ซง่ ริเริ่มโครงการโดย รศ.xx.xxxxxxxx
xxxxxxxx แต่กว่าที่โครงการนีจะเสร็จxxxxxxxxxเมื่อฝ่ าย 1 อย่ภายใต้การดแลของ ศ.xx.xxxxx xxxxxxxxxx ในแง่นี ้ คณะวิจยจึงต้องขอขอบคณบุคคลทง้ สองเป็ นอย่างย่ิงที่ให้โอกาสในการทํางานแก่เรา และต้องขอ อภยที่โครงการวิจยxxxx าช้ากว่ากําหนด เนื่องด้วยเหตหลายประการ
คณะผ้วิจยไดรบความกรณาุั้ จากนกวิชาการหลายท่าน xxx xxxอาจกลาวขอบคณ่ ได้ทง้ หมดในxxxxx x xxx
สําคญได้แก่ ศ.ดร.xxxx xxxxxxสวรรณ์ ศ.ดร.ผาสก
xxxxxxxxxx x.xx.xxxxxx xxxxxxระ ศ.xx.xxบต
ิ จน
xxxxxx x.ดร.ยศ สนตสมบติ xx.xxศกดิ์ xxxกลวณิุ ชย์ และ ผศ.ดร.xxxxx พงษ์xxxxxx ท่ีช่วยอ่านและให
ความเห็นอย่างละเอียดตลอดกระบวนการของการวิจย ปรับปรุงรายงานเลมนีให้ถกต้องและสมบรณ์ยิ่งขนึ ้
ช่วยแนะนําข้อบกพร่อง เพ่ือนําไปส่การแก้ไข
คณะผ้ว
ิจยขอขอบคณผ้ให้ข้อมลทกท่านที่ให้การต้อนรับคณะผ้ว
ิจยด้วยมิตรไมตรีและตอบคําถาม
คณะผ้ว คณะผ้วู
ิจยอย่างไม่รู้xxxxxxxxxxxx xxxxxxxxxxx ความรับผิดชอบต่อข้อบกพร่องทง้ หมดในงานย่อมเป็ นของ
ิจยั
xxxxxx สถิตนิรามย
และ อนสรณ์ อณโณ
22 สิงหาคม 2560
บทคดย่อ
งานวิจยxxxxxศึกษาว่าผู้สนบสนุน “ขบวนการเปลยนแปลงประเทศไทย”่ี มีลกษณะทางเศรษฐกิจ
และสงคมอย่างไร มีความคิดทางการเมืองอย่างไร วางอยู่บนโลกทศน์และคติความเชื่อใด สอดคล้องกบั ระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ รวมทังพวกเขาสร้ างอตลกษณ์ให้ตนเองและฝ่ ายตรงข้ามอย่างไร และอตั
ลกษณ์ดงกลาวนําไปสการกระทําใดระหว่างพวกเขากบฝ่ ายตรงขาม้
การศึกษาพบว่าผ้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ประกอบด้วยสองกล่มหลก คือ
คนชน
กลางตง้ แตระดบกลางขน้ ไปในเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร และคนชน
กลางตง้ แต่ระดบกลางลง
มาในxxxxxxxโดยเฉพาะภาคใต้ซึ่งส่วนหนึ่งย้ายภูมิลําเนามาอยู่ในกรุงเทพฯ ทง้ นี ้ แม้ผู้สนบสนุนหลกสอง กลุ่มมีสถานะทางเศรษฐกิจและสงคมต่างกัน แต่พวกเขามีความคิดทางการเมืองคล้ายคลึงกัน คือ เป็ น ความคิดทางการเมืองที่วางอย่บนคติความเชื่อทางศาสนา หรือที่เรียกว่า “การเมืองคนดี” ซึ่งแตกต่างจาก ระบอบประชาธิปไตยในระดับรากฐานสองประการ ประการแรก “การเมืองคนดี” เห็นว่าอํานาจของ ผ้xxxxxxมาจากxxxxxxxx ไม่ใช่ฉนทามติของคนส่วนใหญ่ และจึงไม่จําเป็ นต้องถกตรวจสอบหรือถ่วงดลุ
เหมือนxxxxในระบอบประชาธิปไตย ผ้ดํารงตาแหน่ํ งสาธารณะไมต้่ องรบxxx ดกบประชาชน หากแตต้่ องรบxxx ด
กบผ้ม
ีxxxxxxxxและศีลธรรมสงสด
ซ่ึงคือพระมหากษัตริย์ ประการที่สอง “การเมืองคนดี” เห็นว่าบุคคลxxx
xxxxxxxxxกนโดยพืนฐานเนื่องจากมีบุญหรือว่าระดบศีลธรรมไม่เท่ากน บุคคลจึงไม่ควรมีสิทธทางการเมองืิ
เท่ากนเหมือนในระบอบประชาธิปไตย “คนดี” ควรมีxxxxxทางการเมืองมากกว่า “คนเลว” ฉะนนั xxxxxxxx
เป็ น “มวลชนเพื่อการปลดแอก” อย่างxxxxชนชันกลางในหลายประเทศ ชนชันกลางในผู้สนับสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ซึ่งสมาทาน “การเมืองคนดี” จึงกลายเป็ นส่วนหนึ่งของกล่มxxxxxxxx xxxxแทน
ผู้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” หมายความตนเองในหลายระดบ นบตง้ แต่ใน
ระดบใกล้ตวท่ีพวกเขาหมายความตนเองในเชิงชาติพนธ์ุและภม
ิภาค ชนชน
กลางในเมืองหมายความตนเอง
เป็ น “ลกxxx” ส่วนคนภาคใต้หมายความตนเองเป็ น “คนใต้” แม้อตลกษณ์ทง้ สองจะมีความจําเพาะต่างกนั แต่ก็มีจุดร่วมกxxxxความxxxxxxxxxต่อสถาบนพระมหากษัตริย์ ดงแสดงออกผ่านอตลกษณ์ “มวลชนใต้ร่ม พระxxxxx” และ “ประชาชนของพระราชา” xxxxxxxxxxxในการชุมนุมของ กปปส. และพวกเขาก็รับมาด้วย นอกจากนี ้ พวกเขาหมายความตนเองเป็ น “คนดี” ซ่ึงผูกกับพระมหากษัตริย์ในฐานะที่เป็ น “คนดี” หรือมี
คณธรรมสงสด xxx
xxx อมกบความหมายฝ่ ายตรงข้ามเป็ น “คนเลว” ที่xxxxxถูกขจดแม้จะด้วยความรุนแรงก็
Abstract
This research is aimed at studying “Change Thailand Movement” supporters. It examines the supporters’ socio-economic characteristics, political thoughts, and identities. In terms of their political thoughts, it examines the worldviews and beliefs on which their political thoughts are based. It also assesses if these worldviews and beliefs are consistent with democracy. In terms of their identities, the research examines the ways in which the supporters identify themselves as well as their rivals and the actions that these identities led to.
This research finds that the “Change Thailand Movement” supporters primarily consist of two groups: the urban middle class from the middle level upwards especially in Bangkok, and the regional middle class from the middle level downwards especially from the South. Although these two groups differ from each other in terms of economic and social status, they share the same political thoughts which are based on religious beliefs or what the research calls “good man’s politics.” This kind of politics fundamentally differs from democracy in two aspects. Firstly, it holds that the ruler’s power is tied to his/her personal merit and virtue, not the will of the majority, and as a result it does not have to be under checks and balances as in democracy. Public office holders are not held accountable to the people, but to the one who possesses the highest degree of merit and morality, which is the king. Secondly, it holds that fundamentally individuals are not equal because they possess different degrees of merit and morality. Consequently, individuals should not have equal political rights; a “good man” should have more political rights than a “bad man” does. As such, rather than an emancipative force like the middle class in many countries, the middle-class supporters of the “Change Thailand Movement” who adopt “good man’s politics” are part of the conservative force.
The “Change Thailand Movement” supporters identify themselves on several levels. On the immediate level, they identify themselves in terms of ethnicity and region. The urban middle class identify themselves as “Chinese descendants” whereas residents of the South identify themselves as “the Southerners.” Although the two identities are distinctive, they uphold in common loyalty to the monarchy as articulated through the self-epithets of “the masses under royal auspices” and “the king’s people” that were prevalent in the PDRC’s rally. In addition, they identify themselves as “good men” with ties to the king who, with the highest degree of morality,
is indeed “the best man.” They simultaneously identify their opponents as “bad men” who should be eliminated with violence if need be.
บทท่ี 1: บทนํา
1.1 ความสําคญของปัญหา
นางสาวจิตรภสร์ xxxxxx แกนนํา คณะกรรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ เป็ นxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นxxxxxx (กปปส.) ให้ สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ต่างประเทศว่าสาเหตุที่ กปปส. ชุมนุมxxxxxxxxxxxxเป็ นเพราะต้องการ “ปล้น” ประชาธิปไตยอย่างท่ีถูก กล่าวหา หากแต่ต้องการให้ มีการxxxxxxประเทศไทยให้ เสร็จสินเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการ
แก้ปัญหาการซือxxxxxขายเสียงในการเลือกตงั
มิฉะนน
ประเทศไทยก็จะประสบปัญหาเหมือนxxxxที่ผ่านมา
เนื่องจาก “คนไทยจํานวนมากขาดความxxxxxxxxxแท้จริงในเรื่องประชาธิปไตย โดยเฉพาะในพืxxxxชนบท” (“Many Thais lack a true understanding of democracy…especially in the rural areas” จิตรภสร์ xxxxxx ใน xxxx://xxx.xxxxxxxxxx.xx.xx/xxxx/0000/00/00/ asia-pacific/thai-opposition-torn- between-elections-and-peoples-revolution#.U9I4znJ_sW4) เธอเห็นว่าจะแก้ ปัญหาหรือว่าxxxxxx ประเทศไทยxxxxxต้องให้การศกษาเรื่องประชาธิปไตยแก่คนในชนบทก่อนเป็ นลําดบแรก
คําให้สมภาษณ์ของนางสาวจิตรภสร์ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเนื่องจาก
พาดพิงคนกล่มใหญ่ในสงคมไทยโดยตรง นางบวหลี ขนทอง แกนนําเครือข่ายประชาธิปไตย วฒิสภา และ
คณะกรรมการพฒนาสตรีจงxxxxxxxx กล่าวว่านางสาวจิตภสร์ด่วนสรุปโดยxxxxxxพิจารณาข้อมลให้รอบ xxxx xxxผ่านมาคนในต่างจงหวดโดยเฉพาะในเขตชนบทได้เข้าร่วมกิจกรรมxxxxxxxxประชาธิปไตยมาอย่าง
ต่อเน่ือง กล่าวเฉพาะในส่วนที่เธอรับผิดชอบ มีการxxxxวิทยากรจากสถาบนการศกษาและวฒิสภามาให้
ความรู้ควบค่ไปกบกิจกรรมด้านอื่นๆ เป็ นระยะ เธอเห็นว่าสาเหตท่ีนางสาวจตภิ สรxxxx xxxxxxเช่์ นนนxx
เป็ นเพราะไม่เคยร่วมกิจกรรมxxxxxxxประชาธิปไตยกบคนตางจงxxxxxxxxx เธอจึงกล่าวxxxxxxxนางสาว จิตภสร์ว่า “ขอให้มาดคนพะเยาว่าเขาทําเรื่องประชาธิปไตยกนอย่างไรบ้าง อย่าอย่บนxxxxxxxกองทองแล้ว ตดสินคนอื่นโดยไม่มีข้อมูลอย่างรอบด้าน” (บัวหลี xxxxxx ใน xxxx://xxx.xxxxxxxxx.xxx/xxxxxxxx/
266115/คนพะเยายว
ะจิตภสร์ดถ
กชนบท)
ทว่าขณะเดียวกันคําให้สมภาษณ์ของนางสาวจิตรภสร์ได้รับการตอบรับจากบุคคลจํานวนมาก
โดยเฉพาะคนชน
กลางในเมือง xxxx บคคลที่ใช้ช่ือ Xxxx Xxxxxx แสดงความเห็นในกระท้ท
xxxxxxxxxxxxxxxx
ตง้ ขึนบนกระดานเฟซบุ๊คของตนในประเด็นนีว้ ่า “เป็ นกําลงใจให้ค่ะ ที่พูดไปเป็ นความจริงทุกอย่าง xxxxx
แตงขนึ
คนชนบทยงขาดความรู้เรื่องประชาธิปไตยจริงๆ xxxx xxxงน
จะขายเสียงให้พรรคเพ่ือทย
[พรรคเพื่อ
ไท ย ] กั นเ ป็ นx xวๆ เลย โ ง่ ก็ ยอ ม รั บ สิ ว่ าx xx xx xxx xx xxx ทํ าไม ” (xxxxx://xxx.xxxxxxxx.xxx/xxxxxxx/xxxxx/000000000000000) ประการสําคัญ ทัศนะในลักษณะ
ดงกล่าวนีเป็ xxxxxxxxxxxxใน กปปส. นับตง้ แต่ในส่วนของผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยทั่วไป xxxx xxxxxxxxxxx
อษณากรกล
ผ้เข้าร่วมชมนุมจากภาคใต้กล่าวว่า “พวกเราเป็ นชนชน
กลาง พวกเราได้รับการศึกษามาและ
พวกเราxxxxxxxxสด...พวกเรารู้ว่าอะไรถกอะไรผดิ ...แตพวกคนจนสไมxxxx xxอะไรเลยพวกเขาเลอกคนท่ีื ให้เงินพวก
เขาน่ะ” (xxxxxxxx อุษณากรกุล ใน xxx.xxxxxxx.xxx/0000/00/00/xxxxx/xxxx/xxxxxxxx-xxxxxxxx- reflect-searing-divisions-of-changing-country.html?_r=1&) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือในสวนของแกน นํารายท่ีมีการศึกษาสูงxxxxxxแสดงทัศนะในลักษณะนีบนเวทีxxxxxxx xxxx xxxxxxx xxxxxxxx กล่าว xxxxxxxบนเวที กปปส. ว่า “หลายคนในประเทศไทยเป็ นคนยากจนและพวกเขาเสพติดxxxxxxxxxxจาก นโยบายสาธารณะxxxxxxกับตนเองจนxxxxxxxxเร่ืองของคุณธรรมและผู้xxxxxxxxxดี” (xxxx xxxxxxxx ใน xxx.xxxxxxxx.xxx/xxxxx.xxx?xx00000000000000000&xxxxxx.000000000&xxxxx0&xxxxxxx) เป็ นต้น
ทศนะทางการเมืองข้างต้นมีข้อควรพิจารณา 2 ประการ ประการแรก ทศนะทางการเมืองดงกล่าว ให้ความสําคญกบการยกระดบศีลธรรมxxxxxของนกการเมืองมากกว่าการพฒนาระบบ กลไก หรือกติกา
ให้มีลกษณะตรวจสอบและถ่วงดลกน เพราะเชอว่่ื าxxxxxxเป็ นหลกประกนการใช้อํานาจของนกการเมือง
xxxxxกว่า ขณะเดียวกนก็เป็ นทศนะทางการเมืองxxxxxxได้เน้นนโยบายสาธารณะ ประสิทธิภาพในการทํางาน หรือการแก้ ไขปัญหาของนักการเมืองและพรรคการเมือง เท่าๆ กับxxxxxxxสํานึกของนักการเมือง ความสําเร็จหรือความล้มเหลวในการพฒนา การแก้ปัญหา หรือการบริหารประเทศขึนกับจริยธรรมของ นกการเมืองมากกว่าคณลกษณะของระบบ กฎเกณฑ์ และกติกาทางการเมือง รวมถึงนโยบายการพฒนา หรือแนวทางแก้ปัญหาประเทศและประชาชน “ผ้xxxxxxxxxทรงคณธรรม” จึงเป็ นหวใจสําคญของทศนะทาง การเมืองxxxxที่ว่านี ้
ประการที่สอง ทศนะทางการเมืองข้างต้นเห็นว่าระดบศีลธรรมxxxxxของบุคคลผกกบสถานะทาง เศรษฐกิจและสงคม กล่าวคือ คนชนบทมกยากจน ขาดการศกษา และมีระดบศีลธรรมตํ่ากว่าxxxxxxxxxxมี การศึกษาและxxxxxxทางเศรษฐกิจตง้ แต่ระดบกลางขึนไป ซ่ึงส่งผลให้คนชนบทเห็นแก่อามิสสินจ้างและ ถกหว่านล้อม ชกจูง หรือหลอกได้ง่ายกว่าคนเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการซือxxxxxขายเสียง และ
เพราะเหตด
งนนั
นางสาวจิตรภสร์จึงเขียนข้อความบนหน้ากระดานเฟซบ๊คของเธอว่า “เราต้องส้ค
่ะ xxxxxx
จนกว่าจะชดxxxว่าทกคนไม่ควรมีxxxxxมีเสียงเท่ากน
คนชว
ไม่ควรมีเสียงเท่าคนดี คนxxxxxxควรมีxxxxxเท่าคน
xxxx” (จิตรภสร์ xxxxxx ใน xxxx://xxx.xxxxxxxx.xx.xx/xxxx_xxxxxx.xxx?xxxxxxx0000000000) ซง
คนดีและคนxxxxxxxเธอว่าคือคนชน มากสงกดอยู่
กลางในเมืองที่มีการศกษาซงึ ทง้ ตวเธอและผ้รู ่วมชมนม
กปปส. จํานวน
ทังนี ้ กระแสการเมืองที่เน้นศีลธรรมของบุคคลหรือ “การเมืองคนดี” ที่มีคนชันกลางเป็ นกําลัง ขบเคล่ือนxxxxxxเกิดขึนเฉพาะในประเทศไทยดงในกรณีข้างต้น หากแต่เป็ นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่
กําลงเกิดขึนในประเทศต่างๆ ทวโลก กลาวในสวนการเมองท่ีื่่ เน้นศลธรรมของบคี คล Rodan and Hughxx
xสนอว่ากระแสการxxxxxxการxxxxxการกระทําหรือการรับผิด (accountability reform) ในเอเชียตะวนออก เฉียงใต้ได้รับxxxxxxxจากความเป็ นxxxxxxxxxxxxทางศีลธรรมมากกว่าการยืนยนในหลกการประชาธิปไตย (Rodan and Hughes 2014: 3) พวกเขาได้จําแนกการxxxxxการกระทําเป็ น 3 ประเภท คือ การxxxxxการ กระทําแนวxxxxxxxx (Liberal Accountability) การxxxxxการกระทําแนวประชาธิปไตย (Democratic Accountability) และการxxxxxกระกระทําแนวศีลธรรม (Moral Accountability) พร้อมกบเสนอว่าขณะที่ การxxxxxการกระทําแนวxxxxxxxxและประชาธิปไตยเห็นว่าxxxxxอํานาจทางการเมืองวางอยู่บนความเป็ น เหตุเป็ นผล การxxxxxการกระทําแนวศีลธรรมกลบเห็นว่าxxxxxอํานาจทางการเมืองวางอยู่บนอภิปรัชญา xxxxx และจารีตประเพณี (ibid: 12) นอกจากนี ้ การxxxxxการกระทําแนวศีลธรรมเห็นว่าระบบการเมืองจะ มีลักษณะxxxxไรขึนอยู่กับศีลธรรมของแต่ละxxxxxxxxxxxxxxนํามารวมกัน การฉ้ อฉลอํานาจเป็ นความ
บกพร่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกบสถาบน หรอกลื ่าวอกนี ยหนง่ึ การรบผลการกระทํั าแนวศลธรรมพง่ี เป้ าไปท่ี
พฤติกรรมส่วนตวในการวิพากษ์วิจารณ์การทํางานของนกการเมืองและเจ้าหน้าท่ีรัฐ หากนกการเมืองและ เจ้าหน้าที่รัฐทํางานxxxxxหรือล้มเหลวก็เป็ นผลมาจากความบกพร่องส่วนตัวมากกว่าปัญหาของระบบ การเมือง (ibid: 13)
ขณะที่ในส่วนของคนชันกลาง1 Xxxxxxxxxxx เสนอว่าในทางทฤษฎีคนชันกลางมีการศึกษาใน
ประเทศกําลงพฒนาควรยึดมน
ในประชาธิปไตย ทว่าในความเป็ นจริงมิได้เป็ นxxxxนนั
(Xxxxxxxxxxx 2013:
84-85) เพราะในการตอต้านผ้นําท่ีมาจากการเลือกxxx xxxพวกเขาเชอว่่ื าเป็ นการxxxx xxประชาธิปไตย คนชนั
กลางพร้ อมจะใช้วิธีการใดก็ได้ให้บรรลเป้ าหมาย ประมาณกึ่งหนึ่งของรัฐประหารในรอบ 20 ปี ท่ีผ่านมา
ได้รับการสนบสนนหรือxxxxxถกเรียกร้องโดยคนชนกลางอยางเ่ ปิ ดเผย (ibid: 96) เน่ืองจากพวกเขาเห็นว่า
ทหารxxxxxxเป็ นยาถอนพิษประชาธิปไตยมหาชน (xxxxxxxxxxxxxxสร้างความxxxxxxxxให้คนจนและด้อย การศึกษา) ได้ แม้ในความเป็ นจริงทหารไม่xxxxxxเป็ นผู้xxxxxxxxxxxxxxxแต่อย่างใด (ibid: 17) Xxxxxxxxxxx xxxxxxเหตุการณ์ที่เกิดขึนในประเทศแถบละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง รวมถึงเอเชีย
ตะวนออกเฉียงใต้ขน้ xxxxxxxxการอภิปราย โดยในกรณีของประเทศไทย เขาxxxx xxคนชนกลางในเมืองเป็ น
องค์ประกอบสําคญของพนธxxxxxxxxxxxเพ่ืxxxxxxxxxxxxxxx xxxxxxมีลกษณะเป็ นประชาธิปไตยหรือเป็ น ตวแทนของคนสวนใหญ่ (ibid: 2-3) และคนเหลานีแสดงความxxxxxxxxxxต่อรัฐประหาร 19 กนยายน 2549
1 xxxทศน์ “ชนชน้ กลาง” มีหลากหลายและxxxxxxxxเลื่อนไหลไม่ชดxxx ทว่างานxxxxxxx xxxxxฐานะทางเศรษฐกิจและสงคม โดยเฉพาะอย่างย่ิง
ลกษณะอาชีพหรือวิถีชีวิต (lifestyle) ที่มีความมนxx ทง้ จากระดบการศกxxx xxxxxxxงาน และ/หรอสนทรพย์ัิื เป็ นลกษณะรวมของความเ่ ป็ น
ชนชน้ กลางระดบกลาง-xx xxxกวาระดบ่ รายได้ (Banerjee and Duflo 2008, Gayo 2013) และเป็ นลกษณะหลกท่ีแตกตางจากชนชน่ ้ อ่ืน xxxx
ชนชน้ กลางระดบล่าง และชนชน้ ล่าง
(ibid: 12) รวมทง้ เรียกร้องให้ทหารแทรกแซงและทําให้ผลการเลือกตง้ สมาชิกสภาผ้แทนราษฎร พ.ศ. 2554
เป็ นโมฆะเพราะไม่xxxxxxxพรรคเพื่อไทยxxxxxxเลือกตง้ และได้เป็ นรัฐบาลอีกหน (ibid: 96)2
อย่างไรก็ดี ถึงแม้การเคลื่อนไหวของ กปปส. ซึ่งมีความคาบเกี่ยวกับพนธxxxxxxxxxxxเพื่อ ประชาธิปไตยระดบหน่ึง จะมีความสอดรับกบกระแสหรือว่าแนวโน้มทง้ สองข้างต้น แต่ก็มีความจําเพาะที่ ต่างออกไป เพราะแม้ กปปส. จะเน้นการxxxxxxการxxxxxการกระทําแนวศีลธรรม แต่ก็มีความxxxxxx
เสนอตวแบบทางการเมืองบางประการxxxxกน xxxx สภาประชาชน และแม้ผู้สนบสนุนจานวนมากซงสร่ึํ ้ าง
ความโดดเด่นให้ กปปส. จะเป็ นคนชนกลางในเมองื ท่ีมีการศกษาซงสงผลใ่ึ่ึ ห้ กปปส. เป็ นสวนหนงของ่ึ่
กระแสการประท้วงของคนชนกลาง (The Middle Class Revolts) ในประเทศกําลงพฒนาข้างตน้ ทว่า
ผู้สนบสนุน กปปส. อีกจํานวนไม่น้อยเป็ นคนต่างจังหวดxxxxxxxxxปานกลางหรือกระท่งยากจนและด้อย การศึกษา โดยเฉพาะในส่วนของผู้เข้าร่วมชุมนุมจากภาคใต้ที่ประกอบด้วยคนมีคนสถานะทางเศรษฐกิจ และสงคมระดบกลางลงมาจํานวนมาก จึงส่งผลให้ กปปส. เป็ นขบวนการเคลื่อนไหวที่ครอบคลมกล่มคน
หลายชนชนั
xxxxxxจํากดเฉพาะคนชน
กลางในเมือง
คําถามจึงเป็ นว่ากลุ่มคนหลายชนxxxxxเข้าร่วมและสนับสนุน กปปส. รวมถึงพนธมตรฯิ เป็ นใคร
พวกเขามีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมแบบใดและอะไรเป็ นเหตุให้ พวกเขาเข้ าร่วม “ขบวนการ เปล่ียนแปลงประเทศไทย” xxxxที่ว่านี ้ความคิด ความเชื่อ และอดมการณ์ทางการเมืองแบบใดxxxxxxxรัดพวก เขาไว้หรือถกใช้ในการหว่านล้อมชกจงพวกเขา ขณะเดียวกนพวกเขาหมายความตนเองและการเคลื่อนไหว ของพวกเขาว่าอย่างไร “การเมืองคนดี” ของพวกเขามีลกษณะใด วางอย่บนโลกทศน์และคติความเชื่อ แบบ ไหน รวมทังพวกเขามีส่วนในการเคลื่อนไหวอย่างไร การตอบคําถามเหล่านีจะช่วยให้ เข้ าใจการ เปล่ียนแปลงการเมืองไทยครังใหญ่ท่ี กปปส. รวมถึงพนธxxxxฯ มีสวนก่อให้เกิดขน้ อย่างสําคญั
1.2 วัตถุประสงค์
1. เพ่ือศกษาผ้สนบสนน
“ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ในแง่ของสถานะทางเศรษฐกิจและสงคม
2. เพ่ือศึกษาความคิดเรื่อง “การเมืองคนดี” ที่ผ้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” เลือกรับ และปรับใช้ รวมถึงโลกทศน์และคติความเชื่อซงึ มีสวนกํากบความคิดดงกลาว
2 นอกจากนี ้ Xxxxxxxxxxx (2013: 99-100) เสนอว่าการต่อต้านประชาธิปไตยของคนชน้ กลางสร้ างความเสียหายอย่างมาก เพราะการเชือเชิญ ให้ทหารกลบเข้าส่การเมือง เป็ นการทําลายความสมพนธ์ระหว่างพลเรือนกบทหารและสร้ างเงื่อนไขให้กองทพทําลายผ้นู ําพลเรือน ทง้ นี ้ ด้วย การสร้ างความxxxxxxxให้กบการเดินขบวนประท้วงขบไล่ผู้นําที่มาจากการเลือกตงั ้ คนชน้ กลางได้ทําลายความxxxxxxxของการเลือกตงั ้ และสถาบนประชาธิปไตยอื่นๆ และสิ่งนีจะเป็ นอนตรายอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาขบไล่ผ้นู ําที่มาจากการเลือกxxx xxxเป็ xxxxxxxxในคนจนส่วนใหญ่ของ
ประเทศซงึ ได้เข้ามาเกี่ยวข้องสมพนธ์กบการเมืองมากขึน ดงกรณีประเทศไทย
3. เพื่อศึกษาอตลกษณ์และกระบวนการสร้ างอตลกษณ์ของผู้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศ ไทย” ในการขบเคลื่อน “การเมืองคนดี”
1.3 แนวคิดและทฤษฎี
ด้วยเหตุที่งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ท่ีจะศึกษา “การเมืองคนดี” ของผู้สนับสนุน “ขบวนการ เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ใน 3 ด้านข้างต้น งานวิจยจึงจะอาศยแนวคิดและทฤษฎี 3 กล่มต่อไปนีในการ ตง้ คําถาม จดxxxxxxx และตีความข้อมxx
1.3.1 คนชันกลางกับการเปล่ียนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย
แนวคิดxxxxxxรับการยอมรับว่าได้ว่าเป็ นต้นกําเนิดของข้อคิดที่ว่าการขยายตวชนชน
กลางเป็ นปัจจย
สําคญของการวางรากฐานประชาธิปไตยคือทฤษฎีการทําให้ทนสมย (Modernization Theory) ของ
Seymxxx Xxxxxx Xxxxxx (0059) ในบทความ Some Social Requisites of Democracy ที่โด่งดงของเขา
Lipset กล่าวว่าประชาธิปไตยขึนอย่กบระดบการพฒนาทางเศรษฐกิจและสงคมของแต่ละประเทศ ดงนนั
“ประเทศที่มีความมงั xxx ทางเศรษฐกิจจึงมีxxxxxxxxxxจะมีระบอบxxxxxxxxxxxxxxมนxx” ในบทความของเขา
ชนชันกลางเป็ นตัวแสดงทางการเมืองที่มีความสําคัญอย่างยิ่งในกระบวนการจรรโลงประชาธิปไตย
(democratic consolidation) เนื่องจากเป็ นชนxxxxxมีxxxxxxxxxxผกกบประสทธภาพในการทํิิ างานของรฐั
ซง่ ช่วยค้มครองและรับประกนความเสี่ยงทางเศรษฐกิจให้กบพวกเขา รวมทง้ มีเวลาxxxxxxxxxxจะสนใจและ
เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง อีกทง้ ยงเป็ นชนชนxxxxxรั้ บการขดเกลาทางการเมืองผานระบบการศก่ ษา จึง
ทําให้มี “ความอดกลนทางการเมือง (political tolerance)” มีกระบวนการคดอยิ ่างเป็ นเหตเป็ นผลหรอเื ป็ น
วิทยาศาสตร์อนเป็ นปัจจยพืนฐานของระบอบประชาธิปไตย อีกทง้ มีส่วนสําคญในการสร้ างความม่งมาด
xxxxxxxให้กบคนชนลางว่า xxxxxxยกระดบชีวิตของพวกเขาได้ผ่านระบบทนxxxxและประชาธิปไตยโดย
ไม่จําเป็ นต้องมีการปฏิวต
ิทางชนชน
เปล่ยนประเทศไปสxx xบอบสงคมxxxxหรือคอมมิวนิสต์
เหตุผลที่การก้าวเข้าสู่ความเป็ นสมัยใหม่สอดคล้องกับกระบวนการจรรโลงประชาธิปไตยนัน
เนื่องจากการทําให้ทนสมยได้สร้างทง้ โอกาสและความจําเป็ นในการเข้าถึงทรัพยากรมากขึน xxxx การผลิต
ที่xxxxxมากขึน การเกิดขนึ ของเมองื ความต้องการความเชยวxxxxxx xงด้านอาชีพ ความหลากหลายทาง
สังคม การxxxxxขึนของรายได้และความxxxxxxxxของประชาชน การxxxxxขึนของอัตราการรู้หนังสือและ
การศกษา ช่องทางการเข้าถึงข้อมลข่าวสารที่xxxxxมากขนึ เทคโนโลยีท่ีเจรญก้ิ าวหน้า และโครงสร้างพืนฐาน
xxxxxxxxx ปัจจัยเหล่านีม
ีส่วนสําคญในการxxxxxxทรัพยากรให้กับประชาชนxxxxxxxขึน
ซึ่งเป็ นการxxxxx
“ประสิทธิภาพ (Capacity)” และ “ความxxxxxx (Willingness)” ของมวลชนในการเข้ามามีส่วนร่วมทางการ เมือง
ในอีกแง่หน่ึง Acemoglu และ Robinson (2006) เสนอว่าประชาธิปไตยเป็ นผลจากการต่อส้
ต่อรองในการxxxxxxทรัพยากรระหว่างชนชน
นําและมวลชน (ชนชน
ล่าง) กล่าวอีกแบบคือ ระดบ
ความ
เหลื่อมลําทางเศรษฐกิจในสงคมหนึ่งๆ เป็ นปัจจยที่มีผลต่อแรงจงใจของชนชน
นํา ชนชน
กลาง และมวลชน
ในกระบวนการต่อส้เพื่อการเปล่ียนผ่านจากระบอบเผด็จการส่ประชาธิปไตย (democratization) และการ จรรโลงประชาธิปไตย Acemoglu และ Robinson เสนอว่า ความสมพนธ์ระหว่างความเหลื่อมลํากบการ
กลายเป็ นประชาธิปไตยรวมทง้ การจรรโลงประชาธิปไตยนนมxx กษณะอกษรตวยทรงคว่ํา กลาวคอื่ สภาพ
ความxxxxxxxxxxxxในระดบที่ต่ําสดนนั
ชนชน
ล่างจะไม่มีแรงxxxxxxxจะต่อต้านระบอบxxxxxxเป็ นประชาธิปไตย
ซงึ ชนชน
นํากมอํานาจอยู่ ดงนน
สงคมนีก้ ็จะอย่ในระบอบxxxxxxเป็ นประชาธิปไตยตอไป แตเม่ือระดบความxx
xxxxxxxxxxxxxxขึน
แรงจูงใจของชนxx
xxxxxxxจะสู้เพื่อประชาธิปไตยจะxxxxxขึนเพื่อให้ได้มาซึ่งนโยบายการ
xxxxxxทรัพยากรxxxxxxxxxxxxกัน เนื่องจากระบอบประชาธิปไตยหมายความว่าคนส่วนใหญ่มีxxxxx ลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกนโยบายที่ตนต้องการได้ และเมื่อสงคมกลายเป็ นประชาธิปไตยแล้ว แรงจงใจของ ชนชันสูงในการทําการรัฐประหารจะมีไม่มาก เพราะทรัพยากรที่เขาสูญเสียไปกับนโยบายการxxxxxx ทรัพยากรนันไม่คุ้มกับxxxxxxxxxจะเกิดขึนจากการทํารัฐประหาร ดังนันในสังคมแบบนีเม่ือกลายเป็ น
ประชาธิปไตยแล้ว ความเป็ นประชาธิปไตยก็จะยงั ยืน (consolidated) แต่ในขนถดมาเม่ือระดบความxxx
xxxxxxxxxxxxxxขึนไปอีก แรงจูงใจของชนช นําที่จะยนยอมใิ ห้มีระบอบประชาธิปไตยก็จะน้อยลง เพราะ
xxxxxxxxxxของชนชันตัวเองที่จะต้องสูญเสียไปจากนโยบายการxxxxxxทรัพยากรจะสูงขึน ทําให
ทางเลือกในการกดปราบหรือการรัฐประหารในสายตาของชนชน
นําค้มxxxxxxขึน
ผลก็คือในสงคมแบบนี
หากการกลายเป็ นประชาธิปไตยเกิดขึนได้ในตอนแรกก็จะxxxxxxxxxx เนื่องจากชนชันนําพร้ อมที่จะทํา
รัฐประหารเพื่อพิทกษ์รักษาความxxxxxxxxxxxxในระดบสงนีต่อไป ในสงคมแบบสดท้ายทความxxxxx xxxxxxxxx
xxxxxๆ นนั
การกลายเป็ นประชาธิปไตยจะเป็ นไปได้ยาก เนื่องจากชนชน
นําพร้ อมที่จะใช้การกดปราบ
ตลอดเวลา เนื่องจากหากปล่อยให้เป็ นประชาธิปไตยแล้ว ชนชน นโยบายการxxxxxxทรัพยากร
ตนต้องสญเสียxxxxxxxxxxมหาศาลจาก
สวนชนชน
กลางนนั
Acemoglu และ Robison เห็นว่าเป็ นผ้ท
ี่มีบทบาทเชิงบวกตอทง้ การกลายเป็ น
ประชาธิปไตยในฐานะเป็ นผู้มีบทบาทนํา (driver) ของขบวนการต่อต้านระบอบเดิม และการจรรโลง
ประชาธิปไตยในฐานะที่เป็ นตวกนชน (buffer) ระหว่างความขดแย้งของชนชน
นํากบชนชน
ล่าง ในฐานะ
แรกนันเนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาxxxxxกว่าชนชันล่าง ทําให้ชนชันกลางมีความพร้ อม
มากกว่าในการเข้าร่วมทางการเมือง และกลายเป็ นหวหอกของการเคลื่อนไหวเพื่อลดอํานาจของชนชนนํา
ในประวติศาสตรของหลายประเทศ์ และxxxxxxxxxอธิบายได้ว่าทําไมการทําให้กลายเป็ นประชาธิปไตยยุค
แรกๆ ของยโรปตะวนตกจึงมีขอบเขตจํากดxxxx
xxการขยายxxxxxทางการเมืองของชนชน
กลาง เพราะสําหรับ
ชนชน
นําแล้ว ไม่มีความจําเป็ xxxxจะต้องขยายสทธิไปถึงชนชน
ล่างหากเขาxxxxxxxxxจะซือ
(co-opt) ชนชนั
กลางได้โดยการดงเข้าสก
ระบวนการทางการเมือง จวบจนในชน
หลงๆ จึงค่อยๆ ขยายxxxxxไปครอบคลมชน
ชนล่าง กล่าวได้ว่าข้อเสนอนีของ Acemoglu และ Robison xxxxxxแตกต่างไปมากนกจากข้อเสนอของ
Lipset ที่เห็นว่าชนชนกลางเป็ นตวแสดงทางการเมองท่ีื มีความสาคญํ อย่างยงในฐานะกระบวนการจรรโลง่ิ
ประชาธิปไตย ดงxxxxxxกลาวไว้แล้วข้างต้น
สวนบทบาทของชนชน
กลางในฐานะกนชนระหว่างชนชน
นํากบชนชน
ล่างนน
เป็ นไปได้ เพราะด้วย
ฐานะxxxxxกว่าชนชน
ลางทําให้ชนชน
กลางไม่เรียกร้องนโยบายการxxxxxxทรัพยากรในระดบเดียวกบชนชนั
ลาง หรือกลาวอีกแบบว่าแนวนโยบายของชนชน
กลางนน
ใกล้เคียงกบชนชน
สงมากกว่าชนชน
ล่าง ทําให้ใน
สงคมท่ีมีชนชน
กลางxxxxxx (โดยเปรียบเทียบกบชนชน
ล่าง) จํานวนมากนนั
การกลายเป็ นประชาธิปไตย
เป็ นไปได้ง่ายขึน
เนื่องจากชนชน
กลางจะไม่เรียกร้องนโยบายการxxxxxxทรัพยากรมากจนทําให้ชนชน
นํา
พร้ อมที่จะใช้การกดปราบเพื่อรักษาสถานภาพเดิม ในขณะเดียวกันนโยบายที่ชนชันกลางเรียกร้ องนีก้
พอเพียงที่จะทําให้คนชน
ลางxxxxxxxxxปฏิวต
ิ และในทํานองเดียวกน
สงคมคนชน
กลางแบบนีก้ ็ช่วยจรรโลง
ประชาธิปไตยด้วย เพราะมนทําให้การxxxxxxxxxxxระหว่างชนxx xxxจะxxxxxxรัฐประหารน้อยลง
ทําได้ง่ายขึน
ทําให้ชนชน
นํามีแรงxxxx
xxxxxxxxxxx แนวคิดของ Acemoglu และ Robison รวมทง้ ของ Lipset xxxxxxให้ความสําคญ
เพียงพอกบทศนะคติพืนฐานหรือโลกทศน์ทางการเมืองของมวลชนชนชนกลาง xxxx ตวแสดงในแบบจําxxx
ของ Acemoglu และ Robison มีทศนะคติแตกต่างกนเฉพาะต่อนโยบายการxxxxxxทรัพยากรเท่านนั xxxxxxxxxxxxxxxxxเป็ นเพียงเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งนโยบายการxxxxxxทรัพยากรxxxxxxxxxxxxมากขึน้
ส่ิงนีท้ ําให้อธิบายอย่างซบxxxxxxxได้ว่าทําไมชนชนกลางในหลายประเทศxxxxxxเึ ป็ นแนวรวมก่ บชนชนสง
ในแง่นีแนวคิดของ Dunkwart Rustow และ Christian Welzel ที่ให้ความสําคญกบความเชื่อของมวลชน
(mass believes) จึงควรได้รับการพิจารณาในรายละเอียดดงตอไปนี ้
ทฤษฎีการทําให้ทนสมยได้รับการขยายความให้มีความน่าสนใจยิ่งขึนผ่านตวแบบการเรียนรู้เชิง
สถาบน (Institutional Learning Model) ของ Dunkwart Rustow (1970) ซง่ เสนอวาการทํ่ าให้ทนสมย
อย่างเดียวไม่xxxxxxxxxxจะทําให้ประชาชนมีสํานึกแบบประชาธิปไตย จําเป็ นจะต้องมีการเรียนรู้ผ่าน
กระบวนการทางการเมืองแบบประชาธิปไตยด้วย นนหมายความวาแม้่ บางประเทศอาจจะก้าวเขาสค่้ วาม
เป็ นสมยใหม่แล้ว แต่หากประชาชนไม่เคยมีประสบการณ์และการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านระบอบ
ประชาธิปไตย การทําให้ทนสมยอาจจะไม่นําไปสการกลายเป็ นประชาธิปไตยก็ได้เพราะคาxxxxxxคญํ ท่ีสด
ของประชาธิปไตยคือเสรีภาพทางการเมือง (political liberty) ซึ่งจะเกิดขึนxxxxxต่อเมื่อประชาชนมี
ประสบการณ์แบบประชาธิปไตยและมีพฤติกรรมทางการเมือง (political habit) แบบxxxxxxxxxxx xxx เป็ น
สิ่งที่ต้องได้รับการเรียนรู้ภายใต้กระบวนการประชาธิปไตยเท่านนั สถาบนxxxxxธปไตยจงจาเํึิ ป็ นจะต้อง
ได้รับการสถาปนาเสียก่อนเพื่อให้คาxxxxประชาธิปไตยxxxxxxเกิดขน้ ได้
แม้ทฤษฎีดงกล่าวจะxxxxxxอธิบายได้ว่าทําไมประเทศที่เข้าส่ความเป็ นสมยใหม่แล้วxxxxจีนกลบั ไม่มีวี่แววว่าจะกลายเป็ นประชาธิปไตย ทว่ายงมีจดอ่อนตรงxxxxxxxxxxxxอธิบายได้ว่าเหตใดประเทศที่เข้าส่ ความเป็ นสมยใหม่และเคยมีประสบการณ์กบกระบวนการxxxxxxxxxxx xxxx ไทย ยเครน อียิปต์ กลบยงมี
ประชาชน (ที่ส่วนใหญ่เป็ นชนชนกลาง) ออกมาต่อต้านกระบวนการประชาธิปไตย เพ่ือตอบxxxxต่อ
ประเด็นปัญหาดงกลาว Welzel (2009) ได้พฒนาแนวคิดของ Rustow โดยเสนอว่า การมีประสบการณ์กบั ประชาธิปไตยและสํานึกเรื่ องเสรี ภาพทางการเมืองนันยังxxxxxxxxxx ประชาชนต้ องรู้สึกว่าได
“อรรถประโยชน์ (Utility)” จากการใช้เสรีภาพทางการเมืองนนดวย้ คําถามทส่ี ําคญจึงไม่ใช่ “ประชาชนจะ
สนบสนุนประชาธิปไตยหรือไม่” แต่เป็ น “ประชาชนจะสนบสนุนประชาธิปไตยด้วยเหตุผลอะไร” ซึ่ง Welzel มองว่าxxxxxxxxxxxxxxxประชาชนจะได้รับในกระบวนการประชาธิปไตยมากที่สดคือทรัพยากรผ่าน นโยบายสาธารณะ สวสดิการ และการเข้าถึงทุนการผลิต เราจึงต้องพิจารณาว่า ก่อนจะมีประชาธิปไตย ประชาชนxxxxxxเข้าถึงทรัพยากรมากเท่าไหร่ และประชาธิปไตยทําให้พวกเขาเข้าถึงทรัพยากรได้มากขึน้ หรือxxx xxxสําคัญที่สุดคือความต้องการเข้าถึงทรัพยากรของประชาชนมีxxxxxมากขึนหรือไม่ เพราะแม้
ประชาธิปไตยจะทําให้การเข้าถึงทรัพยากรทําได้ง่ายขึน แต่หากประชาชนไม่มีความจําเป็ xxxxจะเข้าถึง
ทรัพยากรเหล่านนั หรือระบอบการxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxทรพยากรxxxx แก่พวกเขาได้อย่างเพียงพอ
อยู่แล้ว ประชาธิปไตยก็มีไม่ความจําเป็ นสําหรับพวกเขา ตรงจุดxxxxxxxxการทําให้ทนสมยมีความสําคญั เพราะกระบวนการดงกล่าวเป็ นการกระต้นให้ความต้องการเข้าถึงทรัพยากรของประชาชนมีสงขึนเพื่อให้ พวกเขาxxxxxxxxxxxxxได้ในเศรษฐกิจแบบทุนนิยม อีกทง้ การทําให้ทนสมยยงมาพร้ อมกบความซบซ้อน
ของสงคม ตวแสดงทางการเมือง และกลุ่มxxxxxxxxxxท่ีหลากหลายขึน ทําให้รัฐท่ีxxxxxxในระบอบ
อํานาจxxxxxxxxxxxxxตอบxxxxต่อความหลากหลายดงกล่าวได้ แต่ประชาธิปไตยxxxxxxทําได้ ดงนนั ้ ประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวจึงไม่มีผลในการทําให้คนตระหนกถึงคุณค่าของเสรีภาพทางการเมือง แต่ การทําให้ทนสมยxxxxxxxxxจะทําให้ประชาชนตระหนกใน “อํานาจ เสรีภาพ ศกยภาพกระทําการ ความเท่า เทียม และความไว้วางใจในตวผู้อื่น” ซึ่ง Welzel เรียกค่าxxxxxxกล่าวว่า “ค่าxxxxแห่งการปลดปล่อย (Emancipative Values)” และเรียกมวลชนที่มีค่าxxxxดังกล่าวว่า “มวลชนเพื่อการปลดแอก
(Emancipative Mass)” xxx xxxจําเป็ นจะต้องเป็ นแคชนชน
กลางเท่านนั
มวลชนเพ่ือการปลดแอกxxxxxxxxxจะมี
บทบาทสําคญในการ “สร้ างแรงกดดนให้กบชนชนนาทางการเมืํ อง เพอเรยกี่ื ร้ องเสรภาพการเมืี องเมอมื่ น
ถกปฏิเสธ xxxx xxมนเมื่อมนถกท้าทาย และขบเคลื่อนมนเมื่อมนหยดชะงก” (Welzel 2009: 84) โดย
Welzel ยําว่าการเรียกร้ องทางการเมืองที่จะนําไปสู่ประชาธิปไตยจะเกิดขึนxxxxxต่อเม่ือมวลชนที่ออกมา เรียกร้องมีคาxxxxแห่งการปลดแอกเท่านนั ้
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีการทําให้xxxxxยดงกล่าววางอยู่บนข้อสนนิษฐานหลกที่ว่ารัฐในระบอบ อํานาจxxxxxxxxxxxxxปรับตวให้สอดคล้องกบทิศทางของเศรษฐกิจแบบxxxxxxxxxx ซ่ึงในความเป็ นจริง
มิได้เป็ นxxxxนนเสมอไป ในหลายๆ กรณีรัฐในระบอบอานาจนิํ ยมมีความจาเํ ป็ xxxxจะต้องพฒนาเศรษฐกิจ
ของตัวเองไปพร้ อมๆ กับการเอือประโยชน์ให้ กับชนชันกลางในประเทศของตนไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เข้าส่ระบบทนxxxxโลกภายหลง xxxx ประเทศแถบอเมรกาใตและจนี้ิ ประเทศ
เหล่านีไม่xxxxxxพฒนาเศรษฐกิจผ่านกลไกตลาดxxxxxxxเพราะบรรษัทหรือผ้ประกอบการในประเทศของ
ตนยงมีทุน ความxxxxxx และทรัพยากรจํากด เม่ือเทียบกบบรรษัทข้ามชาตของรฐท่ีัิ พฒนาอตสาหกรรม
xxxxxx รัฐต้องจึงใช้ “การพฒxxxxxนําโดยรัฐ (State-led Development)” เป็ นหวหอกในการพฒนา
เศรษฐกิจ รัฐเหล่านีได้เข้าไปสนบสนุนบรรษัทภายในประเทศให้มีทรัพยากรมากขึน มีนโยบายสนบสนุน
การลงทุนเพื่อxxxxxศกยภาพในการแข่งขนในเวทีโลก จึงเป็ นเหตผลที่บรรษัทส่วนใหญ่ในอเมริกาใต้ตง้ แต่ อตสาหกรรมเบาจนไปถึงอุตสาหกรรมหนกมีรัฐบาลเป็ นผู้ถือหุ้นใหญ่ การสนบสนุนดงกล่าวส่งผลให้xxxx
xxxxxxxxxx xxxxxxxxxรายได้และการขยายตวของชนชนกลางท่ีเตบโตมากิ บระบบการเมืองแบบปิ ด ซึ่ง
นอกจากจะxxxxxบสนุนประชาธิปไตยแล้ว ยงเป็ นรากฐานสําคญของระบอบเผด็จการอีกด้วย (Johnson 1985) ในกรณีของจีน นอกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการxxxxxxxxการลงทุนแล้ว รัฐบาลยงมี นโยบายกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอีกด้วย xxxx การตรึงค่าเงินหยวน การxxxxxความต้องการและ อํานาจซือของคนภายในประเทศ (Consumption-led Growth) ผ่านสวสดิการภาครัฐ xxxx การให้เงิน
สนบสนุนค่าเลียงดบุตร ซ่ึงxxx xxxxxxxxxxทรัพยากรให้แก่ประชาชน แม้วาจะไม่มีการออกมาเคลอนไหว่ื
ทางการเมืองของมวลชนก็ตาม ผลที่เกิดขน้ ก็คือxxxxxxxขยายตวของชนชนกลางจนอย่ี างรวดเรว็ แตเป็ นชน
ชนกลางxxxxxxxxxขน้ มาได้ด้วยระบบการเมืองแบบปิ ดและไม่เป็ นประชาธิปไตย (So and Su Xianjia 2012)
จากที่กล่าวมาข้างต้นนัน แม้ว่าจะมความเห็ี นxxxxxxxxxx xไปเสยทัี งหมด บางฝ่ ายเห็นว่าการ
เกิดขึนและการขยายตวของชนชน
กลางจะนํามาซึ่งระบอบประชาธิปไตยในท้ายที่สด
ขณะท่ีบางฝ่ ายเห็น
ว่าไม่จําเป็ นเสมอไปที่ชนชนกลางจะมีบทบาทเชิงบวกตอการกลายเ่ ป็ นและการจรรโลงxxxxxธปไตยิ ชน
ชันกลางจะมีบทบาทในทางบวกหรือไม่ อย่างไร ย่อมขึนอยู่กับบริบทเฉพาะของสงคมการเมืองหนึ่งๆ ดงxxxxชนชันกลางจีน เป็ นต้น อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วทฤษฎีการทําให้ทันสมัยมองว่ากระบวนการ
กลายเป็ นประชาธิปไตยเป็ นขนตอนท่ีพฒนาไปอย่างตอเน่ื่ องไปตามพฒนาการเศรษฐกิจทุนนิยมราวกบ
เป็ นเส้นตรง แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้างแต่ในท้ายที่สุดแล้วระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยจะถูก
สถาปนาขึนเมื่อปัจจยเชิงโครงสร้ างทางเศรษฐกิจสงคมมีความเหมาะสม ระบอบxxxxxxxxxxxxxxถกมอง
เป็ นปลายทางของพฒนาการทางการเมืองของสงคมมนษย์ที่จะม่งไปสอย่างหลกเลยงxxxxxx xxx
ประจกษ์ (2559: 9-10) xxxx xxxxxxxxxxxมองกระบวนการพฒนาประชาธิปไตยแบบเส้นตรงข้างต้นถก
ท้าทายโดยความเป็ นจริงท่ีเกิดขึน เพราะในบรรดาประเทศเกอบื 100 ประเทศท่ีถูกจดว่ั าเป็ นรฐทกํ่ีั าลง
“เปล่ียนผ่าน” ไปส่ประชาธิปไตยนนั
เมื่อมาถึงปลายxxxxxx 1990 มีเพียงประมาณ 20 ประเทศเท่านx
xxx
ถือได้ว่าประสบความสําเร็จในการสร้ างประชาธิปไตยให้ xxxxxxx xและมั่นคง อาทิ โปแลนด์ ฮังการ
สาธารณรัฐเช็ค เอสโทเนีย สโลวีเนีย ชิลี อรุ ุกวย
ไต้หวน
เกาหลีใต้ เป็ นต้น หรือบางประเทศก็มีพฒนาการ
ในทางบวกแม้ว่าจะน้ อยกว่ากลุ่มแรก ได้แก่ โรมาเนีย สโลวาเกีย บัลแกเรีย เม็กซิโก บราซิล กานา xx xxxปิ นส์ เป็ นต้น แต่ประเทศจํานวนxxxxxxxxxxxการเสื่อมถอยและชะงกงนของพฒนาการxxxxxxxxxxx xxxx โทxx xxxxรุส อซเบกิสถาน เทอร์กมีนิสถาน เป็ นต้น ในประเทศเหล่านี ้ แม้ว่าจะxxxxxxxxxxถดถอยไปสู่
ระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบเหมือนในยคสงครามเย็น แตก็ถอยออกจากระบอบเสรนิี ยมxxxxxธปไตยิ เกิด
เป็ นระบอบก่ึงเผด็จการก่ึงประชาธิปไตย (mixed regime) และทําให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ ขึนแทนที่แนวคิด เร่ืxxxxxเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยแบบทําให้ทันสมัย xxxx แนวคิดว่าด้วยระบอบลูกผสมพันทาง (hybrid regime) xxx xxให้เห็นxxxxxxสินสดสงครามเย็นประเทศจํานวนมากxxxxxxxxxxxxxxนผ่านไปส่การมี ระบอบxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx xxxxxxxxเป็ นระบอบคร่ึงๆ xxxxx xxxมีลกษณะผสมระหว่างxxxxxxxx
ประชาธิปไตยกบเผด็จการxxxxxxx โดยประเด็นสําคญคือระบอบเหล่านีม
ีความมน
xxและเสถียรภาพใน
ตวเอง มิได้เป็ นระบอบชวคราวท่ีจะเปลยนผานไปสป่่่ี xxxxธิปไตยดงxxxท่ี่ ทฤษฎxxx าให้ทนสมยคาดหวงไว้
xxxx มาเลเซีย และสิงคโปร์ ทง้ ๆ ที่มีระดบการพฒนาทางเศรษฐกิจในระดบสง แต่ก็มิได้กลายเป็ นประเทศ
ประชาธิปไตยแบบxxxxxxxx ตรงกนข้ามระบอบผสมนีกลบมีความxxxxตอความท้าท้ายใหม่ๆ ที่เกิดขน้ จาก การเปลี่ยนแปลงบริบททง้ ในระดบภายในประเทศและระดบโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลงสินสดยคสงคราม เย็น
ประจกษ์ (2559: 24-30) ชีต้ ่อไปว่าในระยะหลงพบว่าระบอบอํานาจxxxxมีความxxxxมากกว่าที่ เข้าใจกนั งานวิจยที่ศึกษาระบอบเผด็จการในช่วงหลงxxxxxxxxxxxxให้เห็นระยะเวลาการครองอํานาจที่
เปลี่ยนแปลงไปของระบอบเผด็จการ โดยในปี ค.ศ. 1991 พบว่าทวโลกมประเทศท่ีี เป็ นระบอบเผดจการ็ 73
ประเทศ แล้วลดลงเหลือ 57 ประเทศในปี 2012 สิ่งxxxxxxสนใจคือระบอบเผด็จการในปัจจบนครองอานาจxxxx
ยาวนานกว่าในสมัยสงครามเย็น โดยค่าเฉลี่ยของการอยู่ในอํานาจของระบอบเผด็จการในช่วงปี ค.ศ. 1946-1989 อยู่ที่ 12 ปี แต่หลงสงครามเย็นเป็ นต้นมาค่าเฉลี่ยระยะเวลาในการครองอํานาจกลบxxxxxขึน้ เป็ น 20 ปี นํามาส่การศกษาวิจยว่าเหตใดระบอบอํานาจxxxxxxxxxxx (durable authoritarianism) แม้ว่า บริบทการเมืองและเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม
จากการศกษาวิจยค้นหาสาเหตุ ยทธศาสตร์ ยทธวิธี และปัจจยที่ทําให้ระบอบเผด็จการในยคหลง
สงครามเย็นมีความxxxx คําตอบที่ค้นพบและเป็ xxxxยอมรับมากท่ีสดในปัจจบนคอื ระบอบเผดจการในย็ ค
หลงมีความxxxxxxมากขึนในการควบคุมสถาบนxxxxxxxxxxx xxxx การเลือกตงั พรรคการเมองื และ
รัฐสภา กล่าวคือ ระบอบเผด็จการอย่ได้นานมิใช่เพราะล้มเลิกกระบวนการและสถาบนพืนฐานที่ทําหน้าท่ี สําคญในระบอบประชาธิปไตย หากแต่เป็ นเพราะได้เรียนรู้ที่จะควบคมสถาบนเหล่านีให้เป็ นประโยชน์ต่อ ตนเอง และดดแปลงให้ทําหน้าที่ตางจากเดิม คือxxxxxxxxทําหน้าที่xxxxxอํานาจให้กบประชาชน กลบเปลี่ยน ให้ทําหน้าที่คําจุนอํานาจระบอบเผด็จการแทน นักวิชาการพบว่าระบอบxxxxxxxxxxxยอมให้มีการจัดตงั ้ สถาบนเหล่านีจะอย่ในอํานาจได้ยาวนานกว่าระบอบxxxxxxxxxxxxxxxxxในลกษณะอํานาจxxxxเบ็ดเสร็จ และทําลายสถาบนประชาธิปไตยลงอย่างสินเชิง กล่าวอีกแบบคือ ระบอบเผด็จการยคหลงเป็ นxxxxxxxxxxx แฝงตวอยู่ภายใต้หน้ากากของสถาบนประชาธิปไตย ซ่ึงนกวิชาการบางส่วนเรียกว่าระบอบผสม (hybrid regime) ดงที่กล่าวไปข้างxxx xxxxเป็ นระบอบก่ึงxxxxxxxxxxxเปิ ดให้มีการแข่งขนทางการเมืองผ่านการ เลือกตง้ ในระดบหนึ่ง อนุญาตให้มีการการจดตง้ พรรคการเมืองฝ่ ายxxxxxxxให้ความxxxxxxxกบระบอบนี
ตอโลกภายนอก แตการแข่งขนดงกลาวไม่นําไปสการท้าทายอานาจของระบอบเผดจการ็ํ
นกวิชาการพบตอไปว่า ระบอบเผด็จการในโลกปัจจบนฉวยใช้สถาบนประชาธิปไตยเหล่านีอย่างมี
ประสิทธิภาพมากขนึ กลาวคอื ใช้อานาจผานกลไกเชงสถาบนิ่ํ มากกว่าใชอานาจในลกํ้ ษณะที่กระจกไว้ท่ีตว
ของผ้น
ําในลxxxxxxxเป็ นอํานาจส่วนตว
(institutionalized, not personalized, dictatorships) รัฐxxxxx
xxxxxxผนวกรวมสถาบนรัฐสภาและพรรคการเมืองเข้ามาเป็ นสวนหนึ่งของรูปแบบการครองอํานาจ จะอย่ใน
อํานาจได้ยาวนานกว่ารัฐที่ไม่มีสถาบันเหล่านีถึง 14 ปี โดยเฉลย่ี และถ้ ามีการจัดการเลือกตงั อย่าง
สมํ่าเสมอเพื่อสร้ างความxxxxxxxให้กบการครองอํานาจ จะอยู่ได้นานกว่าระบอบที่ไม่มีการเลือกตง้ ถึง
22 ปี สาเหตที่เป็ นxxxนี่ ก้ ็เพราะว่า การxxxxxxผานกลไกสถาบน่ ประชาธิปไตยกลบทําให้ระบอบเผดจการ็
xxxxxxลดความเส่ียงจากการถกโคนล้มด้วยประชาชน หรือด้วยกําลงจากชนชนนํากลม่ อน่ื เพราะสถาบน
รัฐสภาและพรรคการเมืองเป็ นพืxxxxxxxรัฐบาลเผด็จการxxxxxxผนวกกลืนคนจํานวนมากให้เข้ามาเป็ นพวก เดียวได้ ด้วยการแจกจ่ายตําแหน่ง งบประมาณ และบทบาททางสาธารณะให้ แต่ละคนได้ ร่วมxxx xxประโยชน์และอํานาจกบระบอบที่ดํารงอยู่ ด้วยการใช้กลไกเชิงสถาบนเหล่านี ้ระบอบเผด็จการxxxxxx
ขยายฐานอํานาจไปยงคนวงกว้างมากขึน และยงทําให้เหล่าผู้คนท่ีถูกดงเึ ข้ามาเป็ นส่วนหนงของระบอบ่ึ
รู้สึกว่าตนมีความสําคญ และเม่ือคนเหล่านี ้ (xxxเทคโนแครต่ นกวิชาการ นกวิชาชีพ นกการเมองื สื่อ นก
กิจกรรม) กลายเป็ นส่วนหนึ่งของระบอบ พวกเขาก็จะมีแรงxxxxxxxxจะxxxxxxxระบอบนีให้xxอยู่ยาวนาน มากกว่าท่ีจะปล่อยมนล่มสลายไป เพราะมีxxxxxxxxxxและชะตากรรมของพวกเขาผูกพนอยู่ในxxxxx ของระบอบเผด็จการด้วย มิใช่แค่xxxxxxxxxxของนายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีและxxxxxxxxxกลุ่ม แคบๆ เท่านนั ้
อย่างไรก็ดี Veerayooth and Hewison (2016: 379-381) xxxx xxxxxxxการณ์เด่นประการหน่ึงของ การเมืองไทยคือ “วงจรอุบาทว์” ทางการเมือง ซึ่งทําให้ xxxxxxxแกว่งไปมาบ่อยครังระหว่างระบอบ ประชาธิปไตยกับเผด็จการ ผ่านการเลือกตังและการรัฐประหาร ทําให้แนวการวิเคราะห์แบบระบอบ พนทาง/ความxxxxของระบอบอํานาจxxxxและแนวคิดการทําให้xxxxxยไม่xxxxxxอธิบายxxxxxxx
เมืองไทยได้อย่างลงรูปลงรอย ปรากฏการณ์วงจรxxxxxxxxxxเกิดขึนบ่อยครัง โดยเฉพาะอย่างย่ิงชวงหลง่
พ.ศ. 2516 ย่อมหมายความว่าระบอบการเมืองทุกระบอบไม่ว่าจะเป็ นระบอบพนทาง/เผด็จการ-อํานาจ
xxxxxxxเกิดขึนภายหลงการเลือกตงั (xxxxระบอบxxxxxธปไตยxxxใบยึ่ิ คพลเอกxxxx) หรอระบอบxxxxxธิื
ไตยที่มีการเลือกตงั
xxxx ในช่วงที่xxxxxxxxxxxxx
พ.ศ. 2540 มีผลบงคบใช้ หรือระบอบอํานาจxxxx
ภายหลงการรัฐประหาร (xxxx รัฐบาล คสช.ในปัจจุบน
หรือที่กําลงจะเกิดขึนภายใต้xxxxxxxxxxxxx
พ.ศ.
2560) นนยงไม่มีความย่งยนื สาเหตสุ ําคญท่ีทําในแนวการวิเคราะห์แบบการทําให้xxxxxยและระบอบ
พนทาง/ความxxxxของระบอบอํานาจxxxxxxxเหมาะสมกับกรณีประเทศไทยเป็ นเพราะแนวคิดเหล่านี
สมาทานสมมต
ิฐานหลกว่าชนชน
กลางมีบทบาทเป็ นกองหน้าและยึดมน
ในระบอบประชาธิปไตย และชน
ชนนําขาดแรงxxxxxxxจะยอมรับการxxxxxxxxxxxทางการเมืองกบชนชน
ล่างๆ ลงมา แต่สมมต
ิฐานทง้ สอง
นีกลบไม่เป็ นจริงในสงคมไทย ในอีกปัจจยหน่ึงการที่ระบอบการเมืองต่างๆ ไม่มีความxxxxเป็ นเพราะรัฐ
ไทยนนมxx กษณะเป็ นรฐอ่ั อนแอ (weak state) กลาวคอื มีระบบพรรคการเมืองxxxxxxxxx กองxxxxxแตกแยก
(factionalized military) และเป็ นเผด็จการxxxxxxมนxx (wobbly dictatorship) กลาวอกแบบคอืี่ สถาบน
“สมยใหม่” ตางๆ ของรัฐไทยที่ถกสร้างขน้ ยงไม่xxxxxxลงหลกปักฐานได้อย่างมนxxในสงคมไทย
ประจกษ์ (2559: 34-36) เห็นว่าโครงสร้างของรัฐ xxxx รัฐแบบxxxxxxxxหรือรัฐอ่อนแอมีผลต่อการ ทํางานและความxxx xxxของระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้ างแบบรัฐ
ราชสมบติสมยใหม่ (neo-patrimonial state) มีผลเชิงลบตอการลงหลก่ ปกฐานของระบอบxxxxxธปไตยิั
โดยรัฐxxxxxxxxxแบบรัฐราชสมบติสมยใหมมี่ ลกษณะดงตอไปนี
“รัฐxxxxxxxxxxxมีลกษณะเป็ นรัฐสมยใหม่แบบสมบรณ์พร้ อม ซง
ผ้น
ําถือเอารัฐเป็ น
เสมือนสมบต
ิส่วนตวของผู้นํา ไม่มีการแยกระหว่างทรัพยากรส่วนตว
(private) กับ
ส่วนรวม (public) ออกจากกน
ผ้น
ํารัฐทําลายกลไกตรวจสอบถ่วงxxxxxจะมาคานการใช้
อํานาจของพวกเขา ทําให้ ระบบราชการขาดความเป็ นมืออาชีพและเป็ นกลาง แต่ กลายเป็ นเครื่องมือตอบxxxxผู้นําและเครือข่ายอํานาจของผู้นํา ตําแหน่งในระบบ
ราชการและในระบบการเมืองถกจดสรรจ่ายแจกให้กบxxxxxxxxxและบริวารของชนชนนํา
ที่ยึดกุมอํานาจรัฐ และตําแหน่งเหล่านีถ
ูกใช้เพื่อสะสมอํานาจและความxxxxx
xxxxตว
ให้ กับผู้นําและxxxxxxx มากกว่าเพื่อที่จะรับใช้ xxxxxxxxxxของสาธารณะ ซึ่งเป็ น อุปสรรคต่อการทําให้ระบอบการเมืองตอบxxxxประชาชน นําไปสู่คอร์รัปชัน ระบบ
xxxxxxxx การรวบอํานาจของชนชนนํากลมุ่ น้อยเพ่ือทําให้ตนเองรารวย่ํ และการพฒนา
เศรษฐกิจที่มีปัญหานําไปสช่ ่องว่างทางโอกาสและรายได”้ (ประจกษ์ 2559: 35)
เห็นได้ชดว่ารัฐท่ีมีลกษณะxxxxxxxxxxข้างต้นนนั เมxxxxxเปลยนผ่่ีีื่ านไปสร่ ะบอบประชาธิปไตย
แล้ว ก็ย่อมทําให้ประสิทธิภาพและความxxxxxxxของระบอบประชาธิปไตยถกตง้ คําถามได้เสมอ ซึ่งเป็ น
อีกปัจจยหนึ่งที่ทําให้เกิดxxxxxการณ์ “เปลี่ยนไม่ผ่าน” ในกรณีของxxx xxxxไปกว่านนั โครงสร้ างรฐแบบxxx
xxxสร้ างแรงจูงใจให้ชนชนนากลม่ํ ตางๆ่ แข่งขนกนอย่างรุนแรงเพ่ือยดกมอานาจรฐเพ่ืัํุึ อสะสมความxxxx
และอํานาจ จนทําให้การเมืองมีลกษณะใครชนะได้หมด ใครแพ้เสียหมด (zero-sum politics) จนทําให้การ
แข่งขนทางการเมืองมีความรุนแรงสง
เสี่ยงต่อการไร้เสถียรภาพ และขาดกติกาที่ทกฝ่ ายยอมรับร่วมกน
ซึ่ง
ทง้ หมดนีเป็ นอปสรรคตอการสร้างระบอบxxxxxxxxxxxxxxมนxxและยง่ ยนื
ต่อประเด็นลกษณะโครงสร้างของรัฐนีxx xxxยทธ (2560) เห็นว่า ความxxxxxxxxxของรัฐราชสมบติยค
โบราณ (รัฐเก่า) สงผลให้เกิดปมลกลน
-ย้อนแย้ง 5 ปม อนก่อให้เกิดความตงเครียดในรัฐไทยในปัจจบน
(รัฐ
ใหม่) ซึ่งก็กลายเป็ นสาเหตส
่วนหนึ่งที่ทําให้xxxxxxxแกว่งตวไปมาบ่อยครัง
ระหว่างระบอบประชาธิปไตย
และระบอบเผด็จการ แต่ในที่นีจะขอกล่าวเฉพาะปมที่ 1 และ 2 ซ่ึงเกี่ยวข้องกบการศกษาxxxxxเท่านนั ใน
ปมที่ 1 xxxxxxxxเห็นว่าความตึงเครียดเชิงโครงสร้ างระหว่างรัฐเก่ากับรัฐใหม่ก่อให้เกิดแรงจูงใจทาง การเมืองของชนชันนําท่ีมีลกษณะย้อนแย้งกนระหว่างความต้องการมีอํานาจ (authority) แต่กลบไม่
ต้องการความรับผิด (accountability) เพราะในรัฐราชสมบต
ิหรือรัฐเผด็จการ ชนชน
นําต้องการแต่อํานาจ
แต่ไม่ยอมรับภาระการรับผิดอย่างเป็ นทางการ ซ่ึงสะท้อนในวลีxxxxของxxxxxสฤษxxx xxxxxxxxที่ว่า
“ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแตเพียงผ้เดียว” อนหมายความว่า ระบอบสฤษด นไร้ซง่ ระบบตรวจสอบโดยสนิ เชงิ
และกล่าวได้อีกxxxxกนว่า ทง้ xxxxxxxxxxxxx พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2560 สะท้อนจินตนาการของการ
ก่อสร้ างกลไกทางการเมืองท่ีให้อํานาจกบชนชนนํา โดยแทบจะไม่ต้องมภาระความรบผดิัี “ซึ่งเป็ นกลไก
xxxxxxxxxxxxxxรัฐxxxxxยใหม่โปะเข้ามาบนรัฐราชสมบติ” (xxxxยทธ 2560: 11)
ปมที่ 2 คือความขดแย้งระหว่างกรุงเทพฯ กบต่างจงหวด xxxxยทธชxx x xxการจดสรรทรพยากรของรxxx
xxxให้ประโยชน์และกระจกตวในกรุงเทพฯ มากกว่าตางจงหวดอย่างอยต
ิxxxxxxxxนนั
ก็เป็ นความxxxxxxxxxของ
รัฐxxxxxxxกรุงเทพฯ ทําตวเสมือนเจ้าอาณานิคมxxxxxxต่างจงหวด ตวอยางxxxx xในปี พ.ศ. 2544 รายจาย่
สาธารณะร้ อยละ 72 กระจุกตวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทง้ ที่กรุงเทพฯ มีประชากรเพียง 17%
และสร้ างผลผลิตประชาชาติเพียง 26% ของทง้ ประเทศ ในขณะท่ีภาคอีสานซง่ มีประชากรถึง 34% กลบั
ได้รับการจดสรรงบประมาณสาธารณะเพียง 6% เท่านนั หรือมองอีกมมหน่ึง กรงเทพฯุ ไดรั้ บการจดสรร
รายจ่ายต่อหวด้านสาธารณสขและการศกษามากกว่าคนต่างจงหวดถึง 15 และ 4 เท่าตามลําดบ ความ
อยุติธรรมนีจ้ ึงกลายเป็ นปมความขัดแย้งของการจัดสรรทรัพยากรในเชิงพืxxxxระหว่างกรุงเทพฯ กับ ตางจงหวดั
ซ้อนทบไปกบความขดแย้งเชิงพืxxxxxxคือความขดxxxxxxxxxxชน
ระหว่างชนชน
กลางของกรุงเทพฯ
กับชนชันล่างในต่างจังหวัด เน่ืองจากเส้นทางสู่ความเป็ นชนชันกลางของสังคมไทยคือ “ย้ายมาอยู่
กรุงเทพฯ เรียนสงๆ และหมกม่นกบเรื่องคอร์รัปชน” (xxxxยทธ 2560: 13) กลาวอกแบบคอืี่ กว่าร้อยละ 60
ของชนชนกลางไทยเกิดในกรุงเทพฯ โดยทระดบ่ี การศึกษาเป็ นปัจจยหลกในการกําหนดอาชพและรายxxxx
การศึกษาจึงเป็ นองค์ประกอบที่สําคญมากในการก่อตวของชนชนกลางไทย ในขณะท่ีพวกเขาร้ อยละ 65
เห็นว่าปัญหาคอร์รัปชน (ในบรบทเฉพาะของสิ งคมไทย หมายxxxxxxคอรรั์ ปชนของนกการเมองท่ีื มาจาก
การเลือกตง้ เท่านนั ) เป็ นเรองทxxxxx xxxxxของสง่ คม ความซ้อนทบกนระหว่างปญหาการจดั สรรทรัพยากรเชิง
พืxxxxกบชนชนนีย้ ่อมก่อให้เกิดแรงจูงใจทางการเมืองท่ีแตกตางกน่ ระหว่างคนกรงเทพฯุ กบคนตางจง่ หวด
กล่าวคือคนต่างจังหวัดย่อมพร้ อมท่ีจะเลือกพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบาย “xxxxxxxxx” xxxxxx ทรัพยากรสู่พืxxxxนอกกรุงเทพฯ เพราะเขาถูกเอาเปรียบมานาน ส่วนคนกรุงเทพฯ ก็พร้ อมที่จะต่อต้าน
รัฐบาลท่ี “หว่าน” งบประมาณสxx xxxxxxxเพ่ือปกป้ องสถานะเดมของตนิ
ทังนี ้ แม้งานศึกษาที่ผ่านมาจะเป็ นประโยชน์ต่อการทําความเข้าใจ “ขบวนการเปลี่ยนแปลง
ประเทศไทย” ระดบหนึ่ง แต่งานเหล่านีมิไดมี้ วตถุxxxxxxxหลกหรอมขอบเีื ขตการศกษาท่ีึ ม่งเน้นไปท่ีกล่ม
มวลชนท่ีสนับสนุนขบวนการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังขาดงานท่ีจะอธิบายชุดความคิด ความเชื่อ หรือ
อดมการณ์ทางการเมืองของมวลชนกลม
นี ้ทง้ ๆ ที่งานสวนใหญ่เห็นตรงกนว่ามวลชนกลม
หลกกลม
หน่ึงของ
“ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย” เป็ น “ชนชนกลาง” ซ่ึงในทางทฤษฎแบบการxxx าให้ทนสมยได้มอบ
บทบาทให้เป็ นกองหน้าของการกลายเป็ น (และการจรรโลง) ประชาธิปไตย ส่วน Veerayooth and
Hewison (2016) ก็xxxx xxxxเหตที่ทําให้ทฤษฎีแบบการทําให้ทนสมยหรอระบอบพื นทาง/ความxxxxของ
ระบอบอํานาจxxxx xxxเหมาะสมกบกรณีประเทศไทยนน
เป็ นเพราะแนวคิดพวกนีสมาทานสมมต
ิฐานหลก
ว่าชนชน
กลางมีบทบาทเป็ นกองหน้าและยึดมน
ในระบอบประชาธิปไตย แต่xxxx
xxxxxxกลบไม่เป็ นจริงใน
สงคมไทย ในขณะท่ีประจกษ์ (2559) และxxxยทธ (2560) xxxx xxลกษณะเชิงโครงสร้างของรัฐxxxxxยใหม่ที่ ยังxxสืบทอดมรดกโครงสร้ างแบบรัฐโบราณมีผลต่อการเปลี่ยน (ไม่ผ่าน) ของสังคมการเมืองไทย โดยเฉพาะxxxxxxxxเชื่อว่าความตึงเครียดเชิงโครงสร้ างระหว่างรัฐเก่ากับรัฐใหม่ก่อให้เกิดแรงจูงใจทาง
การเมืองของชนชนนาทมี่ีํ ลกษณะย้อนแย้งกนระหวางความตองการมสี้่ ิทธิอํานาจ (authority) แตกลบ่ ไม่
ต้องการความรับผิด (accountability) และในขณะเดียวกนก็มีปมความขดแย้งทบซ้อนทง้ เชิงพืxxxxระหว่าง
กรุงเทพฯ กบต่างจงหวดและxxxxxxชนั (กลางกบล่าง) ที่เกิดจากการจดสรรทรพยากรของั รัฐท่ีให้ประโยชน์
แก่กรุงเทพฯ ซ่ึงเป็ นความxxxxxxxxxของรัฐxxxxxxxกรุงเทพฯ ทําตวเสมือนเจ้าอาณานิคมxxxxxxต่างจงหวด
ทําให้ชนชน
กลางสวนใหญ่ (คนกรุงเทพฯ) ของไทยต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตงั
เพ่ือปกป้ องฐานะxxx
xxxเปรียบในการxxxxxxทรัพยากรxxxxxxเป็ นธรรมตอไป
เพราะเหตุนี ้ จึงมีความจําเป็ xxxxจะต้ องสร้ างความกระจ่างให้ กับประเด็นคนชันกลางกับ
ประชาธิปไตยภายใต้ “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ในสองประเด็นด้วยกน ประxxxxxก็ พวกเขามี
สดสวนเท่าใดในกลม
ผ้สนบสนน
“ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” และพวกเขามีสถานะทางเศรษฐกิจ
และสงคมอย่างไร ประเด็นที่สอง พวกเขามีทศนะทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตย อย่างไร เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร และพวกเขาให้เหตผลว่าเป็ นเพราะเหตใด เป็ นไปในทิศทางเดียวกบท่ีงาน
ศกษาที่มีอย่ก่อนหน้าอธิบายไว้หรอxxx xอย่างไร หากไม่ใช่หรอxxxx xxxxxxx จะอาศยเง่ือนไขและปจจั ยอนใน่ื
การทําความเข้าใจและอธิบาย “ความไม่ลงรอย” ดงกล่าวได้หรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะเงื่อนไขและปัจจยั xxxx โลกทศน์และคติความเช่ือทางศาสนา ซึ่งยงไม่ส้ได้รับความสําคญในการทําความเข้าใจ และอธิบาย ปรากฏการณ์ดงกลาวมากนกั
1.3.2 โลกทศน์และคตความเช่ือทางศาสนา
กปปส. รวมถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อxxxxxxxxxxx xxระบบการเมืองการxxxxxxxxxให
ความสําคญกับศีลธรรมของผู้xxxxxxหรือนกการเมืองเป็ นหลก หรออีื กนยหนึ่งคอชูื ระบบการเมืองการ
xxxxxxxxxวางอยู่บนคติความเชื่อทางศาสนามากกว่าxxxxxxหรือทฤษฎีการเมือง การทําความเข้าใจ ความคิดและอดมการณ์ทางการเมืองของ กปปส. รวมถึงพนธxxxxฯ จึงจําเป็ นต้องพิจารณาโลกทศน์และ คติความเชื่อทางศาสนาที่เกี่ยวข้องประกอบ xxx xxxสําคญได้แก่แนวคิดเรื่องบญและxxxxx
Hanks ในบทความ Merit and Power in the Thai Social Order (1962) เสนอว่าแนวคิดเรื่องบญุ
ในพุทธศาสนามีความสมพนธ์กับxxxxxxxสงคมและการเมืองไทยอย่างสําคญ กลาวคอื่ คนไทยเห็นว่า
ส่ิงมีชีวิตดํารงอย่ตามลําดบชนของความxxxxxxxxxจะกระทาการสํ มฤทธ์ิและความเป็ นอสระจากxx xกข์ ยิ่ง
xxxxxxกระทําxxxxxxxxxxได้เท่าไหร่ทกข์ยิ่งน้อยเท่านนั
และส่ิงมีชีวิตใดจะอย่ล
ําดบชน
ไหนขึนกบบญหรือ
ความxx xxx xxxxxxxxxxxพนและเสื่อมสญxxx xxxไม่มีใครอย่ในตําแหน่งใดตายตวทง้ ในลําดบชนทางจกรวาล
และลําดบชนทางสงคม แม้บคคลจะเกิดมาในตาแหนํ ่งทางสงคมตามบญท่ีสง่ สมมา แต่เขากxxx xจําเป็ นตอง้
อยู่ตรงนันไปจนxxx xxxxxxxxxxxเป็ นรัฐมนตรีและกษัตริย์ก็xxxxxxเป็ นทาสได้ แม้การเคลื่อนย้าย
ตําแหน่งจะถกจํากดด้วยอายขย ปัจจยทางกายภาพ รวมถึงเพศ xxxxx xธุ์ และการศกษากตาม็
นอกจากนี ้ Hanks เสนอว่านอกจากบุญ คนไทยตระหนกถึงปัจจยอีกประการที่ปฏิบติการอย่ใน
xxxxxxxสังคม ซึ่งก็คืออํานาจ โดยอํานาจที่ว่านีไม่จําเป็ นต้องเกี่ยวข้องกับศีลธรรมxxxxเดียวกับคําว่า
Power ในภาษาองxxx ทง้ นีก้ ็เพราะว่าส่ิงที่อนญาตให้ทรราชย์ที่อํามหิตและอยติธรรมดารงอยํ ่ได้ ทง้ xxxxx
xxxxxxxระบช
ดว่าการครองราชย์เขาต้องยต
ิลงหรือไม่ควรเร่ิมตง้ แต่แรกคือ อํานาจ xxx xxxเป็ นคณลกษณะ
ส่วนบุคคลเหมือนพลงงาน อํานาจบางอย่างมาจากประสบการณ์ บ้างมาจากความรู้พิเศษ หรือมาจาก
เครื่องรางของxxx เป็ นตน้
xxxxxxxxxxx Xxxxxxx ในหนงสือ World Conqueror and World Renouncer (1976) ไม่เห็นด้วย กบ Hanks ในการแยกอํานาจออกจากขอบข่ายของศีลธรรมและบุญ เขาเห็นว่าxxxทศน์xxxxxxxxxและ
อํานาจก่อให้เกิดชดที่ยึดโยงกบการต่างตอบแทน ลําดบชนั รวมถึงความตึงเครียด นอกจากนี ้ เขาเสนอว่า
การพิจารณาเรื่องบญที่มีนยสองด้านนําไปส่วิภาษวิธีแห่งความไม่แน่นอนและการเปลยนแปลงของอานาจํ่ี
ซงึ ส่งผลให้กษัตริย์xxxxxxxxxxxxxxxและตกอบได้ (Xxxxxxx 1976: 484-486) หนงสือเล่มนีเป็ นการศกษา
ประวติศาสตรความสม์ พนธ์ระหว่างพทธศาสนุ ากบการxxxx องในประเทศไทย ในสมยสโขทุ ยตอนต้นการ
xxxxxxอิงคติธรรมราชาของพุทธศาสนาเถรวาท กระนน
ด้วยความxxxxxxรับxxxxxxxจากจก
รวรรดิขอมซึ่งมี
ทง้ ฮินดและพทธเป็ นองค์ประกอบ จึงมีxxxxxxxดแลพิธีxxxx xxxxxxxxxxและปฏิทิน กฎหมาย และการ
xxxxxx ต่อมาในxxxxxธยาได้มีการลอกเลียนธรรมเนียมและการปฏิบติของขอมอย่างเปิ ดเผย นบตง้ แต
สถาบนการxxxxxxและการเมือง รูปแบบศิลปะ ระบบการเขียน ศพท์ ราชาศพท์ ไปจนกระทงั ราชพิธี และ มีการนําเข้าxxxxxxxจากกัมพูชาในการประกอบราชพิธี สมยอยุธยาจึงมีทังคติธรรมราชาท่ีรับมาจาก สโขทยและคติเทวราชาท่ีรับมาจากกมพชา กษัตริย์มีสถานะเป็ นพระโพธิสตว์และมีพระนามเกี่ยวกบพระ โพธิสตว์ ขณะที่พระราชวงเปรียบเสมือนวงพระอินทร์และเป็ นประหนึ่งศนย์กลางจกรวาล
สวนในแง่การเมืองไทยร่วมสมย Xxxxxxx เสนอว่าอดมการณ์ของxxxxxสฤษดิไม่เพียงแต่กดทบ
สญลกษณ์การปฏิวติ 2475 หากแต่ยงรอื ฟื ้นและสร้ างความxxxxให้กับสญลกษณ์ที่ดํารงอยกู่ อนหน้าคอื
กษัตริย์และพุทธศาสนา xxxxxสฤษดิ์xxxxxxxxให้ กษัตริย์เสด็จพระราชดําเนินไปต่างจังหวัดและ
ต่างประเทศ xxxxx xพระราชพิธี xxxxxxxxxขวญ พระราชทานชอพระ่ื มอบxxxxxx xxxxxxนเคร่ืองxxxxxx
แก้ว ฯลฯ (Xxxxxxx 1976: 501) นอกจากนี ้ Xxxxxxx เสนอว่าxxxxxxxxxxxยใหม่มีความคล้ายคลงกบั การแย่งชิงราชบลลงก์สมยก่อน ในแง่ท่ีมีการสร้ างความxxxxxxxและให้การรับรองอํานาจใหม่ เขาเสนอ ว่าแม้รัชกาลที่ 9 ได้ถกยกออกจากความxxxxxxของการเมืองxxxx xxxได้อย่ในสถานะของผ้xxxxxx ทว่า พระองค์ได้ให้ความxxxxxxxแก่ผ้xxxxxxรุ่นหลงด้วยการให้อภยต่อการก่อรัฐประหารของพวกเขา3(Ibid: 487-489)
ส่วนแนวคิดเรื่องxxxxx Jory (2002) เห็นว่าวงวิชาการให้ความสนใจกบกําเนิดคําว่าxxxxxและ xxxxxxxของแนวคิดนีต้ อวาทกรรมการเมืองไทยxxxxxxxxน้อย (วิทยานิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ เรื่องxxxxx
มีขอบเขตความสนใจจํากด) เขาจึงศึกษาเวสสนดรชาดก xxxxx และโพธิสตว์กษตรย์ิั ในแง่กําเนดและิ การ
3 ณฐพล (2556) xxxx xxรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ไม่เพียงแต่ได้รับการช่วยเหลือจากกรมขนชยนาทฯ หนึ่งในคณะผ้สู ําเร็จราชการ แทนพระองค์ หากแต่ยงได้รับการรับรองจากรัชกาลที่ 9 ถือเป็ นต้นแบบของxxxxxxxxxxxxได้รับการรับรองความxxxxxxxจากสถาบนกษัตริย์
แพร่xxxxxxของxxxทศน์อํานาจแบบไทย เขาเสนอว่าเวสสนดรชาดกเป็ นหนึ่งในตวบทสําคญสดในรัฐไทย ก่อนสมยใหม่ ในการแสดงออกและxxxxxxทฤษฎีการเมืองที่วางอย่บนxxxทศน์xxxxxและโพธิสตว์กษัตริย์ กล่าวคือ คมภีร์xxxxxxxและชาดกได้จัดวางเวสสนดรชาดกไว้ตรงใจกลางของวงศาxxxxxพระพุทธเจ้า
ขณะเดียวกน
“xxxxxxxอนยิ่งใหญ่” (Great Lineage) ซง่ ขยายxxxxxxxพระพทธเจ้ามายงปัจจบน
ได้ส่งผล
ให้เวสสนดรเป็ นบรรพบรุ ุษของกษัตริย์ร่วมสมย โดยกษัตริย์สยามในปลายxxxxxxxxx 18 และตนxxxxxxxxxx
19 ถกนําเสนอในเอกสารราชสํานกว่ามีคณสมบติเหมอนกื บพระโพธิสตว์ มีการใช้ชื่อเดยวกบี พระโพธิสตว์
xxxx xxxxxxxxx มหาxxxxxxxxx รวมทง้ มีการสง่ สมทศxxxxxและจะตรัสรู้เป็ นพระพทธเจ้าในxxxxx ในxxx
xxธยาตอนปลายมีความเชื่อว่าพระพทธเจ้าเป็ นกษัตริย์รวมถึงเป็ นผ้ก่อตง้ อาณาจกรสยาม ขณะทการข่ี ึน
ครองราชย์ของรัชกาลที่ 1 ถูกโยงเข้ากับเหตุการณ์ท่ีพระโพธิสตว์xxxxxxมาร ขณะเดียวกันกษัตริย์ xxxxxxแสดงตนตามภาพลกษณ์ของเวสสนxx xxxx รัชกาลที่ 3 ประกอบพิธีบริจาคxxxxxxxxในเชิง สญลกษณ์แก่พระ นอกจากนี ้ xxxxxxxxxตอนต้นคือยคทองของการแต่งคําร้องเวสสนดรชาดกในราชสํานกั การเทศน์มหาชาติคําหลวงมีนยของการสร้างความxxxxxxxให้กบผ้xxxxxxในฐานะโพธิสตว์กษัตริย์หรือ
พระพทธเจ้าในxxxxx ขณะท่ีศิลปะในวดก็พบคติกษัตริย์ในฐานะโพธิสตว์สง่ สมxxxxxxxxxxx xลาวอกนี่ ย
หนึ่งรัตนโกสินทร์ตอนต้นคือยคทองของวฒนธรรมการเมืองไทยที่วางอยู่บนxxxทศน์xxxxx กษัตริย์ถูกยก ให้มีสถานะเป็ นพระโพธิสัตว์ท่ีสั่งสมxxxxxและมีความเชื่อมโยงกับ “xxxxxxxอันยิ่งใหญ่” และชาดก โดยเฉพาะเวสสนดรชาดก
Jory (2002) เสนอว่าการxxxxxxศาสนาโดยธรรมยตในสมยรัชกาลที่ 4 ส่งผลให้วาทกรรมเรื่องxxxxx อํานาจที่วางอยู่บนxxxxxลดความสําคัญลง ราชสํานักละทิงชาดกและxxxxxอื่นๆ วาทกรรมศาสนา-
ประวติศาสตร์ “วงศวานอน์ ยงใหญ”่่ิ ท่ีสร้ างความxxxxxxxให้ผู้xxxxxxในฐานะโพธิสตว์ถูกแทนท่ีด้วย
เรื่องเลาประวติศาสตรชาต-ราชวงศ์ิ์ xxxทศน์xxxxxxxxxเป็ นโบราณวตถในวาทกรรมการเมืองไทย กระนนั
ก็ปรากฏอย่ในเพลงxxxxxxxxพระxxxxxและอย่ในใจของมหาชนผ่านนิทานชาดก
อย่างไรก็ดี xxxxxxxxxxxxxxxและxxxxxxxxยึดโยงกับอํานาจในสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ กษัตริย์xxxxxxลดความสําคญลงแต่อย่างใด หากแต่ถกหยิบใช้ในบริบทการเมืองไทยอย่างต่อเนื่องนบตง้ แต สมยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมบรณาญาxxxxxราชย์ หลงเปลี่ยนแปลงการxxxxxx จนกระทง่ ในความขดแย้ง
ทางการเมืองร่วมสมย กลาวในสมยรตนโกสนทรตอนตน้์ิั ณฐพล (2556) เสนอว่าในการเผชญหน้ิ ากบภาวะ
ความทนสมยและอาณานิคมตะวนตก สถาบนกษัตริย์ได้ปรับตวด้วยการอาศยแนวคิดxxxxxxxxxxสโมสร สมมติ4 ในพทธศาสนาที่ว่ากษัตริย์มาจากการเห็นxxxxต้องกนของเหล่าราษฎร หรืออีกนยหนึ่งคือได้รับการ
4 สนติสุข (2555) xxxx xxแนวคิดเกี่ยวกับสญญาประชาคมของพทธศาสนาเถรวาทของไทยที่ว่าด้วยมหาชนสมมติเริ่มจากอคคญญสูตรท่ีว่า กษัตริย์เป็ นผู้xxxxxxxxที่สุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร ระบบชนชน้ xxxxxxxxกษัตริย์เป็ นใหญ่xxxxxxเกิดจากxxxxxxxxxx แต่เกิดจากxxxxxxxxxxxxx
วิวฒนาการมาจากการคลี่คลายความขดแย้งระหว่างxxxxxเสมอกน ก่อนทต่ี ่อมาในกฎหมายตราสามดวงกษัตริย์จะมีสถานะเป็ นสมเด็จพระ
บรมโพธิสตว์เจ้าแม้จะยงอิงคติมหาชนสมมติอย่กู ็ตาม โดยรัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็ นสามญชนได้อ้างอิงอดมการณ์มหาชนสมมติผสานกบอดมการณ์
“เลือกตงั ้ ” โดยราษฎรในการสร้ างความxxxxxxxให้กบตน เริ่มใช้โดยรัชกาลที่ 4 และต่อมารัชกาลที่ 5 ได้
พฒนาxxxxxขึน โดยเสนอวาการเมื่ xxxxxxxxxxxของสยาม (โดยเฉพาะระบอบสมบูรณาญาสทธิิ ราชย์ท่ี
พระองค์พฒนาขึน) มีลกษณะเป็ นสถาบนxxxxxxจําเป็ นตองเอาอย้ ่างธรรมเนียมยโรปหรอสื งคมอน่ื นอกจาก
นีณฐพลเสนอว่าคาวํ ่า revolution ท่ีรัชกาลท่ี 7 เตรยมxxxx คือการรวมศนยอํ์ านาจให้กลบมายงกษตริั ย์อย่าง
มนxxอีกครัง
กษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอํานาจอธิปไตย มีอํานาจสงสด
และอยู่ในฐานะเป็ xxxxxxxxxบูชา xx xxxx xx
xxxxx ขณะเดียวกันก็มีการxxxxx xxคติxxxxxxxxxxสโมสรสมมติขึนมาแทนคติการเมืองตะวนตก กล่าวคือ
กษัตริย์ขน้ ครองราชย์โดยความเห็นชอบของชมชนการเมืองและมีอํานาจเหนือxxxxxxxxอย่ท
ดเทียมกน
หาก
มีการแบ่งชนในสงคมก็เป็ นเพียงการแบ่งงานกนทํา และราษฎรก็xxxxxxxxงไดเ้่ ป็ นเพียงกลม่ xxxxxรกภกั ดี
และกล่มxxxxxxxxxxxxxxxต่อกษัตริย์ จึงมีการแก้ข้อความในxxxxxxxxxxxxxชวคราวท่ีว่า “อํานาจสงสดของ
ประเทศนนเป็ นของราษฎรทง้ หลาย” เป็ น “อานาจอธิํ ปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวสยาม พระมหากษตริั ย์ผ้
เป็ นประมขทรงใช้อํานาจนนั
” ในxxxxxxxนญxxxxxx 1 xxxxเดียวกบ
Coxxxxx (2007) ท่ีเสนอว่ามีการสร้าง
ความxxxxxxxใหม่ให้กษัตริย์ด้วยการใช้คติธรรมราชาในสมยสโขทยและต่อมาคือ xxxxxxxxxxสโมสร xxxxxxxxว่าการxxxxxxxxxเป็ นประชาธิปไตยอย่แล้ว
ขณะxxxxxxxหลงเปลี่ยนแปลงการxxxxxx ธงชย
(2556) xxxx xx 20 ปี หลง
พ.ศ. 2490 ฝ่ ายxxxxxxxxxxx
xx xบทบาทความสําคญของสถาบนกษัตริย์ในสงคมการเมืองด้วยการเสนอว่ากษัตริย์เป็ นxxxxxxxxxxxอย่ เหนือการเมือง ธรรมราชาเป็ นอดมคติการเมืองเก่าแก่ของสงคมการเมืองพทธเถรวาท เน้นอํานาจศกดิสิทธ์ิ
ของพระราชาผ้ทรงทศพิธราชธรรมและปฏิบต
ิธรรมขนสง
อนจะส่งผลให้สงคมชาวพทธอย่เย็นเป็ นสขโดย
ปริยาย โดยได้มีการแปรคติดงกล่าวเป็ นโครงการและพระราชกรณียกิจท่ีเน้นการเอาใจใส่ทุกข์สขxxxxx
xxxxเดียวกบ Xxxxxx (2002) ท่ีเสนอว่ารชกาลท่ีั 9 ต่อต้านคณะราษฎรและxxxxx ป. พร้อมกบหนนxxx
xxสฤษดิ์ โดยอาศยคติธรรมราชาและทศพิธราชธรรมเป็ นฐานxxxxxอํานาจและความxxxxxxx พระองค์ อาศยคติเหล่านีในการแสดงอํานาจเหนือสถาบนการเมืองxxxxและแทรกแซงเหตการณ์ทางการเมือง โดย
ตลอด 50 ปี ที่ครองราชย์พระองค์ทรงอท
ิศตนอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยตามที่ให้สญญา คนไทยโดยทว
ไปจึงรัก
และเคารพบูชาพระองค์ด้วยเหตุผลสองประการ คือทรงเป็ นกษัตริย์xxxxxและเป็ นคนดีพิเศษ อํานาจของ พระองค์จึงมาจากการที่ราษฎรชื่นชอบพระองค์ท่ีมีบุญและxxxxx ราษฎรส่วนใหญ่เห็นว่าตนมีxxxxxxได้เกิด ในรัชสมยของพระองค์
ส่วนในช่วงความขัดแย้งทางการเมืองร่วมสมัย xxxxxx (2548) เขียนหนังสือเรื่อง “พระราช อํานาจ” เพ่ือสร้างความxxxxxxxxx “ถกต้อง” ว่าพระราชอํานาจของกษัตริย์xxxxxลกษณะและท่ีมาอย่างไร เขา เสนอว่าในสมยสุโขทัยกษัตริย์เป็ นพ่อขุน เป็ นพ่อxxxxxxลูก สมยอยุธยาเป็ นสมมติเทพและธรรมราชา
สมมติเทพของฮินดู จึงxxxxx xxพระนามสมมติเทพด้วย และประเพณีนีด้ ําเนินในรัชกาลต่อๆ มา ยกเว้นรัชกาล 8 และรัชกาล 9 ที่มีแต่xxxxxx xxxxสโมสรสมมติ
สมัยรัตนโกสินทร์ เปล่ียนจากเทพสมมติเป็ นxxxxxxxxxxสโมสรสมมติ xxxxxxxxxxในxxxxxxxx คือ xxxxxxxxxxxx xxxสงคหวตถุ และจกรวรรดิวตร กษัตริย์จึงมี “สมบรณาญาสิทธ์ิ” มาอย่างตอเนื่อง
นอกจากแนวคิดเรื่องบญ xxxxx รวมถึงแนวคxxxท่ี่ืิ เก่ียวของ้ xxxx xxxxxxxxxxสโมสรสมมติ ตาม
คติธรรมราชาของพุทธศาสนาเถรวาท ในช่วงห้าxxxxxxxxxผ่านมาxxxxxอํานาจและความxxxxxxxของ
กษัตริย์ตามคติเทวราชาของศาสนาxxxxxxxฮินดย
งได้รับการxxxxx xอย่างสําคญ
ณฐพล (2556) เสนอxxx
xxxจากที่รัชกาลท่ี 9 เสด็จนิวติประเทศไทยในปี พ.ศ. 2494 สถาบนกษตริั ย์และกล่มรอยลลิสตได้์ เปลยน่ี
วิธีการต่อส้ใหม่โดยหนไปเป็ นพนธxxxxกบสหรัฐฯ โดยในปลายปี พ.ศ. 2496 CIA ได้พยายามสร้างทศนะ เทิดทูนสถาบนกษัตริย์ให้เป็ นอุดมการณ์สําคญของตํารวจตระเวนชายแดนและตํารวจพลร่มที่สหรัฐฯ
สนบสนนให้ตง้ ขึนเพื่อปฏิบต
ิการลบ
สหรัฐฯ ได้ให้ USAID เร่งปฏิบต
ิการครอบงําสงคมไทยให้มากขึน
โดย
ใช้ประเด็นจารีตประเพณีและความมีเอกราชของชาติปลกเร้ าให้คนไทยตื่นตระหนกว่าปี ศาจคอมมิวนิสต์ กําลงคกคามไทย เมื่อประกอบกบโครงการเสด็จเยี่ยมประชาชนในชนบทตง้ แต่ปลายปี พ.ศ. 2498 กษัตริย์ ก็เริ่มกลายเป็ นสญลกษณ์ของความเป็ นชาติและเป็ นแกนกลางของจารีตประเพณีไทย เช่นเดียวกบทกษ์ (2526) ที่เสนอว่าจอมพลสฤษดิ์ภายใต้ความร่วมมือและการสนับสนุนของสหรัฐฯ ได้ฟื ้นฟูสถานะและ
บทบาทของสถาบนกษัตริย์ด้วยการสงเสริมให้ปฏิบติพระราชกรณยกิี จในถนทิ่ รกนดาร
นอกจากพระราชกรณียกิจ การรือฟื นสถานะและบทบาทของสถาบนกษัตริย์ดําเนินการผ่านราช พิธีตามคติเทวราชาของพราหมณ์ฮินดูอย่างสําคัญ ทักษ์ (2526) เสนอว่ารัฐบาลจอมพลสฤษด์ิรือฟื ้น
ประเพณีต่างๆ อาทิ พระราชพิธีแรกนาขวญ ขณะท่ี Jackson (2010) ชีว้ ่ารฐประหารของจอมพลสฤษดิั ์ได้
วางรากฐานให้กับการกลับมาของวาทกรรมเทวราชา สัญลกษณ์พราหมณ์เกี่ยวกับราชอํานาจ (royal
absolutism) ได้แข็งแกร่งขึนอีกครังควบค่กบพทธศาสนาในฐานะฐานความชอบธรรมทางการเมืองของ
กษัตริย์โดยอาศยสื่อและเศรษฐกิจแบบตลาดเป็ นพลงขับเคล่ือน รัชกาลท่ี 9 มกถูกนําเสนอผ่านสื่อใน ลกษณะเทพหรือกึ่งเทพ วาทกรรมเทวราชาที่ชุบขึนใหม่เป็ นหนึ่งในยุทธวิธีทางอุดมการณ์ในการสร้ าง
ความชอบธรรมให้กบสิทธิอํานาจของสถาบนกษัตริย์เชิงเครือข่ายท่ีไม่ได้มาจากการเลือกตงั (unelected
network monarchy) เช่นเดียวกบ Ivarsson and Isager (2010) ที่เสนอว่ารชกาลท่ีั 9 ขึนครองราชย์ใน
ฐานะธรรมราชา ทว่าตอมาได้ถกทําให้มีลกษณะกึ่งเทพหรือเป็ นเทวราชาผ่านพิธีทางศาสนาพราหมณ์ฮินด
ขณะที่ธงชย (2556) เสนอว่าในชวง่ 50 ปี ท่ีผ่านมาฝ่ ายนิยมเจ้ารวมก่ นโหมประโคมยกย่องให้กษัตริย์
กลายเป็ นสมมติเทพ จนคนไทยส่วนใหญ่เคลิมว่ากษัตริย์อยู่พ้นไปจากการเมือง ทง้ ที่วงและฝ่ ายนิยมเจ้า แทรกแซงการเมืองบอยครังโดยสวมบทบาทผ้ทรงศีลที่ไร้ผลประโยชน์ อย่เหนือการเมืองมนษย์ที่โสมม
ทง้ นี ้ คติความเชื่อพุทธศาสนาได้ถูกนํามาใช้เป็ นฐานหรือแหล่งอ้างอิงของการปกครอง “ระบอบ
ประชาธิปไตย” ท่ีมีลกษณะเอืออํานวยต่อชนชนนาจารตีํ Connors (2007) เสนอว่าในชวงปลายทศวรรษ่
1950 และต้นทศวรรษ 1960 แนวคิด “ประชาธิปไตยแบบไทย” (Thai-style Democracy) อบติขึนในฐานะ
องค์ประกอบพืนฐานของกองทพและอดมการณ์ราชการ ซง่ มีความคล้ายคลงกบโลกทศน์เชิงจกรวาลวิทยา
ในไตรภม
ิกถาซงึ เป็ นต้นแบบของสงคมการเมืองที่มีลําดบชนั
เสถียรภาพและความผาสกของระเบียบสงคม
เป็ นผลจากบุญและบารมีของกษัตริย์ การแทรกแซงและการฟื ้นฟูระเบียบและความสงบสุขของกษัตริย์ ส่งผลให้สถาบนกษัตริย์เป็ นสถาบนการเมืองพิเศษที่ขาดไม่ได้ (indispensable para-political institution) ใน “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย”
กลาวในเชิงรูปธรรม ณฐพล (2556) ชีว้ ่าหลงพ่ายแพ้ชวคราวในชวง่ พ.ศ. 2476-2481 เครอขายชน่ื
ชนนําจารีตหรือ “ชาวนําเงินแท้” ได้ฟื นคืนอีกครังในช่วง พ.ศ. 2490-2500 โดยขนนางในระบอบเก่าและนก
กฎหมายกษัตริย์นิยมได้ร่วมกนร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ซึ่งได้เพิ่มข้อความ “มีพระมหากษัตริย์เป็ น
ประมข” ต่อทาย้ “ประเทศไทยมการปกครองระบอบประชาธปไตยิี ” เป็ นครังแรก และส่งผลให้รัฐธรรมนูญ
ฉบบนีเป็ น “รัฐธรรมนญกษัตริย์นิยม” เช่นเดียวกบธงชย (2556) ท่ีเสนอว่าในปี พ.ศ. 2490 ฝ่ ายเจารวมมื่้ อ
กับกองทัพทํารัฐประหาร นําฝ่ ายเจ้ ากลับคืนสู่อํานาจและเขี่ยผู้นําคณะราษฎรออกไป พร้ อมกับร่าง รัฐธรรมนูญให้สถาบนกษัตริย์อย่ในสถานะสงสดของระบบการเมืองท่ีเรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยอนมี
พระมหากษัตริย์เป็ นประมข” หรอื “ระบอบประชาธิปไตยแบบอามาตย์ํ ” (Royalist Democracy) แม้
ระบอบนีจะไม่มีความเป็ นประชาธิปไตยก็ตาม
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ถกยกเลิกโดยจอมพล ป. ที่ทํารัฐประหารในวนที่ 29 พฤศจิกายน 2494
พร้ อมกบมีการนํารัฐธรรมนูญฉบบที่ 1 มาใช้ชวคราว สร้ างความไม่พอใจให้กบกษตรย์ิั และกล่มกษัตริย์
นิยมอย่างมากเนื่องจากเป็ นการทําลาย “ระบอบสีนําเงิน” ที่พวกเขาพยายามสถาปนาขึนมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 เครือข่ายกษัตริย์นิยมและกองทพจึงได้ร่วมกนก่อรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. ซึ่งถือเป็ นการ
สินสดของการเมืองภายใต้ยคคณะราษฎรรวมถึงคติการจํากดอํานาจกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนญ เปิ ดโอกาสให้
ฝ่ ายกษัตริย์นิยมสามารถผสานคติอเนกชนนิกรสโมสรสมมติเข้ากับระบอบเผด็จการทหาร นํามาสู่การ
กลบมาของ “ระบอบสีนําเงิน” ภายใต้ชื่อ “ระบอบประชาธิปไตยอนมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมข” หรอื
Patriarchism Democracy (ณฐพล 2556) นอกจากนี ้ หลงเหตการณ์ 14 ตลาคม พ.ศ. 2516 มีการร่าง
และประกาศใช้รัฐธรรมนญ
พ.ศ. 2517 ซง
รู้จกกนในนาม “รัฐธรรมนญฉบบราชประชาสมาสย
” และต่อมา
ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 และ พ.ศ. 2540 สถาบนกษัตริย์ก็ได้รับการจดวางให้อย่ในตําแหน่งสงส่งใน
สงคมการเมือง กษัตริย์มีอํานาจสงสดและเบ็ดเสร็จในหลายเรื่อง ซงสงผลให้่ “ระบอบราชาธปไตยภายใต้ิ
รัฐธรรมนญ” หรอื Constitutional Monarchy สํานวนรชกาลท่ีั 9 แตกตางไปจากตนฉบบ้ ในประเทศองกฤษ
อีกทง้ ยงมีลกษณะขดกนในตว
2002)
คือกษัตริย์อย่เหนือการเมืองแต่ก็อยู่ในการเมืองในเวลาเดียวกน
(Kobkua
Hewison and Kengkij (2010) เห็นว่า “ประชาธิปไตยแบบไทย” (Thai-style Democracy) คือ แนวคิดการเมืองท่ีถกพฒนาขึนเพื่อสร้ างความชอบธรรมให้กบอนรุ ักษ์นิยมและอํานาจนิยมในยครัชกาลท่ี 9 ซง่ มองการเมืองว่าเป็ นธุรกิจสกปรก พระองค์สนบสนนอํานาจนิยมของจอมพลสฤษด์ินอกจากเพราะเป็ น โอกาสการฟื ้นตวของวังแล้ว ยงเป็ นเพราะความชอบส่วนพระองค์ต่อระเบียบการพ่ึงพิงสญลกษณ์และ สถาบนประเพณี พระองค์ทรงมองการเมืองแบบพรรคการเมืองและประชาธิปไตยแบบตะวนตกว่าแปลก แยกจากประเพณีไทย พร้ อมแนะให้คนไทยสร้ าง “ประชาธิปไตยแบบไทย” เป็ นของตนเอง นอกจากนี พระองค์ทรงมีส่วนเก่ียวข้องกบรัฐประหารหลายครังโดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กนยายน พ.ศ. 2549 ซ่ึง หลายคนเห็นว่าเป็ น “รัฐประหารที่ดี” และหากทหารตง้ คนดีมาเป็ นรัฐบาลประชาชนก็ควรมีความเช่ือมน่ั พลเอกสรยทธถกมองเป็ นคนดีโดยเฉพาะอย่างยิงเมื่อถกเลือกจากองคมนตรี ทว่า “ประชาธิปไตยแบบไทย” แท้จริงแล้วคือ หมาป่ าอํานาจนิยมในคราบของแกะที่ถกพฒนาขน้ ในฐานะอดมการณ์อนรุ ักษ์นิยม5
กล่าวอีกนยหนึ่ง “ประชาธิปไตยแบบไทย” คือ “การเมืองคนดี” ซ่ึงมีกษัตริย์อย่บนยอด เป็ นระบบ การเมืองการปกครองที่ได้รับการนําเสนอโดย “ปัญญาชน” ฝ่ ายจารีตมาอย่างต่อเน่ือง สายชล (2546) เสนอว่าในช่วงที่ระบอบสมบรณาญาสิทธิราชย์ถกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนกจนกระทง่ รัชกาลท่ี 5 ทรงกงวล ว่าระบอบกําลงจะปิ ดฉากลงในไม่ช้า สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานภาพได้พยายามชีให้เห็นส่วนดีพิเศษ ของประเพณีการปกครองไทยที่มีมาแตอดีต เพื่อจรรโลงความชอบธรรมของระบอบการปกครองสืบไป โดย เขาเน้นความสําคญของกษัตริย์ราชวงศ์จกรีในการรักษาอิสรภาพของชาติ รวมถึงสร้างอตลกษณ์กษัตริย์ที่ เน้นความเป็ นกษัตริย์ของราษฎรและเพื่อราษฎร เพื่อให้กษัตริย์มีสิทธิธรรมที่จะเก็บภาษีอากรและผกขาด ในการจดการทรัพยากร รวมถึงมีอํานาจในการตดสินใจในเร่ืองต่างๆ อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้เน้นคติอเนกชน
นิกรสโมสรสมมติเพราะเช่ือในศีลธรรมของเจ้าอนเป็ นคณสมบติเฉพาะของคนท่ีเกิดมาเป็ นเจา้ ซง่ ทําให้เจา้
มีความชอบธรรมที่จะเป็ นผู้ปกครอง เขาไม่เห็นด้วยกบระบบการเมืองที่ให้สิทธิแก่ประชาชนในการเลือก ผ้ปกครอง ซง่ ก็คือการยืนยนให้มีระบอบสมบรณาญาสิทธิราชย์สืบตอไป
ในทํานองเดียวกน Hewison and Kengkij (2010) ชีว้ ่า ม.ร.ว.คกฤทธิ์ เป็ นนกโฆษณาชวนเชอของ่ื
ระบอบอํานาจนิยมของจอมพลสฤษดิ์และการรือฟื นกษัตริย์นิยมที่เน้นความเป็ นคนดี เขาเสนอว่า “ภายใต้
ระบอบทหาร ประชาชนควรจะเชื่อมั่นว่าประเทศถูกปกครองโดยคนดี ซึ่งสิ่งนีต่างอย่างมากจากการ
5 อย่างไรก็ดี สนติสข (2555) ตง้ ขอสง้ เกตวาไม่ ่เพียงแตน่ กคดสายอนิ รุ ักษ์นิยมที่พยายามชวงชงการสิ่ ร้างวาทกรรมวาด้่ วยประชาธิปไตยแบบ
ไทยที่เชื่อมโยงอดมการณ์ มหาชนสมมติ และอเนกชนนิกรสโมสรสมมติ หากแต่นกคิดในสายตะวนตกก้าวหน้าอย่างเช่น ปรีดี ก็มีส่วนในการ การสร้างวาทกรรมระบอบประชาธิปไตยอนมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมขเช่นกนั
ปกครองโดยนกการเมืองท่ีแสวงหาแต่ผลประโยชน์ตวเอง” เขาเห็นว่ารัฐประหารไม่ใช่ส่ิงที่เลวหากเป็ นการ ขจดนกการเมืองเลว
ขณะท่ีในช่วงความขดแย้งทางการเมืองร่วมสมย
ฝ่ ายชนชน
นําจารีต เช่น ประมวล (2548) เสนอ
ว่าคนไทยเชื่อว่ากษัตริย์ทุกพระองค์ประกอบด้วยพระปุพเพกตปุญญตา คือทรงทําความดีมาอย่างวิเศษ กว่าคนอ่ืนๆ ในชาติปางก่อน และเมื่อเป็ นกษัตริย์แล้วก็มีปณิธานที่จะประกอบคุณงามความดีด้วยการ
บําบดทุกข์บํารุงสขแก่ราษฎรและทํานบํารุงพระพทธศาสนา ดงพระปณธานในการขิ ึนครองราชยที่์ ว่า “เรา
จะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สขแห่งมหาชนชาวสยาม” นอกจากนี ้ เขาได้อ้างวิทยานิพนธ์ฉบบ
หน่ึงที่ศกษาพระราชดํารัสในช่วงเวลาตางๆ ซง่ ชีให้เห็นว่าล้วนให้ความสําคญกบศีลธรรมความดีทง้ สิน เชน่
ในช่วง พ.ศ. 2493-2499 เน้นเรื่องคณธรรม ความสามคคี และซื่อสตย์สจริต ช่วง พ.ศ. 2500-2516 เน้น เร่ืองคณธรรม ช่วง พ.ศ. 2516-2519 เน้นเรื่องคณธรรมให้เมืองไทยพออย่พอกิน ช่วง พ.ศ. 2519-2531 เน้น เรื่องคณธรรม ความสามคคี การทําความดี และการพฒนา และช่วง พ.ศ. 2531-2542 เน้นเรื่องคณธรรม ความสามคคี ละเว้นการทุจริต พร้ อมกนนี ้ เขาได้เสนอว่าเม่ือศีลธรรมของผ้คนเสื่อมทรามลง “คนไทยทุก หมู่เหล่าคงได้แต่หวังในพระบรมเดชานุภาพ” โดยผ่านการใช้พระราชอํานาจท่ีวางอยู่บนความดีของ พระองค์
นอกจากนี ้ความดีของกษัตริย์ยงถกนําไปใช้เป็ นฐานในการนําเสนอสงคมไทยในอดมคติด้วย อาทิ
“สงคมอินทรียภาพแบบพทธ” (A Buddhist Organic Society) ซง่ ธงชย (2556) ชีว้ ่าเป็ นสงคมท่ีจดลําดบ
ชนตามความสงต่ําของบญบารมี ซง่ จะปกติสขและเคลื่อนตวไปข้างหน้าได้ก็ต่อเมื่อหน่วยต่างๆ ของสงคม
รู้จักหน้าที่ของตนและทํางานอย่างประสานสอดคล้องกันเหมือนอวยวะต่างๆ ในร่างกาย องค์รวมของ
ประเทศไทยจึงประกอบด้วยหน่วยย่อยที่มีบญบารมีไม่เท่ากนแต่ว่ามีความสําคญ ความสามคคีและหน้าท่ี
จึงเป็ นหวใจสําคญมากกว่าสิทธิซง่ เป็ นคณสมบติจําเป็ นของปจเจกภาพั ดงกรณีสมเดจฯ็ กรมพระยาดารงํ
ราชานภาพ ท่ีสายชล (2546) เสนอว่าเน้นความสามคคีทง้ ภายในชนชนั
ระหว่างชนชนั
และระหว่างชนชาต
ต่างๆ เขาสร้ างอตลกษณ์เมืองไทยที่มีชนชาติไทยเป็ นชนชนปกครองและเป็ นผู้นําทางอารยธรรมของชน
ชาติต่างๆ ในประเทศท่ีล้วนแล้วแต่ได้รับความเมตตากรุณาจากกษัตริย์ให้อยู่เย็นเป็ นสุขกันท่วหน้า เขา กําหนดสถานภาพ บทบาท และหน้าท่ีของคนชันต่างๆ ในเมืองไทยผ่านพระนิพนธ์ คําพูด และข้อเขียน
ลกษณะตางๆ เพื่อให้คนแตละชน
รับรู้ตนเองและเป็ นที่รับรู้ของคนชน
อ่ืน เพื่อให้คนแตละชน
กระทําการตาม
ความสามารถของชนตน หรือกรณี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ท่ี Hewison and Kengkij (2010) ชีว้ ่าเขาเสนอภาพ
สงคมไทยเหมือนร่างกาย ซึ่งมีกษัตริย์เป็ นศีรษะรัฐบาลและระบบราชการเป็ นอวยวะ สงคมเป็ นลําดบชนั และมีโครงสร้างในลกษณะที่ทกคนทําหน้าท่ีของตนและการเคลื่อนย้ายทางสงคมทําได้จํากดั
ธงชย
(2556) เห็นว่าการชวาทกรรมคนดีของ “ปัญญาชน” ฝ่ ายชนชน
นําจารีตในช่วง 30 ปี ที่ผ่าน
มาโดยเฉพาะในช่วงแรกของความขดแย้งทางการเมืองร่วมสมยที่ “ไม่เคยมีครังใดที่มีเสียงเรียกร้ องให้เจ้า
เข้ามาแทรกแซงและมีอํานาจนําเพื่อต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิ ดเผยดังในช่วง พ.ศ. 2549” ได้ปูทางไปสู่
รัฐประหาร 2549 ในที่สด เขาเสนอว่าในบริบทของการเคล่ือนส่ประชาธิปไตย กษตริั ย์มีส่วนรวมในการ่
พฒนาระบบรัฐสภาด้วยการดํารงอํานาจทางศีลธรรมเหนือสถาบนการเมืองปกติที่สกปรกฉ้อฉล ฝ่ ายนิยม เจ้ากบขบวนการพลเมืองและปัญญาชนท่ีเรียกตนเองว่า “ภาคประชาชน” ซงึ ไม่ไว้ใจนกการเมืองได้ช่วยกนั ผลกดนวาทกรรม “ทําการเมืองให้สะอาด” ซึ่งตอกยําการเมืองเชิงศีลธรรมซ้อนกันสองประการ คือ ด้าน
หนึ่งมนท้าทายและทําลายความชอบธรรมของนกการเมืองและระบบเลือกตงั อีกดานมน้ ตอกยําว่าอานาจํ
ทางศีลธรรมเหนือกว่าเสียงส่วนใหญ่ และเป็ นความชอบธรรมสงสดทางการเมือง ซึ่งคือสถาบนกษัตริย์ ผู้ ซ่ึงวิจารณ์นกการเมืองต่อสาธารณะหรือไม่ก็ข้ามหวนกการเมืองและทํางานโดยตรงกบข้าราชการในการ แก้ปัญหาต่างๆ ศีลธรรมและจริยธรรมจึงเป็ นทางออกเดียวในการแก้ปัญหาและเกือหนุนต่อรัฐประหาร 2549
นอกจากนี ้ ธงชย (2556) เสนอว่ารฐประหารั 2549 มีพลเอกเปรมและคนสาคญํ ในเครือขายว่ งอย่
เบืองหลัง อีกทังยังได้รับแรงสนับสนุนจากนักกิจกรรมและปัญญาชนในนาม “ภาคประชาชน” เช่น “เครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนําประชาธิปไตย” เดินทางเข้าพบพลเอกเปรมเพียงสองสามวันก่อน รัฐประหารเพื่อขอให้ เขาแทรกแซงทางการเมือง นอกจากนีเขาชีว้ ่าธีรยุทธเรียกร้ องให้ การเมืองของ
นกการเมืองถกถ่วงดลกํากบด้วยผ้ม
ีอํานาจทางศีลธรรมที่สงส่งกว่า เช่นสถาบนยต
ิธรรม ทหาร นกวิชาการ
ชนชนสงู องคมนตรี กลายเป็ น “ประชาธปไตยแบบภมูิ ิปัญญา” หรือระบอบการเมืองที่ประชาชนผู้อ่อน
ศีลธรรมถกกํากบด้วยผ้มีบารมีสงกว่า เป็ นประชาธิปไตยแบบมีอภชนอย่ิ เหนือประชาชนทวไป
ในทํานองเดียวกัน McCargo (2005) เสนอว่า “สถาบนกษัตริย์แบบเครือข่าย” (Network
Monarchy) มีลกษณะไม่เสรีเป็ นพืน เพราะชการพึู่ งพงิ “คนดี” พร้ อมกับผลกสถาบนหรอกระบวนการื
การเมืองปกติไปอยู่ชายขอบและให้ ความสําคัญกับหลักประชาธิปไตยน้ อยมาก ขณะที่กษัตริย์ทรง แทรกแซงการเมืองตลอดเวลาในฐานะสถาบนเหนือการเมือง (para-political institution) โดยอ้างมหา
อาณต
ิ (super mandate) จากประชาชนซง่ เหนือกว่าอาณต
ิจากการเลือกตงั
(electoral mandate) ของ
นกการเมือง McCargo เสนอว่าภายใต้สภาวการณ์เช่นนี ้ ความสําเร็จจะตกเป็ นของกษัตริย์และเครือข่าย ขณะที่ความล้มเหลวหรือความเสื่อมทรามของระบบจะถูกโยนให้ เป็ นความผิดของผู้อื่น โดยเฉพาะ
นกการเมืองที่ฉ้อฉลและเห็นแก่ตว เขาเสนอว่าตราบเทาท่ี่ การเมืองเลอกื ตง้ ถกมองวู่ าฉ้อฉลและบกพรอง่
กษัตริย์จะถกทําให้เป็ นสิ่งจําเป็ นสําหรับการใช้อํานาจคานฉกเฉิน โดยก่อนรัฐประหาร 2549 กษัตริย์ได้ส่ง
สญญาณไม่อนุมตินโยบาย พ.ต.ท.ทกษิณ ในหลายลกษณะ ขณะที่พลเอกเปรมกทํ็ าหลายอย่างตรงข้าม
กบนโยบาย พ.ต.ท.ทกษิณจนกระทง่ นําไปสรู่ ัฐประหารในที่สดุ
ประเด็นท่ีควรพิจารณาคือ หลงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ปัญหาและความขดแย้งทาง การเมืองได้คลี่คลายไปอีกขันรวมทังมีการอาศยศีลธรรมในการขับเคลื่อนในอีกลกษณะ กล่าวคือแม้ พนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ “เสือเหลือง” ประสบความสําเร็จในการอาศยโวหาร/วาทศิลป์ / วาทกรรม “คนดี” ในการขบไล่ พ.ต.ท.ทกษิณ ผ่านรัฐประหาร 19 กนยายน 2549 ทว่าต่อมาโวหาร/ วาทศิลป์ /วาทกรรมดังกล่าวก็ถูกต่อต้านท้าทายโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ “เสือแดง” นอกจากนี ้ ต่อมาพนธมิตรฯ ได้สลายตวลงและถูกแทนท่ีด้วย กปปส. ซึ่งแม้จะมี
ความคาบเกี่ยวเหล่ือมซ้อนกนแต่ก็มีลกษณะเฉพาะที่ต่างกน ไมว่ ่าจะเป็ นในแง่ของแกนนํา ผ้เข้ารวม่ และ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการอาศยโวหาร/วาทศิลป์ /วาทกรรม “คนดี” ในการเคลื่อนไหว เพราะขณะที่พนธมิตร ฯ อาศยคติหรือมโนทศน์ทางศาสนา เช่น ธรรมราชา อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ในการเคล่ือนไหว กปปส. ช โวหาร/วาทศิลป์ /วาทกรรม “คนดี” ที่ไม่ยึดโยงกบคติหรือมโนทศน์ทางศาสนาใดเป็ นการเฉพาะหรือเด่นชดั
ขณะเดียวกนก็มีผ้มีส่วนในการผลิต เผยแพร่ และปรับใช้โวหาร/วาทศลิ ป์ /วาทกรรม “คนด”ี ค่อนขางกว้้ าง
และหลากหลาย ไม่ได้จํากดเฉพาะแกนนําหรือ “ปัญญาชน” เหมือนในช่วงพนธมิตรฯ งานวิจยชินนีจ้ ึงจะ สํารวจความสืบเนื่องและความเปลี่ยนแปลงของความคิดและอดมการณ์ทางการเมือง รวมถึงผ้กระทําการ ดงกลาวนีว้ ่ามีลกษณะเช่นไร เชื่อมโยงกบโลกทศน์และคติความเชื่อทางศาสนาข้างต้นแค่ไหนอย่างไร และ สะท้อนความจําเพาะของ “การเมืองคนดี” ท่ีผ้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” พยายามชู อย่างไร
1.3.3 อตลักษณ์และกระบวนการสร้างอัตลักษณ์
ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิดเรื่อง “อตลกษณ์” (Identity) ได้เข้ามาอยู่ใจกลางของ สงคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ทง้ ในแง่การถกเถียงทางทฤษฎีและการชีให้เห็นเชิงรูปธรรม (du Gay 2000: 2) นกวิชาการสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ นนกมานษยวิทยา นกสงคมวิทยา นกจิตวิทยา นกปรัชญา นกั
รัฐศาสตร์ นกประวติศาสตร์ หรือนกภูมิศาสตร์ ล้วนแล้วแต่ “มีบางสงทจะพดเกยวกบ่ีู่ี่ิ อตลกษณ์” ทง้ สนิ
(Jenkins 2008: 28) ขณะเดียวกนคําว่าอตลกษณ์ก็เป็ นที่นิยมใช้กนอย่างแพร่หลาย นบตง้ แต่ในเรื่อง
ศาสนา การเมือง วฒ
นธรรม ชาติพนธ์ุ ไปจนกระทงั เร่ืองส่วนตว
ส่งผลให้ความหมายของคําเคล่ือนย้ายไป
จากเดิมค่อนข้างมาก อีกทง้ ยงมีความขดแย้งหรือตรงข้ามกน เช่น เป็ นทง้ แหลงความสมานฉน่ ท์และท่ีมา
ของความรุนแรง เป็ นความเหมือนและความต่าง เป็ นการบงคบและการเลือก มีลกษณะหนึ่งเดียวและปริ แยก มีสภาพอยู่นิ่งและเปลี่ยนแปลง เป็ นสารัตถะที่เสถียรและเป็ นสิ่งประกอบสร้ างท่ีเลื่อนไหล ฯลฯ จน ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ก า ร เ รี ย ก ร้ อ ง ใ ห้ เ ลิ ก ใ ช้ คํ า นี ้ ใ น ท า ง วิ ช า ก า ร ( xxxx://xxx.xxxxxxxxxxxxxxxxxxxx.xxx/xxxx/xxxxxxxx/xxx-0000000000000/xxx- 9780199766567-0128.xml)
อย่างไรก็ดี Jenkins (2008: 14) นกสงคมวิทยา เห็นว่าแม้จะมีการเสนอให้เลิกใช้คําว่าอตลกษณ์ ในทางวิชาการเพราะมีการใช้กันมากจนไร้ ความหมาย และคําเพียงคําเดียวไม่สามารถทําความเข้า ใจความหลากหลายของกระบวนการสร้ างอตลกษณ์ของโลกมนุษย์ได้ ทว่าการละทิงแนวคิดอตลกษณ์ สําหรับเป้ าประสงค์การวิเคราะห์ทางสงคมไม่ใช่ทางออก เพราะคํานีไม่ได้เป็ นเพียงแค่เคร่ืองมือเชิงมโน ทศน์ในสงคมวิทยา หากแต่ยงมีการใช้กนอย่างแพร่หลายในสงคม หากนกวิชาการต้องการสนทนากบโลก นอกวงวิชาการ การปฏิเสธคํานีจ้ ึงไม่ใช่นโยบายการสื่อสารที่ดี อาจจําเป็ นต้องประนีประนอมระหว่างการ ปฏิเสธอย่างสินเชิงกับการสมาทานอย่างไม่วิพากษ์ต่อสถานะทางภาวะวิทยาและนยเชิงสจพจน์ของคํา โดยอาจให้อตลกษณ์หมายถึงกระบวนการสร้างความหมายแทนจะเป็ นสภาวการณ์ เป็ นต้น
นกวิชาการส่วนใหญ่ยงคงเห็นประโยชน์ของแนวคิดอตลกษณ์ในการทําความเข้าใจและอธิบาย มนุษย์และสงคม หลายคนได้รวบรวม เรียบเรียง จัดหมวดหมู่ และสงเคราะห์ข้อเขียนที่เกี่ยวข้องซึ่งมี จํานวนมากและหลากหลายให้เป็ นระบบระเบียบและเข้าใจง่าย เช่น du Gay และคณะได้ร่วมกนเขียน หนงสือเรื่อง identity: a reader (du Gay 2000) ซง่ เป็ นการรวบรวมข้อเขียนเกี่ยวกบอตลกษณ์ชินสําคญั
จํานวน 30 ชิน
จําแนกเป็ น 3 กลม
พร้อมเขียนคํานําประกอบในแตละกลม
ดงนี
1) แนวพินิจ “องค์ประธานของภาษา” (subject-of-language) เสนอว่าอตลกษณ์ก่อรูปขึนผ่าน อํานาจของวาทกรรมทง้ ภายในและผ่าน “ความต่าง” มีรากฐานมาจากงานเขียนเชิงทฤษฎีในโลกภาษา ฝรั่งเศส เช่น ภาษาศาสตร์โครงสร้ าง มาร์กซิสม์สายอลธูแซร์ จิตวิเคราะห์สายลากอง ปรัชญาการรือสร้ าง สายเดอริดา และทฤษฎีวาทกรรมสายฟูโกต์ ซึ่งก่อให้เกิดกระแสการศึกษาอตลกษณ์ในกลุ่มวฒนธรรม ศกษาและสาขาอ่ืนท่ีเกี่ยวข้องในโลกภาษาองกฤษจํานวนมาก (Redman 2000: 9-13) ข้อเขียนในกล่มุ วฒนธรรมศกษาชินสําคญที่ได้รับการคดสรรมาพิมพ์ในหนงสือได้แก่บทความของ Stuart Hall เรื่อง “Who needs ‘identity’?” (Hall 2000) ที่เสนอว่าอตลกษณ์เป็ นแนวคิดท่ีไม่สามารถคิดในวิธีเก่าได้ แต่หาก
ปราศจากมนคําถามสําคญบางข้อก็ไม่สามารถคิดได้เช่นกน อตลกษณ์ไม่เคยเป็ นหน่ึงเดียว และในระยะ
หลงก็มีการแตกตวและปริแยกมากขึน
มนถกสร้ างข้ามวาทกรรม ปฏิบต
ิการ และตําแหน่งที่แตกต่างและ
ขดกน ถกสร้ างผ่านความสมพนธ์กบสงอนหรอสงทมี่่ิืื่่ิ นไม่ใช่ อีกทง้ ยงอยู่ในกระบวนการเปลยน่ี แปลงและ
กลายรูปอย่างต่อเนื่อง เป็ นกระบวนการที่ไม่เคยเสร็จสิน จึงไมอาจพจารณาอติ่ ลกษณ์ในเชิงสารัตถะ
หากแต่ต้องพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์และตําแหน่งแห่งที่ ในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์และสถาบัน
จําเพาะ ภายใต้การก่อรูปเชิงวาทกรรมรวมทง้ ปฏิบติการและยทธศาสตรจํ์ าเพาะ
2) แนวพินิจจิตวิเคราะห์ มีสถานะเป็ นทางเลือกต่อแนวพินิจ “องค์ประธานในภาษา” ซึ่งได้ สถาปนาตวและครอบงําแนวทางการศกษาอตลกษณ์ในวฒนธรรมศกษาและทฤษฎีทางวฒนธรรมในโลก ภาษาองกฤษข้างต้น แนวพินิจนีพยายามปลดแอกจิตวิเคราะห์ออกจากการตกอย่ภายใต้อิทธิพลหรือการ
ครอบงําของทฤษฎีภาษาศาสตร์ พยายามที่จะสถาปนาฐานหรือแนวทางการศึกษาอตลกษณ์ด้วยมมมอง เฉพาะของจิตวิเคราะห์เอง นอกจากนี ้ แนวพินิจนีต้ ง้ คําถามต่อแนวคิดเร่ืองวสดมนษย์ (human material) ที่ตวแบบจิตวิเคราะห์ตางๆ ใช้เป็ นฐานด้วย (Evans 2000: 121-128)
3) แนวสงคมวิทยาว่าด้วย “บคคล” (person) ให้ความสําคญกบความสมพนธ์ทางสงคม เทคนิค
และรูปแบบการฝึ กฝนและการปฏิบต
ิที่สร้ างสมรรถนะและคุณสมบต
ิให้ปัจเจกสําหรับการดํารงอยู่ทาง
สงคมในฐานะ “บคคล” ประเภทหน่ึง เป็ นการเคลื่อนย้ายจากทฤษฎีทางสงคมและจิตวิเคราะห์เก่ียวกบการ ก่อรูปของ “ความเป็ นตวตน” (subjectivity) หรือ “อตลักษณ์” (identity) ไปยังความเข้าใจเชิง
ประวติศาสตร์ของรปแบบเฉพาะของู “ความเป็ นบคคลุ ” (personhood) ท่ีปัจเจกได้มาผ่านสถาบนทาง
สงคม แนวการศึกษานีพยายามสร้ างดลระหว่างความเป็ นรูปธรรมกับความซบซ้อนทางทฤษฎี พร้ อมกับ เสนอไม่ให้แยกรูปแบบของบุคคลออกจากฉากเชิงสถาบนและสงคมของพวกเขา และให้ความสําคญกับ
บริบทและประวติศาสตร์รวมทง้ ความเฉพาะของสภาพแวดลอม้ (du Gay 2000: 279-282) ข้อเขยนชิี น
สําคญกลุ่มนีท่ีได้รับการคดสรรมาพมพ์ิ ในหนังสอไื ด้แกงานของ่ Nikolas Rose เร่ือง “Identity,
Genealogy, History” (Rose 2000) ที่เสนอว่าจดเน้นของวงศาวิทยาไม่ใช่ “การก่อสร้างเชิงประวติศาสตร์
ของตวตน” หากแต่เป็ นประวัติศาสตร์ความสมพันธ์ท่ีมนุษย์ได้สถาปนาเข้ากับตวเอง ซ่ึงต่างจากแนว วิเคราะห์ที่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงของความเป็ นตวตน หรืออตลกษณ์เป็ นผลของการเปลี่ยนแปลงทางสงคม
และวฒนธรรม เช่น ความทนสมย สภาวะสมยใหมตอนปลาย่ และสงคมเสยงี่ เพราะแมการเปลยนแปลง่ี้
เหล่านีจะสําคัญ แต่พวกมันไม่ได้เปลี่ยนวิธีการเป็ นมนุษย์ด้วย “ประสบการณ์” ท่ีพวกมันสร้ างขึน้ กระบวนการสร้ างตัวตนมีประวัติศาสตร์ของมันเอง วงศาวิทยาว่าด้วยกระบวนการสร้ างตัวตนเน้ น
ปฏิบติการทมนษยไดถ้์ุ่ี กจดวางตําแหน่งใน “ระบอบบุคคล” และให้ความสําคญกบยทธศาสตร์และกลวิธี
ของกระบวนการสร้างตวตนที่หลากหลายในช่วงเวลาตางๆ
ในทํานองเดียวกัน อภิญญาได้เขียนหนังสือเร่ือง “อตลกษณ์ : การทบทวนทฤษฎีและกรอบ แนวคิด” (อภิญญา 2546) เพื่อทบทวนการเปล่ียนแปลงความหมายในทางทฤษฎีของมโนทศน์อตลกษณ์6 ซึ่งสมพนธ์กบการเปล่ียนแปลงกรอบคิดใหญ่ทางทฤษฎีสงคมศาสตร์ และชีให้เห็นความสําคญของมโน ทศน์อตลกษณ์ในการทําความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางสงคมวฒนธรรมในสงคมเมือง อภิญญาเสนอ
ว่าอตลกษณ์มีความสําคญเนื่องจากเป็ นปริมณฑลที่เช่ือมต่อระหว่างขว้ สองขวั คือ “ความเป็ นปจเจกั ” ท่ี
เชื่อมตอและสมพนธ์กบสงคม และมิติ “ภายใน” ของความเป็ นตวเราทง้ ในด้านอารมณ์ความรู้สกนึกคิด อต
6 ทง้ นี ้อภิญญาเสนอว่าความเป็ นปัจเจกเป็ นเรื่องของการนิยามความหมายซง่ สามารถแปรเปลี่ยนไปตามบริบท คําว่า “อตลกษณ์” จึงดเหมาะ
กว่าคําว่า “เอกลกษณ์” ในความหมายของ Identity ในปัจจุบน การเปลยนี่ แปลงความหมายดงกลาวส่ มพนธก์ ับการทําความเข้าใจการ
เปลี่ยนแปลงทางวฒนธรรมในปัจจบน ในบริบทโลกานวุ ตร (อภญญาิ 2546: 1)
ลกษณ์จึงแบ่งเป็ นสองระดบ คือ อตลกษณบ์ ุคคล (personal identity) และอตลกษณ์ทางสงคม (social
identity) ซง่ มีความคาบเกี่ยวกน (อภญญาิ 2546: 5-6)
อภิญญาแบ่งเนือหาหนังสือออกเป็ นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งพิจารณาว่าแนวคิดสารัตถะนิยมที่มี อิทธิพลในทฤษฎีทางสงคมของยุคสมยใหม่นิยามมโนทศน์ที่เกี่ยวข้องกับอตลกษณ์อย่างไร เร่ิมจาก Erikson นกจิตวิทยา ท่ีเสนอว่าการก่อรูปของอตลกษณ์เป็ นกระบวนการตลอดชีวิตท่ีเปลี่ยนแปลงได้ เขาใช้ คําว่า identity แทน personality และแม้จะได้รับอิทธิพลจากฟรอยด์ แต่เขาเน้นบทบาทของ ego มากกว่า จิตใต้สํานึกในกระบวนการสร้ างอตลกษณ์ (อภิญญา 2546: 17) ขณะท่ี Goffman นกสงคมวิทยาสาย ปฏิสมพนธ์เชิงสญลกษณ์ แยกระหว่างอตลกษณ์ส่วนบุคคลกับอตลกษณ์ทางสงคม เขานิยามความคิด ความรู้สกที่ปัจเจกมีตอตนว่า ego identity ตามทฤษฎีของ Erikson ส่วนภาพของปัจเจกในสายตาคนอื่นที่
มีลกษณะเฉพาะตว เชน่ บตรประชาชน ลายนิวมือ เขาเรยกวา่ี personal identity ขณะท่ีสถานภาพทาง
สงคมคือ social identity อตลกษณ์จึงมีสองประเภท คือ อตลกษณ์ที่สงคมเรียกร้ อง (virtual identity)
และอตลกษณ์ที่คนนนเป็ นจรงิ (actual identity) (เพิ่งอาง้ : 27-28)
ส่วนที่สองพิจารณาว่าแนวทฤษฎีหลงสมยใหม่และหลงโครงสร้ างนิยมซ่ึงก่อให้เกิดกระแสการรือ้ ถอนปัจเจกภาพก่อให้เกิดการนิยามอตลกษณ์ใหม่อย่างไร โดยเฉพาะในเรื่องเพศและชาติพนธ์ุ กล่าวคือ แนวคิดหลงโครงสร้างนิยมดงความเป็ นศนย์กลางออกจากปัจเจก ไม่ให้อภิสิทธิ์แก่ปัจเจกในฐานะผ้กระทํา
การ และเน้นการไร้ สารัตถะอนเป็ นสากลของปัจเจกภาพ ซึ่งเป็ นผลผลิตของประวติศาสตรและว์ ฒนธรรม
เป็ นผลของกระบวนการตอรองเชิงอํานาจในความสมพนธ์ทางสงคมหลายระดบ ความเป็ นปจเจกจึั งถกเน้น
ในฐานะ “กระบวนการทางสงคมของการสร้ างอตลกษณ์” มากกว่าแก่นแกนของคณสมบติบางอย่างท่ีมี
ลกษณะตายตว (อภิญญา 2546: 45-46) ขณะท่ีภาษามีอํานาจในการสร้ างอตลกษณเพรา์ ะมนชวยตอก่
ยําตําแหน่งแห่งที่ทางสงคมของบุคคล ภาษาเป็ นกลไกของมายาคติเพราะช่วยสร้ างตําแหน่งแห่งที่ทาง
สงคมของ “ผ้พด” ขณะท่ีนกคดสายิ สตรนิี ยม เชน่ Julia Kristeva เสนอภาษาผห้ ญิงโดยไมอิ่ งกบแนวคิด
สารัตถะนิยม (เพิ่งอ้าง: 63-67)
สวนท่ีสามพิจารณาการเปล่ียนแปลงอตลกษณ์ในบริบทโลกานว
ตร โดยเฉพาะในประเด็นเพศและ
ชาติพันธ์ุเช่นกัน อภิญญาเสนอว่าการมองพลงโลกและท้องถิ่นในลักษณะขัวตรงข้ามมีปัญหาในการ วิเคราะห์เพราะทําให้มองไม่เห็นว่าที่จริงแล้ว กระแสท้องถิ่นนิยมเกิดขึนได้เพราะอาศยปัจจยในระดบใหญ่ กว่าปัจจยภายในท้องถ่ิน ยิ่งโลกถูกครอบคลมด้วยพลงโลกานุวตรมากเท่าใด การเน้นความเป็ นท้องถิ่นก็
จะย่ิงปรากฏชดขึนเท่านนั (อภญญาิ 2546: 87-8) อภญญาหยบยกงานของิิ Friedman ท่ีเสนอว่าปจจั บน
ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องอิสรภาพทางการเมืองจากรัฐที่มีฐานบนกล่มชาติพนธ์ุมีสามประเภท คือ
1) กลุ่มที่ถูกผนวกสู่สงคมโลกอย่างหลวมๆ วัฒนธรรมท้องถ่ินดง้ เดิมยงเห็นได้ชัดและมีอิทธิพลใน ชีวิตประจําวนและเป็ นแกนในการจดระเบียบองค์กรทางสงคม 2) กล่มที่ถกผนวกเข้ากบระบบทนนิยมโลก
สมาชิกผูกพนกันด้วยสญลกษณ์ทางชาติพนธ์ุ เช่น ภาษา สีผิว ศาสนา การสืบเชือสาย ทว่าสญลกษณ์
เหล่านีไม่ได้เป็ นส่วนหนึ่งของวิถีการผลิตหรือวิถีชีวิตประจําวน และ 3) กลม่ ทถ่ี กผนวกเขาระบบโ้ ลกอย่าง
มากแต่รูปแบบวิถีชีวิตดง้ เดิมยงถูกสงวนรักษาในฐานะสินค้าทางวฒนธรรมหรือเพ่ือการศึกษาทางชาติ พนธ์ุวิทยา (เพ่ิงอ้าง: 121-122) เป็ นตวอย่างท่ีชีให้เห็นว่าความเป็ นท้องถิ่นเก่ียวข้องสมพนธ์กบกระแสโลก อย่างไร
นอกจากงานเขียนในเชิงรวบรวมและสงเคราะห์แนวคิดอัตลกษณ์โดยรวมแล้ว มีงานเขียนเชิง สงเคราะห์แนวคิดอตลกษณ์ในระดบสาขาวิชาด้วย เช่น ในวิชามานษยวิทยา Golubovic (2011) ชีให้เห็น ว่าอัตลักษณ์ได้ รับการพิจารณาในฐานะมโนทัศน์อย่างไร เขาเสนอว่าอัตลักษณ์เป็ น “ประเภทเชิง มานุษยวิทยา” (anthropological category) ท่ีมีความจําเพาะ เพราะเป็ นการที่บุคคลบ่งชีต้ วเองเข้ากบั วฒนธรรมของตน และเป็ นการสะท้อนย้อนคิดต่อวิธีที่บุคคลมีชีวิตในสภาพแวดล้อมทางสงคมวฒนธรรม หน่ึง อตลกษณ์หมายถึง “ภาพลกษณ์ของตวตน” และ/หรือ “ภาพลกษณ์ร่วม” เป็ นสิ่งที่ผนวกบคคลเข้ากบั ตวตนหรือการดํารงอยู่ของกลุ่ม และเป็ นสิ่งที่แยกบุคคลออกจาก “ผู้อื่น” ทังนี ้ Golubovic เสนอว่าใน ระยะแรกนกมานุษยวิทยาใช้คําว่าอตลกษณ์ในฐานะสิ่งที่ดํารงอย่ตามธรรมชาติมาแต่ดึกดําบรรพ์และไม่ เปลี่ยนแปลง เป็ นประเภทเชิงชาติพนธ์ุ ทว่าต่อมาได้เปลี่ยนเป็ นความรู้สกนึกคิดร่วมที่ถกสร้างขึนเชิงสงคม วฒนธรรม การเมือง และอุดมการณ์ โดยพิจารณาว่าอตลกษณ์ก่อรูปขึนบนฐานอะไร วางอยู่บนเงื่อนไข และอาศยกลไกใด และสภาพทางสงคมวฒนธรรมใดที่ปกป้ องรูปแบบจําเพาะของอตลกษณ์บางรูปแบบ
เช่น ชนชัน
ชาติ เชือชาติ เป็ นต้น ฉะนัน
จึงจําเป็ นต้องแยกอัตลักษณ์ออกเป็ นประเภทต่างๆ ซ่ึงมักมี
ลกษณะควบค่กน เชน่ อตลกษณแห์ ่งชาติ (national identity) กบอตลกษณพลเมื์ อง (civic identity) อต
ลกษณ์ร่วม (collective identity) กบอตลกษณ์บคคล (personal identity) เป็ นต้น พร้อมกนนี ้ Golubovic เสนอให้พิจารณาอตลกษณ์ในฐานะปรากฏการณ์ที่ถกกําหนดทางสงคมวฒนธรรม โดยเขาได้หยิบยกงาน ชินต่างๆ ในการแสดงให้เห็นการก่อรูปของอตลกษณ์ พหุลกษณ์ของอตลกษณ์ วิกฤตอตลกษณ์ การ เคลื่อนไหวในประเด็นอตลกษณ์ รวมถึงการเมืองใหม่เร่ืองอตลกษณ์
นอกจากนี ้ นักวิชาการจํานวนหน่ึงเสนอวิธีการพิจารณาอตลกษณ์เป็ นการเฉพาะ เช่น Jenkins (2008) ไม่เพียงแต่เสนอว่าอตลกษณ์คือระบบการจําแนกประเภทหรือแผนที่โลกมนษย์และตําแหน่งแห่งท่ี
ของมนษย์ในฐานะปัจเจกและสมาชิกภายในนนั หากแตย่ งเสนอว่าอตลกษณไม์ ่ใช่ “ส่ิง” (thing) หรอบาื ง
ส่ิงที่บคคลสามารถมีหรือไม่มี หากแต่เป็ นบางส่งที่บคคลทํา (Jenkins 2008: 5) ฉะนนั แทนท่ีจะเป็ น “อต
ลกษณ์” (Identity) Jenkins เสนอว่าเราควรให้ความสําคญกบกระบวนการท่ีกําลงดําเนินอย่และมีลกษณะ ปลายเปิ ดมากกว่า หรืออีกนยหนึ่งคือให้ความสําคญกับ “กระบวนการสร้ างอตลกษณ์” (Identification)
(เพ่ิงอ้าง: 9) เพราะมนคือกลไกการรู้คิดพืนฐานท่ีมนษย์ใช้ในการแจกแจงตนเองและผ้อื่นทง้ ในระดบปัจเจก
และกล่ม (เพงอาง:้่ิ 13) มนคือปฏสิ มพนธระหวางความเหมื่์ อนกบความต่าง และอตลกษณก็์ เป็ นผลผลิต
ของกระบวนการสร้ างอตลกษณ์ภายนอกโดยผู้อ่ืน พอๆ กบเป็ นผลผลิตของกระบวนการสร้ างอตลกษณ์ ภายในของบคคล (เพิ่งอ้าง: 200) Jenkins เสนอว่าเราจําเป็ นต้องแกะกล่อง “กระบวนการสร้างอตลกษณ์” แทนที่จะถือมนเป็ น “กลองดํา” เหมือนเช่นวิทยาศาสตร์สําเร็จรูปหรือเทคโนโลยี (เพ่ิงอ้าง: 15-18)
กระบวนการสร้างอตลกษณ์บนปฏิสมพนธ์ระหวางความเหมือนกบความต่างได้รับการเน้นยําโดย นกวิชาการด้านนีหลายคน เช่น ในการทบทวนความหมายของมโนทศน์อตลกษณ์ อภิญญา (2546: 76- 77) เสนอว่าการนิยามอตลกษณ์ของสิ่งต่างๆ เกิดขึนจากกระบวนการจําแนกแยกแยะท่ีตามมาด้วยการ
ลากเส้นแบ่งสิ่งนีออกจากสิ่งนน
และการปฏิเสธคณสมบต
ิท่ีไม่ใช่ตวมนออกไป เช่น ความดีไม่ใช่ความชว
ความหมายของอตลกษณ์จึงไม่ได้มีรากฐานอย่ภายในตวเอง หากแต่อิงอาศยความหมายของด้านตรงข้าม มาเปรียบเทียบ หรือกล่าวอีกนยหน่ึง “ความเป็ นอื่น” คือเหรียญตรงข้ามที่เป็ นเงื่อนไขจําเป็ นของการมีอยู่ ของอตลกษณ์ นอกจากนี ้ อภิญญาได้หยิบยกงานของ Stuart Hall (เพ่ิงอ้าง: 94-95) ที่ว่าการสร้ าง
ภาพลกษณ์ต้นแบบ (stereotype) คือการเลือกดงคณสมบต
ิบางอย่างของบคคลที่เด่นชด
เข้าใจง่าย เป็ นที่
รับรู้ทว
ไป และลดทอนอตลกษณ์บุคคลลงไปเป็ นคณสมบต
ิไม่กี่อย่างเหล่านนั
วิธีการลดทอนประการแรก
คือทําให้คณสมบต
ิเหล่านน
สดขว้ เกินจริง เพื่อให้เข้าใจง่าย ประการที่สองคือการสร้างอตลกษณ์ค่ตรงข้าม
เช่น ผ้รู ้ายซงึ เป็ นขว้ ตรงข้ามคนดี ประการท่ีสามคือกําหนดให้คตรงขามมคาี้ ที่ไม่เท่ากนหรอเื ป็ นดานลบ้
งานวิจยอาศยแนวคิดอตลกษณ์ท่ีกลาวถึงข้างต้นในสามลกษณะ ประการแรก งานวิจยไม่ถือว่าอตั ลกษณ์เป็ นสารัตถะหรือเป็ นแก่นสารที่สืบเนื่องมาแต่ดึกดําบรรพ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากแต่ถือเป็ นการ
ประกอบสร้ างภายใต้ช่วงเวลาประวติศาสตร์และเง่ือนไขหรือบรบททางสงิ คม การเมือง และเศรษฐกิจ
เฉพาะ ซ่ึงแม้จะมีสภาวะและคุณลกษณะให้ตระหนกได้แต่ก็ไม่หยุดนิ่งตายตว โดยเฉพาะอตลกษณ์ทาง
ชาติพันธ์ุซึ่งมีประวัติการศึกษามาอย่างต่อเน่ืองยาวนานและมีการคลี่คลายตวในลกษณะดังกล่าวนี7้ ประการท่ีสอง งานวิจยไม่เพียงแต่พิจารณาว่าอตลกษณ์มีลกษณะ ความหมาย หรือนยอย่างไร หากแต่ พิจารณาด้วยว่ามันถูกประกอบสร้ างขึนมาอย่างไร โดยใคร อาศัยเทคนิค กลไก และกระบวนการใด
7 การศึกษาชาติพนธ์ุร่วมสมยสามารถจําแนกได้สามแนวทางหลก แนวทางแรกคอการพิื จารณาความเป็ นชาติพนธ์ุ (ethnicity) ในฐานะที่เป็ น
คณลกษณะที่ก่อตวขึนท่ามกลางปฏิสมพนธ์ระหว่างกล่มต่างๆ แทนที่จะมองว่าเป็ นทรัพย์สินหรือมรดกทางวฒนธรรม (cultural property) ที่ ติดตวกล่มชาติพนธ์ุในฐานะหน่วยให้กําเนิดวฒนธรรม (culture bearing unit) มาแต่ดึกดําบรรพ์ เช่น Keyes (1976, 1981, 1997a) เสนอว่า ความเป็ นชาติพนธ์ุเป็ นผลิตผลของความสมพนธ์ระหว่างอตลกษณ์ทางวฒนธรรมที่มีรากมาแต่อดีตกบปฏิสมพนธ์ทางสงคมและการเมือง ใน
ทํานองเดียวกน
Tambiah (1989) เสนอว่าอตลกษณ์ทางชาติพนธ์ุเป็ นการผสมผสานกนระหว่างการอ้างอดีตกบการเล็งประโยชน์ในปัจจบ
นใน
บริบทของการแข่งขนทางการเศรษฐกิจและการเมือง แนวทางท่ีสองเป็ นการพิจารณาความเป็ นชาติพนธ์ุในปริมณฑลของอตลกษณ์ทางสงคม โดย Eriksen (1993) เสนอว่าอตลกษณ์ทางสงคมครอบคลมอตลกษณ์ประเภทต่างๆ และหนึงในนน้ คืออตลกษณ์ทางชาติพนธ์ุ นอกจากนี ้ ใน
บางสถานการณ์อตลกษณ์ประเภทอื่น เช่น ชนชนั และเพศสถานะ มีนยสําคญกวาอ่ ตลกษณ์ทางชาตพิ นธ์ุ ส่วนแนวทางท่ีสามพิจารณาความ
เป็ นชาติพนธ์ุในบริบทของรัฐชาติสมยใหม่ โดย Keyes (1976) เสนอว่าความเป็ นชาติพนธ์ุได้กลายมาเป็ นปัจจยสําคญในความสมพนธ์ทาง สงคมนบตง้ แต่การเกิดขึนของรัฐชาติเน่ืองจากรัฐชาติมกจะชกล่มชาติพนธ์ุใดกล่มชาติพนธ์ุหนึ่งพร้ อมกบเบียดขบหรือกลืนกลายกล่มชาติพนธ์ุ อื่นในเวลาเดียวกัน ดงกรณีของรัฐไทยท่ีชูคุณลกษณะของกลุ่มชาติพนธ์ุไทเหนือคุณลกษณะของกลุ่มชาติพนธ์ุอื่นในการสร้ างอุดมการณ์ ชาตินิยมเชิงชาติพนธ์ุ (ดู Keyes 1971, 1995, 1997b, Scupin 1986, Uthai 1988)
ภายใต้ เงื่อนไขหรือบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมแบบไหน หรืออีกนัยหนึ่งคือพิจารณา กระบวนการสร้ างอตลกษณ์ (Identification) ควบคู่กันไป ประการท่ีสาม งานวิจยให้ความสําคญกับ กระบวนการสร้างค่ตรงข้ามในฐานะที่เป็ นส่วนหนึ่งหรือองค์ประกอบท่ีขาดไม่ได้ของอตลกษณ์หน่ึงที่กําลงั
พิจารณา คือ “คนเลว” หรือ “คนชว
” ซึ่งตรงข้ามกบ
“คนดี” หรือกล่าวอีกนยหน่ึง นอกจากพิจารณาว่าอต
ลกษณ์ “คนดี” มีความหมายและถกประกอบสร้ างขึนมาอย่างไร งานวิจยพิจารณาว่าอตลกษณ์ “คนเลว”
มีลักษณะและถูกสร้ างขึนมาอย่างไรภายใต้กระบวนการสร้ างอัตลักษณ์ “คนดี” และนําไปสู่การจัด
ความสมพนธ์ระหว่างอตลกษณ์คน่ ีอย่างไร
1.4 คาถามวิจยั
จากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เก่ียวข้องข้างต้นในการศึกษา “การเมืองคนดี” ของผู้สนับสนุน
“ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” งานวิจยได้กําหนดคําถามวิจยดงนี ้
1. ผู้สนับสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ประกอบด้วยคนชนชันใด มีชนชันกลางเป็ น
องค์ประกอบหลกหรือไม่อย่างไร และมีชนชนอนใดอี่ื กท่ีเป็ นองคประกอบหลก์
2. ผู้สนับสนุน “ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย” ในส่วนของชนชันกลางมีความคิดทางการเมือง อย่างไร สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยหรือไม่อย่างไร พวกเขาอธิบายหรือว่าให้ เหตุผลอย่างไร ความคิดทางการเมืองของพวกเขาเหมือนหรือแตกต่างจากผู้สนับสนุนหลกกลุ่มอื่นหรือไม่อย่างไร เป็ น เพราะเหตใด
3. ผ้สนบสนน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” เสนอ “การเมืองคนด”ี ในลกษณะใด มีความเก่ียวของ้
สมพนธ์กบโลกทศน์และคติความเชื่อทางศาสนาหรือไม่อย่างไร พวกเขาเลือกรับปรับใช้อย่างไร
4. ผ้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” หมายความตวเองและผ้อ่ืนหรอื ฝ่ ายตรงข้ามอย่างไร
ด้วยวิธีการใด และอตลกษณ์รวมถึงกระบวนการสร้างอตลกษณ์ดงกล่าวนําไปส่การปฏิบต ตรงข้ามอย่างไร
ิต่อผ้อ
ื่นหรือฝ่ าย
1.5 พืนท่วิจย
เพราะเหตุที่ “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” โดยเฉพาะในส่วน กปปส. เคลื่อนไหวใน
กรุงเทพฯ เป็ นหลก
ขณะท่ีองค์ประกอบหลกของผ้เข้าร่วมชมนุมคือผ้ม
ีถ่ินพํานกในกรุงเทพฯ กบผ้เดินทาง
มาจากภาคใต้ซง่ จํานวนมากมีญาติสนิทมิตรสหายในกรุงเทพฯ งานวิจยจึงจะอาศยกรุงเทพฯ เป็ นพืนท่ีวิจย
ทว่าไม่ใช่เฉพาะในฐานะหน่วยการปกครองที่มีขอบเขตทางกายภาพท่ีแน่นอนตายตว หากแตเ่ ป็ น “สนาม”
ซง่ ก่อตวขน้ จากปฏิบติการของผค้ นภายใตกระบวนการทางเศรษฐกิ้ จ สงคม และการเมืองท่ีพาดผ่านกนไป
มา จึงมีลกษณะล่ืนไหล ไม่คงรูป ขน้ อย่ก
บปฏิบต
ิการในแตละช่วงเวลาของผ้คน
การพิจารณา “สนาม” ที่ก้าวข้ามหน่วยพืนที่ทางกายภาพที่มีขอบเขตแน่นอนตายตวดงกล่าว สามารถกระทําได้หลายลกษณะ เช่น Bourdieu (1977) เสนอว่า “สนาม” คือเครือข่ายความสมพนธ์
ระหว่างตําแหน่งต่างๆ ทางสงคม หรือเป็ นอาณาบริเวณทางสงคมท่ีมีระเบียบ องค์กร/สถาบน และภาษา
กํากบปฏิบต
ิการตอส้ช
่วงชิงการเข้าถึง “ทน
” ประเภทต่างๆ ของบคคลในการจําแนกตนเองให้ต่างจากผ้อ
ื่น
ขณะที่ Gupta and Ferguson (1997) เสนอว่าการที่พืนที่ประเภทต่างๆ มีความเชื่อมโยงกนมากขึนส่งผล
ให้เราไม่สามารถคิดถึง “สนาม” ในลกษณะท่ีมีขอบเขตจํากด (Bounded Fields) หรอเื ป็ น “สถานเชิง
กายภาพ” (Spatial Sites) ได้อีกต่อไป หากแต่จะต้องคิดถึง “สนาม” ในฐานะ “ทําเลที่ลื่นไหล” (Shifting Locations) ไม่ว่าจะเป็ นทําเลทางสงคม ทําเลทางวฒนธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือทําเลทางการเมือง
ในทํานองเดียวกน Marcus (1995) เสนอว่าการท่ีโลกเชอมโยงก่ื นมากขน้ และผค้ นรวมทง้ สงท่ี่ิ เก่ียวของตา้ ง
เคลื่อนย้ายไปมาระหว่าง “สถาน” (Sites) ต่างๆ ส่งผลให้เราไม่สามารถทําการศกษาเชิงชาติพนธ์ุวรรณนา ในสถานท่ีใดสถานที่หน่ึงเหมือนเช่นในอดีตได้ หากแต่ต้องทําการศึกษาในลกษณะที่เรียกว่า “ชาติพนธ์ุ วรรณนาพหสถาน” (Multi-Sited Ethnography) ทง้ โดยการติดตามผ้คน ส่ิงของ สินค้า สญญะ เรื่องราว
ชีวประวต
ิ และความขดแย้ง
นอกจากนี ้ Appadurai (1996) เสนอว่าการบรรจบกนระหว่างสื่ออิเล็กทรอนิกส์กบการย้ายถ่ินใน
ระดบโลกซงึ ก่อให้เกิด “อาณาบริเวณสาธารณะของผ้พลดถ่ิน” (Diasporic Public Spheres) โดยเฉพาะใน เขตเมืองได้ก่อให้เกิดจินตนาการชนิดใหม่ท่ีไปไกลกว่าชาติ เป็ นสภาวการณ์ของการแตกหกหรือแยกออก จากกนของเศรษฐกิจ วฒนธรรม และการเมือง ซ่ึงไม่สามารถศกษาได้ผ่านหน่วยพืนท่ีเชิงกายภาพเช่นเก่า หากแต่ต้องศกษาผ่านทางความสมพนธ์ระหว่าง “ทิวทศน์” (Scapes) หรือ “กระแส” (Flows) ต่างๆ ได้แก่ ทิวทศน์ชาติพนธ์ุ (Ethnoscape) ทิวทศน์ส่ือ (Mediascape) ทิวทศน์เทคโนโลยี (Technoscape) ทิวทศน์ การเงิน (Financescape) และทิวทศน์อดมการณ์ (Ideoscape) ซง่ มีลกษณะลื่นไหล ไม่คงรูป เพราะไม่ได้
เป็ นสิ่งหรือความสมพนธ์ที่มีอยู่ก่อน หากแต่ก่อตวขึนภายใต้เง่ือนไขทางประวติศาสตรและการเมื์ องผาน่
ทางผู้กระทําการอันหลากหลาย ทังรัฐชาติ ชุมชนคนพลัดถิ่น ขบวนการเคลื่อนไหว รวมทังกลุ่มที่มี
ความสมพนธ์ซึ่งหน้าประเภทหม่บ้าน ละแวก และครอบครวั “ทิวทศน์” หรอื “กระแส” เหลานี่ ก้ ่อให้เกิด
จินตนาการและวฒนธรรมทง้ สมยใหม่และหลงสมยใหม่ ที่บคคลทง้ มีประสบการณ์ผ่านและสร้างขึนมาใน เวลาเดียวกนั
งานวิจยอาศยแนวคิด “สนาม” ที่ก้าวข้ามหน่วยพืนท่ีทางกายภาพข้างต้นในการพิจารณากรุงเทพฯ
ในฐานะพืนที่วิจย รวมทง้ อาศยแนวคดิ “ทิวทศน์” หรอว่ื า “กระแส” ของ Appadurai ในการจําแนกหวข้อ
หรือประเด็นในการศกษา ทง้ ในแง่ของ “ทิวทศน์ชาติพนธ์ุ” (ภมิทศน์ของผค้ นท่ีเคล่ือนย้ายไปมา) “ทิวทศน์
ส่ือ” (การแพร่กระจายของสื่อชนิดต่างๆ และภาพลกษณ์และจินตนาการที่สื่อเหล่านีสร้ างขึน) และ
“ทิวทศน์อุดมการณ์” (กระบวนการสร้ างอุดมการณ์รัฐ อุดมการณ์ต้านรัฐ และอุดมการณ์หรือว่าระบบ คุณค่าอ่ืนๆ เช่น ประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ฯลฯ) อย่างไรก็ดี ในขณะที่ Appadurai เสนอแนวคิด “ทิวทศน์” เพื่อชีให้เห็นการแตกหกหรือว่าแยกออกจากกนของ “ทิวทศน์” หรือ “กระแส” เหล่านีท้ ี่ทําให้ส่ิงที่ ถกจินตนาการไม่ได้เป็ นชาติแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป หรืออีกนยหน่ึงคือชีให้เห็นกระบวนการก่อรูปทาง วัฒนธรรมระดับโลกท่ีหลุดไปจากการควบคุมบงการของรัฐ มีลักษณะข้ามชาติ หรือเป็ นโลกาภิวัตน์ (Globalization) ทว่าชุดโครงการวิจยเน้นให้เห็นการบรรจบกนของ “ทิวทศน์” เหล่านีในห้วงเวลาจําเพาะ
ทางประวต
ิศาสตร์มากกว่า เพื่อจะชีให้เห็นว่าสภาวการณ์ดงกล่าวนําไปสู่การก่อตวและปฏิบต
ิการของ
“การเมืองคนดี” ใน “สนาม” อย่างกรุงเทพฯ โดยผ้สนบสนุน “ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย” ซ่ึงให ความสําคญกบชาติอย่างไร โดยประกอบด้วยโครงการย่อย 7 โครงการดงตอดงนี ้
1) “ผมจะไปช่วยพี่น้องเรา รัฐบาลขีฉ้ ้อทําร้ ายประชาชน”: การเมืองเชิงศีลธรรมของคนใต้ย้ายถิ่นใน กรุงเทพฯ” ชลิตา บณฑวงศ์
2) “อตลกษณ์และบทบาททางการเมืองภายใต้ระบบประชาธิปไตยของคนชนกลางกรุงเทพ: กรณศี ึกษา
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการกปปส.” ธร ปิ ติดล และ ชานนทร์ เตชะสนทระวฒน์
3) “ชมชนศีลธรรมใน Facebook: อตลกษณ์ทางการเมืองของผ้ใช้อินเทอร์เน็ตในขบวนการกปปส.” (2556-
2557)” อาทิตย์ สรุ ิยะวงศ์กล และ อาจินต์ ทองอย่คง
4) “การสร้ างอุดมการณ์: กระบวนการและปัจจัยความสําเร็จของกรอบโครงความคิดของปัญญาชน กปปส.” อเชนทร์ เชียงเสน
5) “พฒนาการและพลวตของขบวนการตอต้านทกษิณ: จากขบวนการเสรีนิยมอนหลากหลาย
สขบวนการอนรุ ักษ์นิยมเข้มข้น” กนกรัตน์ เลิศชสกล
6) “พืนฐานทศนคติและการให้คณค่าทางสงคม วฒนธรรม และการเมืองของคนกรุงเทพฯ” วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ และ อภิชาต สถิตนิรามยั
7) “ศีลธรรมของความรุนแรง และความรุนแรงของศีลธรรมในวิกฤตประชาธิปไตยไทย (2556-2557)”
ประจกษ์ ก้องกีรติ
1.6 วิธีการวิจัย
งานวิจยในภาพรวมชินนีเป็ นการสงเคราะห์ (synthesis) และสกดข้อมลจากโครงการวิจยย่อยทงั
7 เป็ น
หลักในการเรียบเรียง โดยเสริมด้วยข้อมูลจากเอกสารทังในส่วนแนวคิดทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทความ รวมทง้ ข้อมูลจากบนทึกการปราศรัยต่างๆ ของ “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ในส่วน
โครงการวิจยย่อยทงั
7 นนั
ก็อาศยวิธีการวิจยที่หลากหลาย มีทง้ การวิจยเชิงคณภาพที่เน้นการสมภาษณ์
เชิงลกและการสงเกตการณ์ มีการวิจยเชิงปริมาณที่ใช้แบบสอบถามในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมล รวมถึง
มีการวิจยเชิงส่ือและวาทกรรม โดยใช้ข้อมลจากทง้ ส่ือในโลกออนไลน์และออฟไลน์ ในอีกแง่หนึ่ง วิธีการ วิจัยที่หลากหลายนีก้ ็สะท้ อนถึงสาขาวิชาที่หลากหลายของผู้วิจัย นับตังแต่มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์
จนกระทั่งเศรษฐศาสตร์ ในแง่นีแล้ ว งานวิจัยชินนีจึงเป็ นงานวิจัยที่มีลักษณะสหสาขาวิชา
(multidisciplinary) ซง่ คณะวิจยเชื่อว่ามีความจําเป็ นในการทําความเข้าใจและตอบโจทย์การวิจยนี ้
บทท่ี 2 “ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย”
“ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ประกอบด้วย “พนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และ
“คณะกรรมการประชาชนเพ่ือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ เป็ นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข” (กปปส.) ขบวนการท สองมความคาบเก่ีี ยวเหล่ือมซ้อนกันระดบหน่ึง
โดยเฉพาะในสวนของเป้ าหมาย/วตถประสงค์ กระนน
ก็มีความแตกตางกนอย่างมีนยสําคญ
ไม่ว่าจะเป็ นใน
แง่แกนนําหรือผ้สนบสนน และโดยเฉพาะอย่างยง่ คอโวหาร/ื วาทศลิ ป์ /วาทกรรมในการเคลื่อนไหวท่ี กปปส.
ชู “การเมืองคนดี” อย่างเข้มข้นแหลมคมและเป็ นประเด็นศกษาของงานวิจย บทนีจ้ ึงชใี ห้เห็นว่าพนธมตรฯิ
และ กปปส. มีลกษณะอย่างไร ก่อตวขน้ ภายใต้เง่ือนไขทางการเมืองใด เคลื่อนไหวเรียกร้องในประเด็นไหน มีความสืบเนื่องและความเปล่ียนแปลงอย่างไร และมีเป้ าหมายหรือว่าวตถประสงค์ร่วมกนตรงไหน ก่อนจะ ได้กลาวถึงผ้สนบสนนของขบวนการโดยเฉพาะ กปปส. เป็ นลําดบตอไป
2.1 พนธมิตรประชาชนเพ่ือประชาธิปไตย
2.1.1 ช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
การเคลื่อนไหวของพนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเร่ิมต้นจากการท่ีนายสนธิ ลิมทองกล จด
รายการ “เมืองไทยรายสปดาห์” ทางสถานีโทรทศน์ช่อง 9 วิจารณ์ พ.ต.ท.ทกษิณ ชินวตร โดยเฉพาะใน ประเด็นการก้าวล่วงพระราชอํานาจที่นายเสนาะ เทียนทอง ได้เปิ ดไว้มาขยายความ โดยนายสนธิได้อ่าน ข้อเขียน “ลกแกะหลงทาง”8 ในรายการซงึ มีเนือหาโจมตี พ.ต.ท.ทกษิณ ในประเด็นเกี่ยวกบสถาบนกษัตริย์ ส่งผลให้เขาถูก พ.ต.ท.ทกษิณ ฟ้ องฐานหมิ่นประมาท และถกผู้บริหาร อสมท. ถอดรายการของเขาออก
จากผงรายการในเวลาต่อมา (กองบรรณาธิการมติชน 2551: 16, 83-84) หลงจากนนนายสนธไิ ด้ปรบั
รูปแบบรายการเ ป็ น “ เ มื องไทยรายสัปดาห์สัญจร” ทุกเย็นวันศุก ร์ ท่ี หอประชุมศ รี บูรพา มหาวิทยาลยธรรมศาสตร์ ท่าพระจนทร์ มีการถ่ายทอดโทรทศน์ผ่านดาวเทียม ASTV และสื่ออ่ืนในเครือ
ผ้จ
ดการ ตอมาเมื่อมีผ้เข้าร่วมฟังเพิ่มมากขน้ เขาก็ได้ย้ายไปจด
รายการที่อาคารลีลาศ สวนลมพินี (เพิ่งอ้าง:
16-17)
นอกจากผ้เข้าร่วมฟังทว
ไป บุคคลที่มีชื่อเสียงและแกนนํากล่มต่างๆ ได้เข้าร่วมการเคล่ือนไหวกบ
นายสนธิด้วย อาทิ พลตรีจําลอง ศรีเมือง อดีตหวหน้าพรรคพลงธรรมและประธานมลนิธิกองทพธรรมใน
8 เนือความในข้อเขียน “ลกแกะหลงทาง” ส่วนท่ีเกี่ยวข้องเป็ นดงนี ้“พ่อบอกว่าเราควรมีเศรษฐกิจแบบพอเพียง พวกลกแกะหลงทางกลบบอกว่า จะเอาอะไรกิน เราไปอย่กระต๊อบกนดีไหมพวกโง่ทง้ หลาย [...] ลกแกะคนโตยงหลงทางต่อไป...ต่อไป...และต่อไป ลกๆ ทง้ หลาย ตื่นเถิด ตา
สว่างได้แล้ว ชีวิตนีของพวกท่านเป็ นของพ่อโดยไม่ต้องมีกฎใดๆ มารองรับ...กราบแทบเท้าพ่อของแผ่นดิน” (คํานณ 2549: 59)
สงกดสํานกสนติอโศก ซง่ เป็ นผลมาจากการที่ พ.ต.ท.ทกษิณ ปฏิเสธการคดค้านการนําเบียร์ช้างเข้าตลาด
หลกทรัพย์ที่พลตรีจําลองเป็ นแกนนํา และในช่วงเวลานีมีการขยายพืนท่ีชมนมไปยงลานพระบรมรปทรงมู้ า
และบริเวณใกล้เคียง และเป็ นช่วงที่พลตรีจําลองทวีบทบาทการนํา การที่มีเครือข่ายกองทพธรรมและสนติ อโศกก็ส่งผลให้การชุมนุมยืดเยือข้ามคืน (กองบรรณาธิการมติชน 2551: 18-19) นอกจากนี ้ แกนนําจาก คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เช่น นายสรุ ิยะใส กตะศิลา แกนนําจากสหภาพการรถไฟ
เช่น นายสมศกด์ิ โกศยสข นกวิชาการ เชน่ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบลย์ และครโรงเรยนทางเลอกืีู เชน่ นาย
พิภพ ธงไชย ก็ได้เข้าร่วมชมนมด้วย (เพิ่งอ้าง: 21)
ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มต่างๆ เข้าร่วมการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง อาทิ สมาพนธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ สมพันธ์ องค์การต่อต้านคอร์รัปชัน สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เครือข่ายสลัมสี่ภาค กลุ่ม นักวิชาการ กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย ชมรมแพทย์ชนบท กลุ่มสันติวิธี เครือข่ายแพทย์อาวุโส คณาจารย์อาวโสสายสงคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ฯลฯ มีเป้ าหมายคือขบไล่ พ.ต.ท.ทกษิณ และมีการ ปรับกลยทธ์ในการชุมนุม เปลี่ยนจุดศนย์รวมจากนายสนธิเป็ น “แกนนําภาคประชาชน” กองบรรณาธิการ มติชน 2551: 29, 32-34)
เมื่อมีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากขึน รวมถึงไดรั้ บการสนบสนุนจากเครอขายและกลม่่ื ตางๆ่ นายสนธจิ ึง
ทดลองหยงั เสียงผ้ชมนมด้วยการระดมพลงประชาชนห้าแสนคนวนท่ี 9 ธนวาคม 2548 แต่ไมได้่ ตามเป้ า
เขาจึงชุมนุมต่อเพื่อระดมผู้ชุมนุมเพิ่ม โดยอาศยประเด็น “พระราชอํานาจ” เป็ นตวเคล่ือน โดยวนที่ 13 มกราคม 2549 ในรายการ “เมืองไทยรายสปดาห์สญจร” เขาได้รวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาผ่านทางพลเอกเปรมเพื่อให้มีการปฏิรูปการเมือง (กองบรรณาธิการมติชน 2551: 27) ต่อมาวนที่ 4 กมภาพนธ์ 2549 เขาได้นดชมนมครังสําคญที่หน้าพระท่ีนง่ อนนตสมาคม เพื่อถวายฎีกาในหลวงผ่านทาง พลเอกเปรมโดยมี พล.ร.ท. พะจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิทมาเป็ นตวแทนรับ และในการชุมนุม
ครังนีม
ีการเปิ ดตว
“พนธมิตรประชาชนเพ่ือประชาธิปไตย” พร้ อมกบตง้ แกนนําห้าคน ประกอบด้วย นาย
สนธิ พลตรีจําลอง นายสุริยะใส นายพิภพ และนายสมศกดิ์ โดยมีนายสุริยะใสเป็ นผู้ประสานงาน (กอง
บรรณาธิการมติชน 2551: 23, 84-85; คํานณ 2549: 243-250)
พนธมิตรฯ โจมตี “ระบอบทกษิณ” ที่ทําลายชาติ (การเลี่ยงภาษีจากการขายหุ้น) ศาสนา (การ
แต่งตง้ ประธานคณะผู้ปฏิบติหน้าท่ีสมเดจพระส็ งฆราช) และพระมหากษัตริย์ (ปฏญญาิ ฟิ นแลนด์ การ
ทําบญในอโบสถวดพระแก้ว) จากเริ่มต้นด้วยการเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทกษิณ ลาออก ตอมาได้ขยายไปสการ
เรียกร้ องให้ พ.ต.ท.ทกษิณ เลิกย่งเกี่ยวกบการเมือง จนกระทง พ.ต.ท.ทกษิณ ต้องประกาศยบสภาในวนท่ี
24 กมภาพนธ์ 2549 และมีการเลือกตง้ ใหม่วนที่ 2 เมษายน 2549 (กองบรรณาธิการมติชน 2551: 85-86)
ทว่าการเลือกตง้ มีปัญหา ศาลรัฐธรรมนูญตดสินให้เป็ นโมฆะ มีการกําหนดเลือกตง้ ใหม่อีกครังในวนที่ 15
ตลาคม 2549 ทว่าเกิดรัฐประหาร 19 กนยายน 2549 เสียก่อน พนธมิตรฯ จึงยต
(เพิ่งอ้าง: 88)
ิการเคลื่อนไหวลงชว
คราว
2.1.2 ช่วงหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
พนธมิตรฯ กลบมาเคล่ือนไหวอีกครังหลงจากพรรคพลงประชาชนได้รับชยชนะและเป็ นรัฐบาลโดย มีนายสมคร สนทรเวช เป็ นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่านายสมครเป็ นร่างทรงของ พ.ต.ท.ทกษิณ การ
เคลื่อนไหวครังนีม
ีลกษณะเป็ นเครือข่ายและมีการตง้ พนธมิตรฯ ประจําจงหวด
(กองบรรณาธิการมติชน
2551: 35-36) การเคลื่อนไหวครังสําคญเริ่มจากรุ่งสางวนที่ 26 สิงหาคม 2551 นายสนธิอ่านแถลงการณ์
“เพ่ือพิทกษ์รัฐธรรมนญ 2550 และโคนลมระบอบท้่ กษิณ ขบไล่รัฐบาลห่นเชดขายชาติิ และสร้างการเมือง
ใหม่” กําหนดให้เคลื่อนไหวภายใต้ “กองทพประชาชนกู้ชาติ” (เพิ่งอ้าง: 103) ถดมาในเวลาไล่เล่ียกน
“นกรบศรีวิชย
” ประมาณหนึ่งร้อยคนเข้ายดสถานีโทรทศน์ NBT ทว่าถกจบกม
จากนนั
“กองทพประชาชนก้
ชาติ” ตามไปสมทบและกระจายไปตามจุดต่างๆ และต่อมาก็สามารถยึดทําเนียบรัฐบาลภายใต้แผน
“ปฏิบติการไทยคฟู่ ้ า” ไดส้ ําเร็จ (เพ่ิงอ้าง: 103-108) ขณะท่ีในต่างจงหวดมีการปิ ดสนามบิน เช่น ภเก็ต
หาดใหญ่ และกระบี่ (เพิ่งอ้าง: 119-122)
วนท่ี 9 กนยายน 2551 คณะตลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็ นเอกฉนท์ต่อกรณีนายสมครเป็ น พิธีกรรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขมงหกโมงเช้า” ว่าเป็ นการกระทําต้องห้าม ส่งผลให้นายสมครและ คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากหน้าที่ (กองบรรณาธิการมติชน 2551: 137) ในช่วงแรกเกิดความเห็นต่างในกล่มุ ส.ส. ทว่าต่อมา ส.ส. ส่วนใหญ่ไม่ต้องการไปหาเสียงเพื่อเลือกตังใหม่ จึงประนีประนอมกันเพื่อรักษา สถานะเดิมไว้ พรรคพลงประชาชนจึงหลอมรวมเป็ นหนึ่งอีกครังและเสนอช่ือนายสมชาย วงศ์สวสด์ิ เป็ น
นายกรัฐมนตรีในวนที่ 18 กนยายน 2551 ท่ามกลางเสียงคดค้านของพนธมิตรฯ รวมทงั ประชาธิปัตย์ (เพิ่งอ้าง: 174-175)
ส.ส. พรรค
พนธมิตรฯ ได้ยกระดบการชมนมอีกครังในวนท่ี 24-25 พฤศจิกายน 2551 ด้วยการยึดสนามบิน
ดอนเมืองและสนามบินสวรรณภมิ เรียกร้ องให้นายสมชายลาออก และแมจะได้้ รับการคดคานจา้ กหลาย
ฝ่ าย ทว่าพนธมิตรฯ ยงคงยึดสนามบินทง้ สองแห่งต่อไป จนกระทง่ วนที่ 2 ธนวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนญู มีคําวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลงประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอีกสองพรรค คือ พรรคชาติไทย และพรรค มชฌิมาธิปไตย อนเน่ืองมาจากกรณีทจริตการเลือกตง้ ของนายยงยทธ ติยะไพรัช พนธมิตรฯ จึงถือโอกาสนี
ประกาศยต
ิการชมนมทง้ ที่ทําเนียบรัฐบาล สนามบินสวรรณภม
ิ และสนามบินดอนเมืองในวนที่ 3 ธนวาคม
2551 เพราะเห็นว่าการชุมนุมได้บรรลวตถุประสงค์ท่ีตง้ ไว้แลว้ คือการพิทกษ์รัฐธรรมนญู และการขบไล่
รัฐบาลห่นเชิดของ พ.ต.ท.ทกษิณ เป็ นการปิ ดฉากการชมนมที่ยาวนานที่สดในประวติศาสตรการเมื์ องไทย
คือ 193 วน
โดยหลงจากนน
วนท่ี 17 เมษายน 2552 นายสนธิถกยิงแต่รอดชีวิต และหลงจากนน
ก็ไม่มีการ
เคลื่อนไหวใหญ่ของพนธมิตรฯ อีกตอไป
เป้ าหมายหลกของพนธมิตรฯ คือ “ล้างระบอบทกษิณให้สินจากการเมืองไทย” (กองบรรณาธิการ มติชน 2551: 73) เพราะเห็นว่าเป็ นภยคกคามตอชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ดี ในการ
เคล่ือนไหว พนธมิตรฯ เลือกที่จะบ่งชีหรือหมายความตนเองเข้ากบสถาบนพระมหากษัตริย์เป็ นหลก ดงจะ
เห็นได้จากการที่นายสนธินําเสือสีเหลืองที่มีข้อความว่า “เราจะส้เพื่อในหลวง” มาสวมทบขณะแถลงข่าว วนท่ี 15 กนยายน 2548 หลงทราบว่าบอร์ด อสมท. มีมติถอดรายการ “เมืองไทยรายสปดาห์” ออกจากผงั
รายการช่อง 9 (คํานณ 2549: 52) และขอความสกรนที่ี้ ขายดในช่ี วงปี 2549 คือ “เราจะสเ้ พ่ือในหลวง” (มติ
ชน 2551: 53) นอกจากนี ้ ช่ือหนงสือที่นายคํานูณเรียบเรียงคือ “ปรากฏการณ์สนธิ: จากเสือเหลืองถึง ผ้าพันคอสีฟ้ า” (คํานูณ 2549) ชีให้เห็นความพยายามท่ีจะบ่งชีการเคลื่อนไหวของนายสนธิและกลุ่ม พันธมิตรฯ เข้ากับพระมหากษัตริย์และพระราชินีอย่างเด่นชัด เน่ืองจากสีเหลืองเป็ นสีสัญลักษณ์ของ พระมหากษัตริย์และสีฟ้ าเป็ นสีสญลกษณ์ของพระราชินี (นอกเหนือจากการกล่าวอ้างบนเวทีปราศรัยถึง ที่มาของผ้าพนคอสีฟ้ า)
กนกรัตน์ (2560) เสนอว่าถึงแม้พนธมิตรฯ จะมีความคกคกเข้มแข็งและมีผ้เข้าร่วมจํานวนมากใน ช่วงเวลาหน่ึง ทว่าต่อมาก็ซบเซาลงเนื่องจากความขดแย้งภายใน การแตกกระจาย และความอ่อนแอของ พันธมิตรฯ ซ่ึงส่งผลให้แม้จะมีความพยายามรือฟื ้นพันธมิตรฯ ขึนมาใหม่ แต่ก็ไม่ประสบความสําเร็จ จนกระทงั เม่ือเกิด กปปส. ขึนมา พนธมิตรฯ ส่วนหนึ่งจึงได้เข้าร่วม “ขบวนการต่อต้านทกษิณ” ครังสําคญั อีกครัง้
2.2 คณะกรรมการประชาชนเพ่ือการเปล่ียนแปลงประเทศไทยให้เป็ นประชาธิปไตยท่ีสมบูรณ์ อนมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข (กปปส.)
กนกรัตน์ (2560) เสนอว่า “ขบวนการต่อต้านทกษิณ” ที่ซบเซาลงในช่วงปลายของพนธมิตรฯ สามารถฟื นตวขึนมาใหม่ได้ภายใต้การเคล่ือนไหวของ กปปส. ด้วยเงื่อนไขห้าประการ คือ 1) ความห่วงใย
ร่วมกรณีพระราชบญญตินิรโทษกรรม สร้างโอกาสทางการเมองใหมื ่ในการรวม “ขบวนการต่อต้านทกษิณ”
ที่กระจดกระจายก่อนหน้า 2) พรรคประชาธิปัตย์ได้นํามวลชนทง้ ในส่วนของพรรคและนอกพรรคมา สนบสนนการเคล่ือนไหว ผ้สนบสนนพรรคจากภาคใต้เข้าร่วมใหม่ หลงจากถอนตวการสนบสนนพนธมิตรฯ และกลายเป็ นหนึ่งในผู้ประท้วงหลักและยาวนาน นอกจากนี ้ แกนนําพรรคประชาธิปัตย์ได้สนับสนุน
ทรัพยากรการเมืองและโครงสร้างพืนฐานใหม่ให้กบ กปปส. 3) กปปส. ออกแบบองคกรการเคล่ื์ อนไหวใหม่
ให้ตอบสนองต่อฝักฝ่ ายก่อนหน้าให้สามารถมาเข้าร่วมได้ 4) กปปส. ชูความคิดอนุรักษ์นิยมพร้ อมกบให
พืนที่สําหรับความคิดก้าวหน้าเพื่อจะได้รับการสนบสนุนจากทุกฝ่ าย และ 5) การเสนอไลฟ์ สไตล์ชนชนท่ี
เป็ นกระแสใหม่ได้สร้ างความนิยมและพรากความเป็ นการเมืองออกจาก กปปส. และสามารถดึงดูดคน หน่มสาวรุ่นใหม่ได้สําเร็จ โดยประจกษ์ (2560) ได้แบงการเคล่ือนไหวของ กปปส. ออกเป็ นสามช่วงดงนี ้
2.2.1 การต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม
การชมนมประท้วงขบไลร่ ัฐบาลนางสาวยิ่งลกษณ์ ชินวตร ที่นําโดยนายสเทพ เทือกสบรรณ ได้เริ่ม
ขึนวนที่ 30 ตลาคม 2556 ซง่ เป็ นวนที่ร่างพระราชบญญตินิรโทษกรรมเขาสก่้ ารพิจารณาของสภาในวาระ
สาม โดยการชุมนุมเริ่มขึนท่ีสถานีรถไฟสามเสน ก่อนย้ายไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมามีผ้เข้าร่วม ชุมนุมเพิ่มขึนเป็ นจํานวนมาก ส่งผลให้ในวนที่ 8 ธนวาคม 2556 นางสาวยิ่งลกษณ์ขอพระราชทานร่าง
พระราชบญญต
ินิรโทษกรรมท่ีทลเกล้าฯ ถวายไปวนที่ 1 ตลาคม 2556 คืน ทว่านายสเทพไม่ยต
ิการชมนม
หากแต่ยกระดบให้เข้มข้นขึนอย่างต่อเน่ืองเพ่ือกดดนรัฐบาล จากชุมนุมโดยสงบในที่ตง้ เปลี่ยนเป็ นการ เดินขบวนไปบุกยึดปิ ดล้อมสถานท่ีราชการหลายแห่ง ต่อมาวนที่ 29 พฤศจิกายน 2556 มีการจดตงั ้ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปล่ียนแปลงประเทศไทยให้ เป็ นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมข (กปปส.) โดยมนายสี เทพเป็ นเลขาธการิ เรยกี ร้ องใหรั้ ฐบาลลาออก เพ่ือ
เปิ ดทางให้มีการปฏิรูปประเทศ โดยจดตง้ สภาประชาชนที่มาจากการแต่งตงั กลาง”
และให้มี “นายกรัฐมนตรีคน
2.2.2 ช่วงขัดขวางการเลือกตงั้
วนที่ 8 ธันวาคม 2556 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวต่อ ส่ือมวลชนประกาศนํา ส.ส. ของพรรคทง้ หมด 153 คนย่ืนใบลาออกจากการเป็ น ส.ส. เพ่ือกดดนให้นางสาว ย่ิงลกษณ์ยบสภา ซง่ ได้ผล เพราะในวนตอมานางสาวย่ิงลกษณ์ได้ประกาศยบสภา ด้วยหวงให้กระบวนการ เลือกตง้ เป็ นวิถีทางในการคลี่คลายความขดแย้งและเป็ นทางออกจากสภาวะทางตนทางการเมือง แต่ไม่ได้
ผล เน่ืองจากพรรคประชาธิปัตย์มีมติในวนท่ี 22 ธนวาคม 2556 ไม่ลงสมครรับเลือกตงั และประกาศว่าจะ
ต่อสู้โค่นล้มรัฐบาลร่วมกับผู้ชุมน กปปส. ในขณะท่ีนายสเทพประกาศไมยอมรบการเลืั่ อกตง้ ครังนี ้ โดย
อ้างว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรม พร้ อมกบจะนํามวลชนขดขวางการเลือกตง้ ทุกวิถีทาง รวมทง้ เรียกร้ อง
ให้มีการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตงั ้ ” และจะไม่ยติการชมนุมจนกว่าจะมการจดี ตง้ สภาประชาชนทประกอบดวย้่ี
“คนดีมีคณธรรม” ที่เขาคดสรรขึนมาเพื่อทําการปฏิรูปประเทศ โดยปิ ดปรับปรุงประเทศเป็ นเวลาหนึ่งปี ครึ่ง
ถึงสองปี ตามแนวทางของ กปปส. หลงจากนันจึงจะยอมกลบไปสู่การเลือกตงั นายสเทพนุ ัดหมายให
ประชาชนออกมาชมนมใหญ่ตอต้านการเลือกตง้ ในวนท่ี 22 ธนวาคม 2556 ด้วยเหตน ยบสภาแล้ว การเมืองบนท้องถนนยงดําเนินตอไปและทวีความร้อนแรงขนึ ้
ี ้ แม้จะมีการประกาศ
การเลือกตง้ วนท่ี 2 กุมภาพนธ์ 2557 ประสบปัญหาและอปสรรคอย่างมาก เป็ นการเลือกตง้ ที่มี
ความว่นวายและเกิดเหตรุ ุนแรงมากที่สดในประวต ในท่ีสดุ
ิศาสตร์การเลือกตง้ ของไทย และถกตดสินให้เป็ นโมฆะ
2.2.3 ช่วงขับไล่รัฐบาลย่ิงลักษณ์
วนที่ 5 เมษายน 2557 นปช. ประกาศชุมนมใหญ่ ณ บริเวณถนนอกษะ พทธมณฑล มีผ้เข้าร่วม ประมาณหนึ่งแสนคน ภายใต้หัวข้อ “หยุดล้มล้างประชาธิปไตย เมื่อความอยุติธรรมเป็ นกฎหมาย การ ตอต้านจึงเป็ นหน้าท่ี” ในขณะที่เวที กปปส. นายสเทพ เทือกสบรรณ ได้ประกาศแนวคิดเรื่อง “รัฏฐาธิปัตย์”
ว่าตนเองจะสถาปนาอํานาจรัฐขึนมาและจดตง้ รัฐบาล “คนดี” โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตงั โดยจะนําเรอง่ื
กราบบงคมทลพระเจ้าอย่หวลงพระปรมาภไธยให้ิ โปรดเกลาฯ้ แต่งตง้ นายกรฐมนตรและคณะรฐมนตรของีัีั
ประชาชน พร้อมกบประกาศยทธศาสตร์เคลื่อนไหวใหญ่เพื่อ “เผด็จศก” รฐบาลั
ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตง้ ได้ประชมร่วมกบรัฐบาลและมีมติร่วมกน
ในการกําหนดวนเลือกตง้ ทวไปครงั ใหมแทนการเลอกตงื่ ้ วนที่ 2 กมภาพนธ์ 2557 ท่ีถกตดสินให้เป็ นโมฆะ
โดยกําหนดวนเลือกตง้ ใหม่เป็ นวนที่ 20 กรกฎาคม 2557 เพื่อจะคลี่คลายปัญหา ทว่าสถานการณ์การเมือง
ถกทําให้ตงเครียดและเข้าสท
างตน
โดยวนท่ี 7 พฤษภาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนญมีคําวินิจฉยว่าสถานภาพ
ความเป็ นนายกรัฐมนตรีรักษาการของนางสาวยิ่งลกษณ์สินสดลงจากการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี พ้น ตําแหน่งเลขาธิการสภาความม่ันคงแห่งชาติ พรรคเพื่อไทยจึงแต่งตังนายนิวฒน์ธํารง บุญทรงไพศาล
ขึนมาปฏิบติหน้าที่รักษาการนายกรฐมนั ตรีแทน ส่งผลให้ กปปส. มีความฮึกเหิมขนึ อีกครงั หลงจากท่ีก่อน
หน้านีจ้ ํานวนผ้เข้าร่วมชมนมเริ่มลดลงเนื่องจากเหตรุ ุนแรงที่เกิดขน้ อย่างตอเนื่อง
นายสเทพประกาศยกระดบการชมนมเพื่อ “เผด็จศก” รฐบาลั โดยถือฤกษ์วนท่ี 9 พฤษภาคม 2557
ชวนให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมตามจุดสําคญในกรุงเทพฯ คือ ถนนองรีดนงต์ ถนนราชดาริํ จนถึงแยก
ราชประสงค์ แยกประตนํา และเข้ายึดสถานีโทรทศนช์ ่องหลกทง้ หมดเพอถายทอดก่่ื ารชมนมของ กปปส.
รวมทง้ กดดนให้ประธานวุฒิสภาปรึกษาหารือประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาล
ปกครองสงสด
และประธานกรรมการการเลือกตงั
เพื่อตง้ นายกรัฐมนตรีคนกลาง โดยนายสเทพประกาศว่า
จะดําเนินการตามแผนยทธศาสตร์ทง้ หมดนีให้แล้วเสร็จภายในสามวน เพราะมีผ้เข้าร่วมน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
แต่สดท้ายยทธศาสตร์นีไม่บรรลผล
อย่างไรก็ดี ความปรารถนาของ กปปส. ในการโค่นล้มรัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทยบรรลผล
ในที่สด
เม่ือในวนที่ 20 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยทธ์ จนทร์โอชา ผ้บ
ญชาการทหารบก ได้ประกาศกฎ
อยการศึกพร้ อมกบตง้ กองอํานวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) โดยมีเขาเป็ นผ้อํานวยการ และ
อีกสองวนต่อมา คือ ในวนที่ 22 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยุทธ์ได้นํากําลงทหารและตํารวจในนาม
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อรัฐประหารยึดอํานาจจากรัฐบาลรักษาการ รวมทง้ ใช้กําลงเข้า
กดดนให้ผู้ชุมนุมทงั
กปปส. และ นปช. ต้องสลายตว
และนําประเทศไทยเข้าสู่การปกครองภายใต้ คสช.
และรัฐบาลทหาร พร้ อมกบส่งผลให้การเคล่ือนไหวของกล่มการเมืองขนาดใหญ่ที่ดําเนินมาเกือบทศวรรษ ต้องปิ ดฉากลง
2.3 วัตถุประสงค์ในการเคล่ือนไหว
2.3.1 ขจัด “ระบอบทกษิณ”
ผู้เข้าร่วม “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ในกรณีศึกษามีเป้ าหมายขับไล่รัฐบาลและ
นกการเมืองทจริตโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทกษิณ เป็ นหลก
นบตง้ แตในสวนของชนชน
กลางระดบบน ธรและชาน
นทร์ (2560) ชีว้ ่าสาเหตหลกที่พวกเขาเข้าร่วมขบวนการตอต้าน พ.ต.ท.ทกษิณ เพราะเห็นว่ามีปัญหาทจริต
คอร์รัปชน พวกเขาเหนว่็ า พ.ต.ท.ทกษิณ ใช้อํานาจทางการเมองแสวงหาผลประโยชน์ื ให้ตนเองและพวก
พ้องในสองลกษณะ ลกษณะแรกเกี่ยวข้องกบการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยรวม เช่น “นางสี่” กล่าวว่า
พ.ต.ท.ทกษิณ เป็ นผู้จุดประกายให้นกการเมืองแสวงหาผลประโยชน์เข้าตวเองกนมากขึน ทง้ ในลกษณะ
การขยายการเมืองเรื่องผลประโยชน์ไปส่การช่วยเหลือพวกพ้อง และในด้านการชีช้ ่องทางการคอร์รัปชนั ให้กับนกการเมืองคนอื่นๆ ลกษณะที่สองคือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็ นการนํา "สมบตั ของชาติ" มาขายเพ่ือแสวงหาผลประโยชน์ให้กบตนเองและพวกพ้อง นอกจากนี ้ พวกเขาเห็นว่านโยบาย
ประชานิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ แท้ จริงแล้วเป็ นเครื่องมือในการนําเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของตนมาแสวงหา
ผลประโยชน์ใสตว
และสงผลในแง่ลบตอทศนคติและพฤติกรรมของคนชน
ลาง เช่น “นางแปด” กลาวว่า
“นโยบายเศรษฐกิจของทกษิณทําให้มีปัญหา ทําให้คนฟ่ ุมเฟื อยบ้าวตถุ เป็ นวตถ นิยม สขนิยม รากหญ้าถกใช้เป็ นเหยื่อ ถกหลอก ไม่เหมือนกบเศรษฐกิจพอเพียงที่สอนให้ รู้จกหาปลา” (“นางแปด” สมภาษณ์ใน ธรและชานนทร์ 2560)
เช่นเดียวกบในส่วนของคนใต้ย่านแฟลตคลองจน
ซงึ ส่วนใหญ่เป็ นชนชน
กลางล่าง ชลิตา (2560) ชี
ว่าสาเหตท
ี่พวกเขาเข้าร่วมชมนม
กปปส. เพราะต้องการขจด
“ระบอบทกษิณ” ที่พวกเขาเชื่อว่าโกงกินหรือ
ว่าขายชาติ พวกเขาเห็นว่าการโกงของ “ระบอบทกษิณ” เลวร้ายที่สดเท่าที่เคยมีมาในสงคมไทยและฝังราก
ลกในทกระดบ
ดงที่รายหนึ่งกล่าวว่า “ขณะนีม
นวิกฤติแล้ว โกงตง้ แต่เรื่องเล็กๆ เช่น ของช่วยนําท่วม จนถึง
ระดบหลายหมื่นล้าน” นอกจากนี ้แม้ในผ้ขู ้อมลท่ีสมพนธ์กบนกการเมือง พรรคการเมือง และหน่วยราชการ
มาก่อนจะเห็นว่า การทุจริตคอร์รัปชนเป็ นเรื่องปกติธรรมดา แต่ก็เห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชนของ “ระบอบ ทกษิณ” เลวร้ายและรุนแรงกว่าที่ผ่านมามาก ดงท่ีว่า
“จริงๆ คอร์รัปชันก็มีทุกรัฐบาล ทุกทีม อย่างใครเข้าไปเป็ น ส.ก. ส.ข. อะไรก็ แล้วแต่ เขาจะคิดร้อยละ 20 ร้อยละ 30 ของหน้างาน...คือมนเป็ นงบรัฐบาลมา ยงไงมนก็
ต้องได้ทุกพืนท่ีทง้ ประเทศไทย ผมเคยทํางานจดซือ
สมมต
ิว่าเขาสง
ให้ซือเต๊นท์หลงนึงที่
สงขลา เขาให้งบมา 26,000 อ้าว โดนตง้ แต่โน้นเลย นายอําเภอเท่านี ้ ปลด อบต. เท่านี
เต๊นท์ส่งมาหลงละ 12,000 ผมก็จดหาให้ตามนี ้ 60 กว่าหลง
เรื่องแบบนีม
นมาตามงบ
รัฐบาลปกติ [แต่ว่าสําหรับ “ระบอบทกษิณ”] เงินหายไปจริงๆ หายไปที ทีเป็ นพนๆ ล้านก็ มี หม่ืนๆ ล้านก็มี อย่างโครงการรับจํานําข้าวน่ีผมพดจริงๆ ว่าหายไปจริง เสียดายเงินเป็ น
แสนๆ ล้าน หายหมด ห้าแสนล้านยงงี” (“พ่ีโป้ ง” สมภาษณใน์ ชลิตา 2560)
ทง้ นี ้ คนใต้ย่านแฟลตคลองจ่นจํานวนหนึ่งเคยรู้สึกชื่นชอบ พ.ต.ท.ทกษิณ มาก่อน เพราะเห็นว่า “บริหารเก่ง ฉลาด ทําให้เศรษฐกิจดี” แต่เมื่อได้ยินข่าวเก่ียวกับทุจริตคอร์รัปชนของเขาก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบ เพราะเห็นว่า “เป็ นส่ิงไม่ถกต้อง” นอกจากนี ้ แม้ “สายอดมการณ์/เสรีชน” ท่ีไม่ได้มีความชื่นชอบหรือผกพนั กบพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงไม่ชอบนกการเมืองและพรรคการเมืองโดยรวม เพราะเห็นว่าไม่ซื่อตรงและ
จริงใจต่อประชาชน แต่พวกเขาก็เข้าร่วมการชุมนุมกบ กปปส. แม้ตระหนกดวี ่า มีความเชื่อมโยงกบพรรค
ประชาธิปัตย์อย่างแนบแน่น เพราะเห็นว่ามีความจําเป็ นต้องต่อต้าน “ระบอบทกษิณ” ท่ีเลวร้ ายกว่า และ
จําเป็ นต้องหาผ้น
ําในการตอต้านครังนีท้ ี่ “พอฟัดพอเหว่ียง” กบ
พ.ต.ท.ทกษิณ ซง่ พวกเขาเห็นว่านายสเทพ
มีคณสมบติดงกลาว ดงท่ีรายหน่ึงกลาวว่า
“พวกผมไม่ได้ชอบเลยนะพวกนักการเมือง ไม่ว่าฝ่ ายไหน ฝ่ ายไหน แต่ที่ไปก็ เพราะจําเป็ น ผมบอกไว้ก่อนเลยว่าแม้แต่แกนนําเอง สุเทพ เทือกสุบรรณ ผมไม่ได้ชอบ
เป็ นการส่วนตวเลยนะ...เขาเองพดถึงง่ายๆ ก็คือเป็ นคนมีประวต
ิเหมือนกน
...แต่ ณ ตอน
นนคือประเทศไทยไม่มีผ้น
ํา...ไม่มีผ้น
ําที่ว่าจะไปตอต้านกบรัฐบาลได้ ก็เหมือนเขาเป็ นผ้นํา
ยงงี...เพราะถ้าไม่มีแกนนําก็จะไม่มีการตอต้านขนึ ้ ” (“น้องเอก” สมภาษณ์ใน ชลิตา 2560)
ด้วยเหตน
ี ้ พวกเขาจึงไม่ต้องการให้การเลือกตง้ เกิดขึนโดยเร็ว หากว่ายงไม่สามารถขจด
“ระบอบ
ทักษิณ” ได้สินซาก รวมทังหากยังไม่สามารถป้ องกันไม่ให้ นักการเมืองเข้ามาทุจริตคอร์รัปชัน ผ่าน
มาตรการจําพวก “การปฏิรูป” แม้ว่าการเลือกตง้ จะเป็ นช่องทางหรือโอกาสให้พรรคการเมือง ที่พวกเขาสวน ใหญ่ช่ืนชอบเข้ามามีอํานาจหรือเป็ นรัฐบาลบริหารประเทศก็ตาม (ชลิตา 2560)
ทง้ นี ้กนกรัตน์ (2560) ตง้ ข้อสงเกตว่า พ.ต.ท.ทกษิณ หรือ “ระบอบทกษิณ” เป็ นเงื่อนไขหรือปัจจยั สําคญที่ช่วยให้กลุ่มที่อยู่กระจัดกระจายหรือเคยขัดแย้งกันหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ในฐานะที่เป็ นภัย
คกคามร่วมของทกกลม่ ดงท่ีว่า
“แกนนําสามารถหว่านล้อมให้กล่มชาตินิยมที่ขดกนเช่ือว่า ทกษิณคือภยคกคาม ต่อผลประโยชน์ชาติทุกด้าน...แกนนําฉายภาพทักษิณในฐานะผู้ทรยศต่อชาติ และ ขบวนการตอต้านทกษิณในฐานะผ้รู ักชาติ” (กนกรัตน์ 2560)
2.3.2 ปกป้ องสถาบันพระมหากษัตริย์
นอกจากขจด “ระบอบทกษณิ ” ที่ “โกงกนแลิ ะขายชาต”ิ แลว้ วตถุประสงค์สําคญอีกประการหรือ
อาจจะสําคญที่สดสําหรับการเข้าร่วม “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ของกรณีศกษา คือการปกป้ อง
สถาบนพระมหากษัตริย์จาก “ขบวนการล้มเจ้า” ซง่ หมายถึง พ.ต.ท.ทกษิณ และผ้สนบสนนเขาเป็ นหลก ดง
กรณีชนชนกลางระดบบน ธรและชานนทร์ (2560) ชีว้ ่า ปัจจยชขี าดททํ่ี าให้กรณีศึกษาส่วนใหญเ่ ข้ารวม่
กระแสตอต้าน พ.ต.ท.ทกษิณ คือการท่ีพวกเขาเห็นว่า พ.ต.ท.ทกษิณ ดหม่ินสถาบนพระมหากษัตริย์ ซง่ มา
จากข่าวลือเป็ นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันกรณีศึกษาเหล่านีมักเล่าประสบการณ์เกยวกบการเรีั่ี ยนรู้ ท่ีจะ
จงรักภกดีกับสถาบนพระมหากษัตริย์ของพวกตน เช่น “นางสอง” เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่าตนเองได
ใกล้ชิดกบในหลวงสมยเรียนที่จฬาลงกรณ์มหาวิทยาลย ได้รับพระราชทานปริญญาบตรจากในหลวง และ
ยงได้เห็นในหลวงเสด็จทรงดนตรี เธอเลาถึงความประทบใจนีว้ ่า "(ตนเอง) รักในหลวง เด็กรุ่นหลงไม่รู้เพราะ
ไม่ดข
่าวพระราชสํานกเลย ไม่รู้ว่าทําอะไร สมยที่ในหลวงบกๆ รถปริ่มนํา
เด็กสมยนีไม่ดข
่าวพระราชสํานก
ไม่เรียนหน้าที่พลเมือง ไม่เรียนประวต
ิศาสตร์ เหมือนที่พระราชินีพดทําไมไม่เรียนประวต
ิศาสตร์" (“นาง
สอง” สมภาษณ์ใน ธรและชานนทร์ 2560) ส่วน “นางแปด” กล่าวว่าตน "ผกพนกบสถาบนมาตง้ แต่เกิด… พ่อปลกฝังว่าถ้าไม่มีกษัตริย์เมืองไทยก็ไม่มีทุกวนนี ้ เราผ่านไปที่จุฬาฯ เราต้องไหว้พระบรมรูป สมยเด็กๆ
พ่อดข
่าวพระราชสํานก
เราผ่านวงพ่อก็สอนให้ไหว้วงั " (“นางแปด” สมภาษณ์ใน ธรและชานนทร์ 2560)
นอกจากนี ้ สิ่งท่ีพวกเขาจดจําในเหตการณ์พฤษภาคม 2535 ไม่ใช่รัฐประหารและการใช้ความรุนแรงของรัฐ หากแต่เป็ นบทบาทของในหลวงในการคล่ีคลายความขดแย้ง ดงที่ “นายสาม” เล่าถึงเหตการณ์นีว้ ่า "ไม่ได้
ติดตามเหตการณ์ แต่ที่ติดตามคือตอนท่ีสองคน (พลตรีจําลองและพลเอกสจินดา) เขาไปกราบในหลวง้
เหมือนเด็กๆ ทะเลาะกน ผ้ใหญเขามาห้้่ ามปราม" (“นายสาม” สมภาษณในธรและชานนทร์์ 2560)
ด้วยความรู้สกผกพนและจงรักภกดีตอพระมหากษัตริย์ของกรณีศกษาชนชนกลางระดบบนท่ีกอต่ ว
ขึนผ่านสื่อและระบบการศกษาดงกล่าว ธรและชานนทร์ (2560) จึงสรุปว่า “ลกษณะความเป็ นมวลชนของ
ชนชน
กลางระดบบนในเมืองไทยไม่ได้อย่ท
ี่เพียงความไม่สนใจในการเมือง ลกษณะความเป็ นปัจเจกที่ไม่ได้
โยงใยกนเป็ นชนชนั
แตผ
้เขียนมองว่ากระบวนการที่สําคญที่สดที่เชื่อมโยงกบความเป็ นมวลชนของพวกเขา
ก็คือ การถกปลกฝังอดมการณ์ทางการเมือง ถกปลกฝังแนวคิดเรื่องบรรทดฐานทางการเมืองท่ีมีหวใจอย่ท ความจงรักภกดีตอสถาบนกษัตริย์”
เช่นเดียวกบกรณีคนใต้ย่านแฟลตคลองจน
ซง่ ส่วนใหญ่เป็ นชนชน
กลางระดบล่าง ชลิตา (2560) ชี
ว่าแม้ประเด็นการคอร์รัปชนจะสําคญ
แต่เมื่อเทียบกบประเด็น “หมิ่นสถาบน
” หรือ “ล้มเจ้า” แล้ว การคอร์
รัปชนกลายเป็ นเรื่องรองในทนที ดงที่รายหน่ึงกลาวว่า “แตถ้าให้เทียบนะ เรองคอรรั์่ื ปชนกบเรอง่ื (หมนิ่ ) ใน
หลวง เร่ืองหมิ่นนี่สําคญกว่า สําคญที่สด” (“น้ารงุ่ ” สมภาษณใน์ ชลิตา 2560) ขณะเดยวกี นบคคลท่ี “หมน่ิ
สถาบน” หรอื “ล้มเจ้า” ก็ไม่ได้มีเพียง พ.ต.ท.ทกษณิ หากแตหมายรวมถึ่ ง “เสอื แดง” ซึ่งให้การสนบสนุน
พ.ต.ท.ทกษิณ อย่างสําคญ ดงท่ี “สายเสรชนี ” รายหน่ึงกลาวว่ ่า “การหมนเจาเ้่ิ ป็ นสงท่ีิ่ ยอมรบไม่ั ได้ คนเสอื
แดงอาจไม่ได้ดาเจ้าโดยตรง แตท
ําให้ดหมิ่นเหม่...สิ่งที่ค้มค่าท่ีสดกบการเสี่ยงตายไปร่วมชมนม
จนในท่ีสด
เกิดการรัฐประหารก็คือการได้จดการกบพวกหมิ่นเจ้า” (“น้องเอก” สมภาษณ์ใน ชลิตา 2560) นอกจากนี เขากลาวเพ่ิมเติมว่า
“ตง้ แต่เกิดมาเริ่มจําความได้ก็เห็นพระองค์ท่านทํางาน เอาง่ายๆ นกการเมืองคน ไหนบ้างไปอย่างพระองค์ท่านน่ะ...ไม่มี แล้วคณไปจงรักภกดีต่อนกการเมืองทง้ หลายนนั่
คณบ้าไปแล้วเหรอ คณคิดไม่ได้เหรอ...พวกนนไม่มีสิทธเที์ิ ยบพระองคท์ ่าน พระองคท์ ่าน
อย่สงไปแล้ว คณเป็ นใคร” (“น้องเอก” สมภาษณใน์ ชลิตา 2560)
ทง้ นี ้ คนใต้ย่านแฟลตคลองจ่นมีความรู้สึกผูกพนกบสถาบนพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึง และมี
ความจงรักภกดีต่อสถาบนพระมหากษัตริย์อย่างมาก ดงที่รายหนึ่งซึ่งสําเร็จการศึกษาระดบปริญญาโท
และทํางานบริษัทไฟแนนซ์รถยนต์กล่าวว่า “เรารักในหลวงมาตง้ แต่ยงเด็กๆ ป่ ย่าตายายคอยบอกตลอดว่า
ในหลวงเป็ นคนดี ตอมาพอเริ่มอ่านหนงสือค้นคว้าเองก็ยิ่งรู้ว่าในหลวงนนดจรงๆิี ทําสงตางๆ่ิ่ จรงิ แล้วกชื่็ น
ชมพระเทพฯ มาก ภาคภมิใจมากท่ีมีคนบานเดยวกี้ นทางานในสวนยางํ และตอมาไดทํ้่ างานในวงพระเทพ
ฯ” (พนกงานบริษัทไฟแนนซ์รถยนต์ สมภาษณ์ใน ชลิตา 2560) ขณะที่พนกงานไปรษณีย์อายุ 54 ปี คนหนึ่ง เล่าว่า สมยที่ตนยงเด็ก พ่อแม่มกเล่าถึงคณความดีของในหลวง และพ่อได้พาตนขี่คอเดินทางไกลขึนรถไฟ
ใช้เวลาเดินทางเป็ นวน เพื่อไปเขาเผ้้ าในหลวงที่ศาลากลางจงหวดชมพร ตนจึงซึมซบและเคารพเทิดทนใน
หลวงมาตง้ แต่เด็ก จนกระทงั ว่า “ทกวนนีพ่ีไม่เคยเอาธนบตรใส่กระเป๋ ากางเกง และหากเจอเหรียญ แม้แต
ห้าสิบสตางค์ตกอย่บนถนน พี่ก็จะรีบเก็บ เพราะบนนนมภาพในหลวงอยู่ี ” (พนกงานไปรษณีย์ สมภาษณ์
ใน ชลิตา 2560) นอกจากนี ้ ความจงรักภกดีต่อสถาบนพระมหากษัตริย์ ส่งผลการตดสินใจเลือกพรรค
การเมืองของคนใต้ย่านแฟลตคลองจนบางรายดวย้ เช่นรายหน่ึงที่กําลงเรยนเนตบิี ณฑิตกล่าวว่า “เราเลอกื
พรรคไหนก็ได้ ท่ีไม่ดูถูกสถาบัน [กษัตริย์] เพราะมีบุญคุณกับเรา [ท่าน] มีเจตนารมณ์ที่จะรักษา ผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยแท้” (นกศกษาเนติบณฑิต สมภาษณ์ใน ชลิตา 2560)
กนกรัตน์ (2560) ตง้ ข้อสงเกตในทํานองเดียวกนกรณีการปกป้ องสถาบนพระมหากษัตริย์จาก
“ขบวนการล้มเจ้า” กลาวคือ
“ด้วยการเน้นยําว่าทกษิณเป็ นภยคุกคามต่อสถาบนพระมหากษัตริย์ พร้ อมกับ เทียบเคียงขบวนการต่อต้านทกษิณเข้ากบทหารพระราชา รวมถึงการเรียกร้ องให้สถาบนั พระมหากษัตริย์ทรงแทรกแซงการเมืองรัฐสภา ในฐานะวิธีการต่อสู้และสลายรัฐบาล ทกษิณ ขบวนการต่อต้านทักษิณก็ประสบความสําเร็จ ในการดึงดูดและระดมชนชันนํา และปัจเจกบุคคลอนุรักษ์นิยมที่จงรักภักดีท่ีกระจายอยู่ท่ัวประเทศ ให้เข้าเป็ นมวลชน สนบสนนของขบวนการ” (กนกรัตน์ 2560)
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า “ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย” เป็ นขบวนการท่ีมีพฒนาการมา โดยลําดบในช่วงทศวรรษเศษที่ผ่านมา เริ่มจากพนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้วคลี่คลายหรือ ขยายตวมาเป็ น กปปส. โดยมีวตถุประสงค์ที่คล้ายคลึงกันคือขจดั “ระบอบทักษิณ” ให้สินซากจากการ เมืองไทย ไม่ว่าจะเป็ นที่อย่ในรูปของรัฐบาลทกษิณโดยตรง หรือท่ีอย่ในรูปรัฐบาลตวแทน เช่นรัฐบาลสมคร
รัฐบาลสมชาย และรัฐบาลยิ่งลกษณ์ ซง่ พวกเขาเห็นว่า “โกงกินและขายชาติ” ไม่แตกต่างกน ขณะเดยวกี น
ขบวนการมีวตถประสงค์ปกป้ องสถาบนพระมหากษัตริย์ทง้ จาก พ.ต.ท.ทกษิณ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ “เสือแดง” โดยในการดงกล่าว ขบวนการปฏิเสธการเมืองแบบเลือกตงั ้ เพราะเห็นว่าเป็ นช่องทางให้นักการเมืองที่ฉ้อฉลเข้ามากอบโกยผลประโยชน์เพ่ือตนเองและพวกพ้อง ขณะเดียวกันก็เสนอระบบการเมืองการปกครองที่ไม่ได้อยู่ในครรลองของระบอบประชาธิปไตยใน ความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป โดยเฉพาะในส่วนของ กปปส. ท่ีอาศัยอัตลักษณ์ “คนดี” ในการ เคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นแหลมคม บทต่อไปจะแสดงให้เห็นว่าผ้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศ
ไทย” กล่มหลกสองกล่ม
คือ ชนชน
กลางระดบบนฯ และคนใต้ย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ มีสถานะทางเศรษฐกิจ
และสงคมตลอดจนทศนะและประสบการณ์ทางการเมืองอย่างไร เพื่อเป็ นพืนฐานในการทําความเข้าใจ
“การเมืองคนดี” ที่พวกเขาเสนอตอไป
บทท่ี 3 ผู้สนับสนุน “ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย”
การสํารวจของมลนิธิเอเชีย (The Asia Foundation 2014) พบว่ากล่มตวอย่างของผ้เข้าร่วมชมนม
กปปส. ร้ อยละ 54 มีภม
ิลําเนาในกรุงเทพฯ ส่วนที่เหลือร้ อยละ 46 มีภูมิลําเนาอยู่ต่างจงหวด
ส่วนใหญ่
(ร้ อยละ 38) มาจากภาคใต้ ตามด้วยภาคกลาง (ร้ อยละ 37) ขณะท่ีภาคอื่นๆ มีจํานวนน้อย (ไม่ถึงร้ อยละ
10 ในภาคเหนือ อีสาน ตะวนออก และตะวนตก) ฉะนนั เมอผนวกกบ่ื คนภาคใต้ท่ีมาตง้ รกรากและทํามา
หากินในกรุงเทพฯ จํานวนหนึ่ง จึงกลาวได้ว่าคนภาคใต้เป็ นองค์ประกอบสําคญของผ้ช
มนม
กปปส.อีกกลม่
นอกจากคนที่มีภูมิลําเนาในกรุงเทพฯ งานวิจยชินนีจ้ ึงให้ความสําคญกบผู้เข้าร่วมหลกสองกล่มนี ้ คือ คน กรุงเทพฯ โดยเฉพาะในกลุ่มชนชันกลางบน และคนใต้โดยเฉพาะในกลุ่มที่อาศยในกรุงเทพฯ โดยบทนี แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีสถานะทางเศรษฐกิจและสงคมรวมทังทัศนะและประสบการณ์ทางการเมือง อย่างไร ก่อนจะพิจารณาทศนะทางการเมืองดงกล่าวในบริบทประชาธิปไตยและโลกทศน์และคติความเช่ือ ในลําดบตอไป
3.1 คนกรุงเทพฯ ชันกลางระดบบน
กนกรัตน์ (2560) เสนอว่างานเขียนส่วนมากอธิบายขบวนการเสือเหลืองต่อต้านทกษิณในฐานะ
การรวมตวอย่างหลวมๆ ของเครือข่ายกล่มการเมืองที่หลากหลายของชนชน
กลาง ชนชน
นําอนุรักษ์นิยม
และชนชนั นําเสรีนิยม ภายใต้เป้ าหมายและข้อเรียกร้ องทางการเมืองท่ีแตกต่างหลากหลาย (Connors 2008b: 483; Kasian 2006; Montesano 2009: 2-3) เช่น Connors (2008b: 490-491; 2012: 100-103) เสนอว่าขบวนการเสือเหลืองเป็ นการร่วมมือกนของพลงเสรีนิยม-อนรุ ักษ์นิยม ซง่ มีอดมการณ์ที่เชื่อมโยงกบั
เครือข่ายนิยมกษัตริย์ (ทหาร ข้าราชการ กล่มชนชนนําสายเสรนิี ยมท่ีต่อต้านการเมืองของกลุ่มทุนใหม)่
การสนบสนนของมวลชนชนชนกลาง และสมาชิกของคนจนในชนบทและสหภาพแรงงานท่ีต้องการต่อต้าน
นโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในขณะที่ Stent (2012: 32) อธิบายขบวนการดงกล่าวในฐานะกล่มชนชนั
นํา คนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ และชนชน
กลางในต่างจงหวด
โดยเฉพาะในภาคใต้ รวมทง้ ชาวชนบทและ
แรงงานระดบล่างในเมืองจํานวนหนึ่ง นอกจากนี ้ Pasuk and Baker (2012) อธิบายว่าเป็ นเครือข่ายคน
เมืองซงึ มีพลงส่ืออย่ในเมือง เช่น กลม
ประชาคมชนชน
นําในเมือง กลม
ทหาร กลม
ราชการ นกเคล่ือนไหวชน
ชนกลาง นกพฒนาเอกชนสายชุมชนนิยม นกวิชาการสายอนุรักษ์นิยม กล่มนิยมกษัตริย์ ส่วน Pye and
Schaffar (2008) มองว่าเป็ นขบวนการที่มีองค์ประกอบที่หลากหลาย ไม่ใช่มีเพียงแค่มวลชนนิยมกษัตริย์
ภายใต้การนําของสนธิ ลิมทองกุล และชนชน
นําท่ีสนบสนุนตลาดเสรีเท่านนั
แต่ยงมีกล่มเครือข่ายองค์กร
พฒนาเอกชนและขบวนการแรงงานที่ตอต้านทกษิณและสงเสริมประชาธิปไตยด้วย ในขณะที่การ “ทบทวน
ภูมิทศน์การเมืองไทย” โดยอภิชาต ยุกติ และนิติ (2556) เห็นว่า เสือเหลืองคือกล่ม
“ชนชน
กลางเก่า”
ประกอบด้วยกลม
ชนตง้ แตช
นกลางระดบกลางขน้ ไป
แม้งานเหลานีจะชีให้เห็นว่านอกจากชนชนนําประเภทตางๆ แล้ว องคประกอบหลก์ ของมวลชนคน
เสือเหลืองคือ “คนชน
กลาง” ทว่ายงไม่ได้ศึกษากล่ม
“คนชน
กลาง” เหล่านีเป็ นการเฉพาะในเชิงประจกษ์
อย่างละเอียด งานเหล่านีเน้นการศึกษาที่กลุ่มแกนนําของขบวนการว่าประกอบด้วยใคร กลุ่มใดบ้าง มี ผลประโยชน์อะไรเป็ นแรงจูงใจในการเคลื่อนไหว มีแนวคิดทางการเมือง หรืออดมการณ์การเมืองประเภท
ใด ทําไมจึงต่อต้านแนวคิดประชาธิปไตย ทว่าไม่ได้ศึกษาองค์ประกอบของกล่มชนชนกลางเสอื เหลืองว่า
ประกอบด้วยกลมใดบ้าง มีลกษณะเชงเศรษฐกิิ จสงคมอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยงในเชงปรมาณิิ่ิ แม้กระทง
งานของอภิชาต ยุกติ และนิติ (2556) ซ่ึงเป็ นการศึกษาเชิงปริมาณชินแรกๆ ก็ไม่ได้เจาะลึกในประเด็นนี สรุปอย่างหยาบๆ เพียงว่ามวลชนเสือเหลืองคือผู้ท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่า อยู่ในภาค เศรษฐกิจที่เป็ นทางการมากกว่าเมื่อเทียบกบมวลชนเสือแดง งานวิจยชินนีจ้ ึงให้ความสําคญกบการศกษา
คนกลมนีในเชิงปรมาณอย่ิ างละเอยดี ทง้ ในลกษณะเชงประชากรศาสตรและท์ิ ศนะคตทางการเมืิ อง
3.1.1 ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
ก่อนจะอภิปรายถึงคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็ นชนชน
กลางระดบบน ซง่ เป็ นมวลชนกล่ม
หลกกล่มหนึ่งของ “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ควรทําความเข้าใจลกษณะและการก่อตวของชน
ชนกลางระดบบนในระดบประเทศก่อน ดงตอไปนี ้
จากการศกษาความขดแย้งทางการเมืองระหว่างเสือสีต่างๆ โดยอภิชาต ยกติ และนิติ (2556) ซง
ใช้ข้อมลจากการสํารวจโดยเก็บแบบสอบถามทง้ หมด 2,200 ชด ใน 5 จงหวดคือ 1) กรงเทพมหานครุ 2)
พระนครศรีอยุธยา 3) พิษณุโลก 4) อุดรธานี ซึ่งเป็ นตวแทนของจงหวดที่มีสดส่วน “เสือแดง” สง 5)
นครศรีธรรมราช ซ่ึงเป็ นตวแทนของจงหวดที่มีสดส่วน “เสือเหลือง” สูง ช่วงเวลาที่เก็บแบบสอบถามอยู่ ระหว่างวนที่ 17 เมษายน ถึง 15 มิถนายน พ.ศ. 2555 งานชินนีสรุปว่า ความขดแย้งทางการเมืองดงกล่าว
เป็ นความขัดแย้งที่มีลกษณะทางชนชัน กลาวคอื่ เป็ นความขดแย้งระหวางชนชั่ นกลางระดบบน (เสือ
เหลือง) ซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจสงคมสงกว่ากบชนชนกลางระดบล่าง (เสอื แดง) ซึ่งมฐานะทางเศรษฐกิี จ
สงคมตํ่ากว่า เช่น มีระดบการศึกษาต่ํากว่า มีอาชีพที่มีความมนคงน้อยกว่า (อย่ในภาคเศรษฐกิจท่ีไมเ่ ป็ น
ทางการ) รายได้มีความผนผวนสงกว่า เป็ นต้น แต่มวลชนเสือแดงก็มิใช่กล่มคนที่จนที่สดในประเทศ หรือ เป็ นผู้ที่มีฐานะยากจนในระดับที่มีรายได้หรือรายจ่ายตํ่ากว่าเส้นความยากจน ดังนันธรและชานนทร์
(2560) จึงเลือกใช้เกณฑ์แบบผสม (Hybrid approach) ในการจดแบ่งประชากรไทยออกตามชนชนทาง
เศรษฐกิจข้างต้น เกณฑ์ดงกล่าวตง้ อยู่บนฐานคิดว่า ระดบความยากจนควรจะเป็ นเกณฑ์สมบูรณ์ ส่วน
ระดบความรํ่ารวยนนควรจะเป็ นเกณฑส์ มพทธ์ โดยเลอกใื ช้ระดบการบรโภคท่ีิ 1.1 เท่าของเสนความ้
ยากจนท่ีคํานวณโดยสภาพฒนาเศรษฐกิจและสงคมแห่งชาติเป็ นเส้นแบ่งระหว่างคนจนกบคนไม่จน การ
กําหนดที่ 1.1 เท่าของเส้นความยากจนนี ้ เพ่ือให้เป็ นเกณฑ์ขน
ตํ่าของชนชน
กลางท่ีจะทําให้ระดบคณภาพ
ชีวิตไม่อย่ใกล้เส้นความยากจนเกินไป และใช้เส้นแบงเชิงเปรียบเทียบด้านบนท่ีแบ่งระหว่างคนรวยกบคน
ไม่รวย โดยถือว่าคนรวยคือคนร้อยละ 5 ของสงคมที่มีระดบการบริโภคสงท่ีสด จากเส้นแบ่งสองเสนนี้ จะทํา
ให้ได้คนตรงกลางท่ีเราเรียกคนกลุ่มนีโดยรวมว่า “ชนชนกลาง” ลําดบตอมา่ เป็ นการแบงระหว่่ างชนชนั
กลางบนและชนชนกลางลางโดยใชว้่ ิธีการ “k-means clustering” ซง่ เป็ นเคร่ืองมือทางสถิติท่ีใช้แบ่งแยก
กลม
ตวอย่างเป็ นจํานวน k กลม่
ซง่ สมาชิกภายในแตละกลม
จะมีคณลกษณะคล้ายคลงกนมากกว่าการจด
กลุ่มแบบอ่ืน ทําให้ได้กลุ่มชนชน
กลางบนและชนชน
กลางล่าง ที่มีระดบการบริโภคที่ไม่แตกต่างกันมาก
ภายในกลม่
แตแตกตางกนระหว่างกลม่
ดงในตารางท่ี 1
ตารางที่ 1: ระดบการบริโภคตอเดือนที่แท้จริง (คาเงินปี พ.ศ. 2556) ของแตละชนชนั
2556
ระหวาง พ.ศ. 2524-
ค่าสถิติ 2524 2529 2531 2535 2539 2543 2549 2556
สงสดุ 3,317 | 3,318 | 3,318 | 3,341 | 3,397 | 3,360 | 3,332 | 3,405 | |
เฉลี่ย 1,368 กลมุ คนจน มั ธ ย ฐาน 1,252 | 1,332 1,202 | 1,364 1,259 | 1,465 1,392 | 1,563 1,518 | 1,550 1,490 | 1,755 1,721 | 2,113 2,114 | |
ตํ่าสดุ 267 | 130 | 238 | 273 | 350 | 307 | 245 | 550 | |
สงสดุ 3,548 | 3,816 | 4,131 | 5,163 | 5,119 | 5,146 | 6,396 | 7,007 | |
ชนชน้ กลางลาง | เฉลี่ย 2,687 มั ธ ย ฐาน 2,676 | 2,886 2,953 | 2,988 3,000 | 3,351 3,283 | 3,248 3,128 | 3,339 3,247 | 3,897 3,742 | 4,371 4,198 |
ต่ําสดุ 1,794 | 1,798 | 1,802 | 1,873 | 1,865 | 1,955 | 2,052 | 2,374 | |
สงสดุ 5,256 | 5,729 | 6,658 | 9,477 | 10,003 | 9,689 | 13,276 | 14,870 | |
ชนชน้ กลางบน | เฉล่ีย 4,268 มั ธ ย ฐาน 4,209 | 4,559 4,428 | 5,101 4,947 | 6,767 6,559 | 6,850 6,607 | 6,798 6,534 | 8,748 8,290 | 9,649 9,165 |
ตํ่าสดุ 3,549 | 3,821 | 4,134 | 5,167 | 5,120 | 5,148 | 6,398 | 7,008 | |
147,78 | 150,65 | 127,87 | 185,23 | 388,96 | 130,42 | 151,96 | 234,64 |
สงสดุ 8 5 | 3 | 8 | 3 | 8 | 0 | 3 | ||
เฉล่ีย | 8,460 | 9,275 | 12,507 | 16,657 | 17,995 | 16,024 | 21,163 | 22,408 |
มั ธ ย |
กลุ่มคนรวยที่สุด ร้ อย ละ 5
ฐาน 6,758 7,462 9,186 13,220 14,285 12,772 17,551 18,985
ค่าสถิติ 2524 2529 2531 2535 2539 2543 2549 2556
ต่ําสด 5,258 5,732 6,673 9,480 10,006 9,691 13,278 14,873
ทีมา: คํานวณโดยใช้ข้อมูลโครงการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสงคมครัวเรือนไทย โดยสํานกงานสถิติ แห่งชาติ
หมายเหต:
เสนแบ่งระหว่างกลุ่มล่างสดและชนชน
กลางล่างอาจจะมีความเหลื่อมกนบ้างเนืองจากข้อมูล
เสนความยากจนทีใชนนเป็ นเสนความยากจนรายภาค ความแตกตางกน่ ของระดบเสนความยากจนในแต่
ละภูมิภาคซึ่งทําให้เกิดกรณีที่มีผูท้ ี่ถูกนบว่าเป็ นคนจนในกรุงเทพฯ ที่มีระดบการบริโภคสูงกว่าคนชนชน กลางล่างในภาคอืน่
จากการแบ่งกลุ่มในตารางท่ี 1 ธรและชานนทร์ (2560) ทําการศึกษาต่อไปถึงการเติบโตในแง่
จํานวนของชนชน
กลางบน ภาพที่ 1 ชีว้ ่าจํานวนชนชน
กลางบนเพิ่มขน้ อย่างตอเนื่องตง้ แต่ พ.ศ. 2524 เป็ น
ต้นมา ยกเว้นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ พ.ศ. 2540 และจนกระทง พ.ศ. 2556 ขนาดประชากรของชนชนั
กลางบนมีประมาณ 14.3 ล้านคนหรือราวร้อยละ 21 ของประชากร ในขณะที่จํานวนคนชนชน
ท่ีราว 36 ล้านคนหรือราวร้อยละ 54 ของประชากร
กลางล่างอย่
ภาพที่ 1 : จํานวนประชากรจําแนกตามชนชนทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2524-2556
ทีมา: คํานวณโดยใช้ข้อมูลโครงการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสงคมครัวเรือนไทย โดยสํานกงาน สถิติแห่งชาติ
หมายเหตุ: ปรับค่าถ่วงนํ้าหนกประชากรให้สอดคล้องกบข้อมูลสดส่วนประชากรในและนอกภาค ชนบทจากฐานขอมูล World Development Indicators จดทําโดยธนาคารโลก
หลงจากนนธรและชานนทร์ (2560) ทําการศึกษาตอว่่ า ปัจจยใดมีความสําคญต่อระดบฐานะทาง
เศรษฐกิจของครัวเรือนชนชนกลางไทย ซงึ พบว่าปจจั ยดานถนท่ีิ่้ อยู่ ระดบการศกษา และอาชพี เป็ นตวแปร
ที่สําคญ ดงนันจงทํึ าการเปรยบเทีี ยบความแตกตางของ่ ปัจจัยดงกลาวท่ี่ มีต่อชนชนั กลางบนและชนชนั
กลางล่าง เพ่ือพิจารณาว่าปัจจัยทังสามมีผลต่อลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจของชนชันกลางไทย ในช่วง พ.ศ. 2524-2556 อย่างไร
ปัจจยแรกด้านพืนท่ี ผิดพลาด! ไม่พบแหล่งการอ้างอิง2 เปรียบเทียบสดส่วนคนชน้ ละพืนท่ีระหว่าง พ.ศ. 2524 และ 2556 พบว่า พืนที่กรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคใต้ เป็ นภม
กลางบนในแต่
ิภาคที่มีชนชนั ้
กลางบนหนาแน่นท่ีสดเรียงตามลําดบ
ใน พ.ศ. 2556 ร้อยละ 47 ของคนกรุงเทพฯ เป็ นคนชน
กลางบน รอง
มาเป็ นเขตเทศบาลในภาคกลาง (ร้อยละ 33) และในภาคใต้ (ร้ อยละ 31) ในขณะที่ภาคเหนือและภาค
ตะวนออกเฉียงเหนือเป็ นภาคท่ีมีความหนาแน่ของชนชนกลางบนน้อยที่สุด โดยเฉพาะในพนื ท่ีนอกเขต
เทศบาล นอกจากนีภาพท่ี 2 ยงชีถ้ ึงนยยะของกระบวนการพฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมาด้วย คือ การเติบโต
ของขนาดชนชนกลางบนไทยเป็ นไปอยางไมเท่่่ าเทยมในทกภมูุี ิภาค กรงเทพฯุ มีสดสวนชนช่ ันกลางบน
เพิ่มขึนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเพิ่มขึนสุทธิร้ อยละ 22 รองลงมาเป็ นพืนท่ีต่างๆ ในภาคกลางที่
สดส่วนชนชนกลางบนเพ่ิมขนึ สทธริ ้อยละ 16.7 ในพืนทเขตเทศบาลและ่ี ร้อยละ 14.1 ในพืนที่นอกเขต
เทศบาล ลําดบถดมาเป็ นภาคใต้ ท่ีสดส่วนดงกล่าวเพ่ิมขึนสทธิร้อยละ 10.4 ในพืนท่ีเขตเทศบาล และร้อย
ละ 7.5 ในพืนที่นอกเขตเทศบาล จึงสรุปได้ว่ากรุงเทพฯ เป็ นมหานครที่ส่งเสริมการเติบโตของชนชนกลาง
บนมากที่สด รองลงมาเป็ นเขตเมืองในพืนที่จงหวดภาคกลางและภาคใต้ตามลาดบํ
ภาพที่ 2: สดสวนชนชน้ กลางบนในแตละพืนที่ พ.ศ. 2524 และ 2556 (เรียงตามการเปลี่ยนแปลงสดสวน สทธิจากมากไปน้อย)
ที่มา: คํานวณโดยใช้ข้อมูลโครงการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสงคมครัวเรือนไทย โดยสํานกงาน สถิติแห่งชาติ
หมายเหต:
สดส่วนชนชน
กลางบนในพืนที่เท่ากบจํานวนชนชน
กลางบนในพืนทีน
นหารดวยจํานวน
ประชากรทงั หมดในพืนทีนน การเปลี่ยนแปลงสดส่วนสทธคืิ อการนําสดสวนดง่ กลาวใน่ พ.ศ. 2556
ลบดวยสดส่วน พ.ศ. 2524
ส่วนด้านการศึกษา นอกจากระดบการศึกษาเฉลี่ยของคนชนชน
กลางบนนน
จะสูงกว่ากลุ่มคนจน
และชนชน
กลางล่างแล้ว การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึนในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมาคือ ชนชน
กลางบนเปลี่ยนจากชน
ชันที่เต็มไปด้วยคนไม่มีการศึกษา การศึกษาระดับประถม และมัธยมตามลําดับ เป็ นชนชันของผู้มี
การศึกษาระดบสูงกว่ามธยมดงภาพที่ 33 (ก) เมื่อเทียบกับคนชนชนกลางลาง่ การเปลยนแปลงส่ี ดส่วน
การศึกษาที่เกิดขึนแตกต่างกบชนชนกลางบนคอื เป็ นการเปลยนแปลงจากกลม่ี่ คนไม่มีการศึกษาไปเป็ น
กลุ่มคนที่มีคนมีการศึกษาระดบประถมเพิ่มขึน แสดงให้เหนว่็ าชนชนั กลางบนไทยประสบความสาเรจ็ํ
มากกว่าในการสงมอบการศกษาขน้ สงให้แก่คนรุ่นหลงของตน
ภาพที่ 3: สดสวนระดบการศกษาของชนชน้ กลางบนสองรุ่น
ที่มา: ผู้เขียนคํานวณโดยใช้ข้อมูลโครงการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสงคมครัวเรือนไทย โดย สํานกงานสถิติแห่งชาติ
ในด้านการเปลี่ยนผ่านลกษณะงานของชนชน
กลางบนจาก พ.ศ. 2524 นนั
คนส่วนใหญ่มีอาชีพใน
ภาคเกษตร (ร้อยละ 31.6 ของชนชนกลางบน) และแรงงาน (ร้อยละ 21.9) ไปส่การเป็ น“ลกจางอนๆ”่ื้ (งาน
เสมียน พนกงานบริการ หรือพนกงานขาย) ในช่วงก่อนวิกฤต 40 หลงจากนนั โครงสร้างอาชพการงานของี
ชนชนกลางบนได้เปลยนไป่ี อีกครงั หนง่ึ จาก “ลูกจ้างอนๆื่ ” เป็ น“คนจ้างตนเอง” (เจ้าของธุรกิจแบบไม่มี
ลกจ้าง) “นายจ้าง” และ“คนทํางานวิชาชีพขน
สงู ” (ข้าราชการระดบกลางและสง
ผ้บริหาร ผ้จ
ดการ ผ้ม
ีใบ
ประกอบวิชาชีพ ผ้เชี่ยวชาญ หรือช่างเทคนิค) ซง
เป็ นกล่มอาชีพที่มีสดส่วนในชนชน
กลางบนเพ่ิมขึนอย่าง
ต่อเนื่อง จนในพ.ศ. 2556 กล่มอาชีพเหล่านีม
ีสดส่วนราวร้ อยละ 48.7 ของคนทํางานชนชน
กลางบนดง
ภาพที่ 44 เมื่อเปรียบเทียบกับชนชนกลางลางแ่ ล้ว ลกษณะงานมความแตกต่ี างกนอยางชดเั่ั จน คนชัน
กลางล่างประกอบอาชีพในภาคเกษตรร้อยละ 56 รองลงมาเป็ นคนจ้างงานตนเองเพียงร้อยละ 17.4 และ
แรงงานร้ อยละ 13.7 แสดงให้เห็นว่า คนชนชนกลางลางยง่ พ่งพิงภาคเกษตรอยก่ ว่าครงึ่ ในขณะท่ีร้ อยละ
78.2 ของชนชนกลางบนไม่ได้อย่ในภาคเกษตร
ภาพที่ 4: สดสวนลกษณะงานของชนชน้ กลางบน (คนรุ่นเกิดก่อน พ.ศ. 2510) พ.ศ. 2524-2556
ที่มา: ผู้เขียนคํานวณโดยใช้ข้อมูลโครงการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสงคมครัวเรือนไทย โดย สํานกงานสถิติแห่งชาติ
จากข้อมลข้างต้น อาจสรุปถึง “สตรสําเร็จ” ของการกลายเป็ น (หรือคณลกษณะของ) ชนชนกลาง
ระดบบนของสงคมไทยในช่วง พ.ศ. 2524 – 2556 ได้ว่า “เป็ นคนกรุงเทพฯ (หรือเป็ นคนเมือง) มี การศึกษาสูง และมีการงานท่ีอยู่นอกภาคเกษตรกรรม เป็ นเจ้าของกิจการ (ทง้ มีและไม่มีลูกจ้าง)
หรืออยู่ในสาขาวิชาชีพขันสูง” ดงนนั ตามความหมายนี ้
งานวิจยชินนีจ้ ึงขอใช้นิยามความหมายของชนชน
กลางระดบบน
ความแตกต่างของสถานะทางเศรษฐกิจสงคมและแบบแผนการใชช
ีวิตประจําวน
(lifestyle) ระหว่าง
กล่มตวอย่างชนชน
กลางระดบล่าง (เสือแดง) กบชนชน
กลางระดบบน (เสือเหลือง) ในเขตกรุงเทพฯ
จากการสํารวจของ วรรณวิภางค์และอภิชาต (2560) โดยเก็บแบบสอบถามทง้ หมด 1,800 ชด เม่ือ
เดือนกันยายน 2558 ในกรุงเทพมหานคร พบว่าในหมู่ประชากรกรุงเทพฯ ซึ่งเป็ นมวลชนผู้สนับสนุน
ขบวนการทางการเมืองต่างสี (เหลืองและแดง) นนั มีความแตกตางในฐานะทางเศรษฐกจสิ่ งคมและวิถี
ชีวิตประจําวน (lifestyle) อย่างมนี ยยะสาคญํ ทางสถิติ และมีลกษณะฐานะทางเศรษฐกจสิ งคมสอดคล้อง
กับลักษณะของชนชันกลางระดับบนท่ีเสนอโดยธรและชานนทร์ (2560) หลายประการ เช่น มีระดับ
การศกษาที่สงกว่า มีอาชีพการงานที่มนคงกว่า ดงรายละเอยดตอี ไปนี
วรรณวิภางค์และอภิชาต (2560) แบ่งกลุ่มตัวอย่างตามความฝักใฝ่ ทางการเมืองกลุ่มต่างๆ ดงตอไปนีค้ ือ
1. แบบ PDRC_Only คือผ้เข้าร่วมชมนม
หรือเอาใจช่วยกล่ม
กปปส. อย่างเดียว ไม่เคยเข้าร่วมชมนมหรือ
เอาใจช่วยการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยกล่มพนธมิตรฯ หรือกล่มเสือแดง โดยมีกล่มตวอย่างที่เข้าข่าย ร้อยละ 7.83
2. แบบ PDRC หรือ PAD คือผ้เข้าร่วมชมนม
หรือเอาใจช่วยกลม่
กปปส. และอาจจะเคยเข้าร่วมชมนมหรือ
เอาใจช่วยการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยกลม
พนธมิตรฯ โดยมีกลม
ตวอย่างท่ีเข้าข่ายร้อยละ 17.61
3. แบบ YELLOW (PDRC และ/หรือ PAD) คือผ้เข้าร่วมชมนุม หรือเอาใจช่วยกล่ม กปปส. หรือ กลม่
พนธมิตรฯ ก็ได้ แต่ไม่เคยเข้าร่วมชมนุมหรือเอาใจช่วยการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกล่มเสือแดง โดยมี
กลมตวอย่างท่ีเขาขาย่้ ร้อยละ 20.78
4. แบบ RED คือผ้เข้าร่วมชุมนุม หรือเอาใจช่วยกล่มเสือแดง แต่ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมหรือเอาใจช่วยการ
เคลื่อนไหวทางการเมืองโดยกลม
พนธมิตรฯ หรือ กปปส. โดยมีกลม
ตวอย่างที่เข้าข่ายร้อยละ 3.83
ข้อค้นพบประการแรกคือ กลมตวอย่างฝ่ ายแดง (ตารางที่ 2 ดานซาย)้้ มีฐานะทางเศรษฐกิจสงคม
ต่ํากวา และมแบบแผนการใช้ี ชีวิตประจําวนท่ีแตกตางจากอกขวี ้ การเมืองหนึ่ง (ฝ่ าย “เหลองื ” ตารางท่ี 2
ด้านขวา) ดงรายละเอียดบางประการตอไปนี ้
ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบความแตกตางด้านฐานะทางเศรษฐกิจสงคมและแบบแผนการใช้ชีวิตประจําวน
ระหวางกลม
ตวอย่างแดงกบกลม
เหลือง
red | non-red (PDR | C_only, (PDR | C หรอื PAD), | PDRC และ/หรอื PA | D)) | Mean test | |||||
Variable | Obs | Mean | Std. Dev. | Min | Max | Obs | Mean | Std. Dev. | Min | Max | p-value |
เพศหญงิ | 69 | 1.49 | 0.50 | 1 | 2 | 374 | 1.49 | 0.50 | 1 | 2 | 0.9581 |
อายุ | 69 | 46.86 | 14.39 | 18 | 81 | 374 | 38.39 | 13.06 | 18 | 83 | 0.0000 0.0000 |
จํานวนปีการศกษา | 69 | 11.88 | 5.29 | 0 | 18 | 374 | 14.97 | 2.97 | 0 | 18 | |
management responsibility | 69 | 0.19 | 0.39 | 0 | 1 | 374 | 0.29 | 0.46 | 0 | 1 | 0.0786 |
จํานวนสมาชกในครอบครัว | 69 | 3.29 | 1.74 | 1 | 8 | 374 | 3.17 | 1.63 | 1 | 10 | 0.5912 |
รายไดต้ ่อหัวครัวเรอน | 69 | 22592.48 | 23585.56 | 2812.5 | 152500 | 374 | 26885.95 | 32038.08 | 1250 | 250000 | 0.2893 |
ไปจับจ่ายที่ paragon | 69 | 1.57 | 0.72 | 1 | 4 | 374 | 1.92 | 0.57 | 1 | 4 | 0.0000 0.0013 |
ไปจับจ่ายที่ central | 69 | 2.10 | 0.83 | 1 | 4 | 374 | 2.39 | 0.66 | 1 | 4 | |
ไปจับจ่ายที่ tesco | 69 | 2.67 | 0.80 | 1 | 4 | 374 | 2.68 | 0.75 | 1 | 4 | 0.8786 |
ไปท่องเทย่ วประเทศใน asia | 69 | 1.41 | 0.75 | 1 | 4 | 374 | 1.74 | 0.88 | 1 | 4 | 0.0030 |
ไปท่องเทย่ วประเทศใน europe | 69 | 1.20 | 0.58 | 1 | 4 | 374 | 1.33 | 0.65 | 1 | 4 | 0.1251 |
มบี ัตร credit | 69 | 0.29 | 0.46 | 0 | 1 | 374 | 0.52 | 0.50 | 0 | 1 | 0.0003 |
มบี ตร aeon | 69 | 0.17 | 0.38 | 0 | 1 | 374 | 0.22 | 0.42 | 0 | 1 | 0.3731 |
อ่านหนังสอพมพ์ หรอเว็บข่าวภาษาองกฤษได ้ | 69 | 0.07 | 0.26 | 0 | 1 | 374 | 0.20 | 0.40 | 0 | 1 | 0.0139 0.0037 0.0037 0.0011 |
อ่านหนังสอภาษาองกฤษจบเป็ นเล่มได ้ | 69 | 0.23 | 0.43 | 0 | 1 | 374 | 0.42 | 0.49 | 0 | 1 | |
ไปทานอาหารระดับภัตตาคาร | 69 | 0.29 | 0.46 | 0 | 1 | 374 | 0.48 | 0.50 | 0 | 1 | |
ไปดม่ กาแฟในรานหรู | 69 | 1.14 | 0.35 | 1 | 2 | 374 | 1.34 | 0.48 | 1 | 2 | |
เป็ นคนกรุงเทพโดยกาเนิด | 69 | 0.35 | 0.48 | 0 | 1 | 374 | 0.45 | 0.50 | 0 | 1 | 0.1288 |
จํานวนปีทอ่ ยู่ในกรุงเทพ | 45 | 21.67 | 11.20 | 5 | 60 | 206 | 19.07 | 6.83 | 1 | 45 | 0.0438 |
ตงั้ ใจจะใชช้ วี ตบันปลายในบานเกดิ | 45 | 1.51 | 0.51 | 1 | 2 | 207 | 1.36 | 0.48 | 1 | 2 | 0.0639 |
อาชพี (dummy = 1) | |||||||||||
ขาราชการ | 69 | 0.03 | 0.17 | 0 | 1 | 374 | 0.10 | 0.30 | 0 | 1 | 0.0598 |
พนักงาน ลูกจางของรฐั /พนักงานรัฐวสาหกจิ | 69 | 0.06 | 0.24 | 0 | 1 | 374 | 0.16 | 0.36 | 0 | 1 | 0.0327 |
พนักงาน ลูกจางเอกชน (งานประจํา) | 69 | 0.13 | 0.34 | 0 | 1 | 374 | 0.23 | 0.42 | 0 | 1 | 0.0586 |
รบจาง(freelance) | 69 | 0.09 | 0.28 | 0 | 1 | 374 | 0.09 | 0.28 | 0 | 1 | 0.9726 |
ประกอบธุรกจส่วนตัว/คาขาย(ไม่มลี ูกจาง) | 69 | 0.30 | 0.46 | 0 | 1 | 374 | 0.10 | 0.30 | 0 | 1 | 0.0000 |
ประกอบธุรกจส่วนตวั /คาขาย(มลี ูกจางไม่เกนิ 5 | 69 | 0.06 | 0.24 | 0 | 1 | 374 | 0.06 | 0.25 | 0 | 1 | 0.8462 |
ประกอบธุรกจส่วนตวั /คาขาย(มลี ูกจางเกนิ 5 คน | 69 | 0.06 | 0.24 | 0 | 1 | 374 | 0.05 | 0.22 | 0 | 1 | 0.8057 |
รับจางใชแ้ รงงานท่ัวไป (งานประจํา) | 69 | 0.01 | 0.12 | 0 | 1 | 374 | 0.01 | 0.10 | 0 | 1 | 0.7844 |
รบจางใชแ้ รงงานท่วไป (งานไม่ประจํา) | 69 | 0.03 | 0.17 | 0 | 1 | 374 | 0.02 | 0.14 | 0 | 1 | 0.5795 |
นักเรยน/นักศกษา | 69 | 0.04 | 0.21 | 0 | 1 | 374 | 0.10 | 0.30 | 0 | 1 | 0.1404 |
แม่บาน | 69 | 0.06 | 0.24 | 0 | 1 | 374 | 0.04 | 0.20 | 0 | 1 | 0.5776 |
ว่างงาน/ไม่มงานทํา | 69 | 0.12 | 0.32 | 0 | 1 | 374 | 0.04 | 0.19 | 0 | 1 | 0.0057 0.0197 |
อน่ ๆ | 69 | 0.01 | 0.12 | 0 | 1 | 374 | 0.00 | 0.00 | 0 | 0 | |
บานเดย่ ว | 69 | 0.29 | 0.46 | 0 | 1 | 374 | 0.36 | 0.48 | 0 | 1 | 0.2394 |
คอนโด | 69 | 0.10 | 0.30 | 0 | 1 | 374 | 0.11 | 0.32 | 0 | 1 | 0.7923 |
ทาวน์เฮาส์ | 69 | 0.19 | 0.39 | 0 | 1 | 374 | 0.19 | 0.39 | 0 | 1 | 0.9778 |
แฟลต/หองเชา้ /หอพัก | 69 | 0.23 | 0.43 | 0 | 1 | 374 | 0.22 | 0.41 | 0 | 1 | 0.7782 |
ตกแถว | 69 | 0.19 | 0.39 | 0 | 1 | 374 | 0.12 | 0.32 | 0 | 1 | 0.1072 |
หมายเหตุ = p-value (H0: red = non-red) So if P'Value < 0.05, we reject null hypothesis | |||||||||||
*ถา้ p-value น้ีมคี ่ามากกว่า 0.05 จะไม่สามารถสรุปไดว้ ่าค่า mean ของสองกลุ่มมความแตกต่างกนทางสถติ | ิ |
(
หมายเหต: ประมวลขอม้ ลจากแบบสอบถามใน วรรณวิภางคและอภชาติ์ (2560)
กล่าวเฉพาะตวแปรลกษณะอาชีพที่มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสําคญเชิงสถิติ พบว่าผู้ตอบ
แบบสอบถามในกล่ม
“เหลือง” ทง้ สามกล่ม
(PDRC_Only, PDRC หรือ PAD, PDRC และ/หรือ PAD) มี
แนวโน้ มจะเป็ นพนักงานของรัฐ/ลูกจ้ างของรัฐหรื อพนักงานรัฐวิสาหกิจมากกว่า สําหรับผู้ตอบ แบบสอบถามกล่มแดง พบว่ามีแนวโน้มเป็ นพนกงานของรัฐ/ลกจ้างของรัฐหรือพนกงานรัฐวิสาหกิจน้อย
กว่า แต่มีแนวโน้มอาชีพประกอบธุรกิจส่วนตว/ค้าขาย (ไม่มีลกจ้าง) มากกว่า นอกจากนี ้ ยงพบว่าผู้ตอบ
แบบสอบถามกลุ่มแดงเป็ นผู้ว่างงานในอตราที่สูงกว่าด้วย หรือกล่าวได้ว่าฝ่ ายเหลืองมีอาชีพที่มีความ
มนคงสงกว่า ทง้ ในแง่อาชีพมีลกษณะเป็ นงานประจํา (ไม่ใช่งานชวคราว) และอย่ในภาครัฐ จึงมที ง้ รายได้
ที่ผนผวนน้อยกว่าและมีสิทธิในสวสดิการสงคมรองรับ เช่น การรักษาพยาบาล เงินบํานาญ ฯลฯ ในแง่นีก้ ็ ไม่แปลกที่พบด้วยว่า ฝ่ ายเหลืองมีระดบการศกษาสงกว่า (เกือบ 15 ปี หรือประมาณปริญญาตรี) ฝ่ ายแดง
อย่างมีนยยะสําคญเชิงสถิติ (เกือบ 12 ปี หรือประมาณมธยมปลาย) เช่นเดียวกน ในแง่ของแบบแผนการ
ใช้ชีวิตประจําวน (lifestyle) กล่มเหลองทื ง้ สามกลม่ มีแบบแผนการใช้ชีวิตท่ีสะท้อนฐานะทางเศรษฐกิจ
สงคมที่สูงกว่าฝ่ ายแดงอย่างมีนยยะสําคญเชิงสถิติ เช่น มีบตรเครดิตเป็ นสดส่วนมากกว่า สามารถอ่าน สิ่งพิมพ์ หนงสือพิมพ์ภาษาองกฤษ และนิยายภาษาองกฤษจนจบเป็ นเล่มได้มากกว่า ไปจบจ่ายใช้สอยใน ห้างสรรพสินค้าระดบหรู (เช่น พารากอน เซ็นทรัล) ไปทานอาหารระดบภัตตาคาร ดื่มกาแฟในร้ านหรู รวมทง้ ไปเที่ยวตางประเทศในย่านเอเชียบอยครังกว่า จึงอาจสรุปได้ว่าฝ่ ายเหลืองมีฐานะทางเศรษฐกิจและ
สงคมแบบชนชน สถิติก็ตาม
กลางในระดบสงกว่าฝ่ ายแดง แม้ว่าระดบรายได้ของทง้ สองฝ่ ายจะไม่แตกต่างกนในเชิง
ข้อสงเกตที่น่าสนใจประการหน่ึงคือ คนในกลุ่มเหลืองนนมีสดส่วนเป็ นคนกรงเทพฯุ โดยกําเนิด
มากกว่าคนในกล่มแดง (แม้ว่าความแตกต่างนีจะไม่มีนยยะสําคญเชิงสถิตก็ตาม) จึงอาจอนุมานต่อไปได้
ว่าคนกรุงเทพฯ โดยกําเนิดนนั
มีความน่าจะเป็ นสูงที่จะมีบรรพบุรุษเป็ นคนจีน เนื่องจากประวต
ิศาสตร์
ระยะใกล้ของประชากรกรุงเทพฯ ที่แม้กระทงหลงสงครามโลกครังท่ี 2 นีเองทประชากรส่่ี วนใหญ่ของคน
กรุงเทพฯ เป็ นคนจีนอพยพ หรือลูกจีนท่ีเกิดในเมืองไทย (Skinner 1957) ดงนันจึงไม่แปลกที่ในการ เคล่ือนไหวทางการเมืองครังหน่ึงของพนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นําโดยสนธิ ลิมทองกุล จะใช้ ประเด็นความเป็ นจีนในการระดมการสนบสนนจากมวลชนคนกรุงเทพฯ ผ่านข้อความ “ลกจีนรักชาติ” ซง่ ก็
ได้ผล ทังที่ๆ เม่ือหลงสงครามโลกจนถึงประมาณ พ.ศ. 2500 นัน เป็ นยคท่ีุ รัฐใช้นโยบายชาตินิยมไทย
ต่อต้านความเป็ นจีนอย่างชัดเจน ทังในทางเศรษฐกิจ การเมือง และสงคม ซ่ึงประเด็นดงกล่าวนีจะได้ กลาวถึงโดยละเอียดตอไป
กล่าวโดยสรุป งานศึกษาเชิงปริมาณชินนีช้ ีว้ ่ากลุ่มตวอย่างมวลชนของฝ่ ายเหลืองและแดงท่ีสุ่ม
จากประชากรกรุงเทพฯ นัน
ยังคงมีลกษณะความแตกต่างเชิงชนชัน
กล่าวคือ ฝ่ ายเหลืองมีฐานะทาง
เศรษฐกิจสงคมและแบบแผนการใช้ชีวิตประจําวนแบบชนชนกลางระดบบน ซง่ มการศี กษาสงกว่า มีอาชีพ
ที่มนคงกว่า มีแบบแผนการใช้ชีวิตประจําวนที่หรหราและสะดวกสบายกู ว่ามวลชนฝ่ ายแดง ซง่ จดได้ว่าเป็ น
ชนชน
กลางระดบลาง ซงึ เป็ นไปในทิศทางเดียวกบข้อเสนอในงานทบทวนภม
ิทศน์การเมืองไทยของ อภิชาต
ยุกติ และนิติ (2556) ในลําดบต่อไปจะอาศยงานวิจยเชิงคุณภาพชีให้เห็นว่าชนชนกลางระดบบนใน
กรุงเทพฯ กรณีศกษาท่ีสนบสนน
กปปส. มีประวต
ิชีวิตและประสบการณ์ทางการเมืองอย่างไร
3.1.2 เส้นทางชีวิต
ชนชนกลางระดบบนกรณศี ึกษาท่ีเข้าร่วม กปปส. ในงานของธรและชานนทร์ (2560)9 เป็ นคน
กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็ นคนไทยเชือสายจีน เป็ นกล่มท่ีเติบโตมาในครอบครัวท่ีมีกิจการขนาดเล็กถึงกลาง เช่น ร้านขายยา โรงงานผลิตเสือผ้า และโรงงานผลิตชินส่วนรองเท้า อาทิ “นายเก้า” เติบโตในครอบครัวคน จีนที่ทํากิจการผลิตพืนรองเท้าในเขตฝั่งธน ธุรกิจของพ่อแม่ขยายตวไปพร้ อมๆ กบการเติบโตของเขา จน นําพาให้เขาได้มีโอกาสไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ในช่วงมธยมปลาย เนื่องจากครอบครัวหวงจะ ให้เขานําเอาความรู้กลบมาทํากิจการต่อไป กรณีศกษาอีกจํานวนหนึ่งมีเชือสายจีนและมีพ่อแม่เป็ นลกจ้าง ในห้างร้ านและบริษัท มีกรณีศึกษาเพียงไม่ก่ีรายที่อธิบายเชือสายตนเองว่าเป็ น “ไทย" นอกจากนี
กรณีศกษาจํานวนหนึ่งเล่าถึงพืนฐานครอบครัวตนเองว่ามาจากคนระดบสง เชน่ เจาของกิ้ จการผลิตยาท่ีมี
ชื่อเสียงและเจ้าที่ดินที่อยธยา มีจํานวนน้อยที่เลาว่าตนเองมาจากครอบครัวเกษตรกรในตางจงหวดั
เส้ นทางชีวิตของกรณีศึกษาส่วนใหญ่เป็ นเส้นทางของการพยายามคว้าโอกาสเพ่ือประสบ ความสําเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน ในช่วงวยเยาว์พวกเขาต่างม่งด้านการเรียน เนื่องจากได้รับการสงั่ สอนว่าการศึกษาจะสามารถสร้ างความเจริญก้าวหน้าและมนั คงให้กับชีวิต พวกเขาจํานวนมากได้รับ
การศึกษาในระดบที่คนรุ่นก่อนหน้าไม่เคยได้รับ คือ การศึกษาในระดบมหาวิทยาลย การไขว่คว้าโอกาส
ในช่วงถดมาของชีวิตพวกเขาคือการดําเนินธุรกิจหรือการเข้าทํางานในองค์กรต่างๆ พวกเขาส่วนใหญ่พบ กบโอกาสท่ีหลงั ไหลเข้ามาให้ไขว่คว้า เช่น “นายห้า” เติบโตในครอบครัวคนจีนที่เปิ ดกิจการร้านขายยา และ แม้ว่าครอบครัวจะม่งหวงให้เขาออกมาดําเนินกิจการต่อ แต่การเติบโตของภาคการเงินการธนาคารได้ดึง
เขาเข้าไปทํางานด้วยผลตอบแทนที่ดีกว่า “นางแปด” และ “นายหก” ตางเลาถึงภมิหลงของตวเองว่า เตบโติ
ในครอบครัวที่พ่อแม่ทํางานบริษัทและรัฐวิสาหกิจ หลงจากการจบการศึกษาในมหาวิทยาลยชนนํา พวก
เขาได้มีโอกาสเข้าทํางานกบบริษัทตางชาติ และได้เติบโตในด้านหน้าที่การงานไปพร้อมๆ กบเศรษฐกิจไทย ที่โตอย่างรวดเร็วจากการเปิ ดเสรีการค้าและการลงทนุ
กรณีศึกษาเห็นว่าความก้าวหน้าและความสําเร็จในชีวิตและการงานของพวกตนไม่ได้เป็ นผลมา จากนโยบายรัฐ เช่น “นายห้า” ซง่ เติบโตในหน้าที่การงานพร้อมๆ กบกระแสการเติบโตของภาคการเงินการ ธนาคาร กล่าวว่า “ถ้าถามว่าชีวิตการทํางานได้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจบ้างไหม ไม่เลยนะ” ในขณะที่ “นายเก้า” และ “นายสิบสอง” ซ่ึงเติบโตทางธุรกิจมาพร้ อมกบนโยบายเปิ ดเสรีและการอุดหนุน ภาคการเกษตรเห็นว่า รัฐไม่ควรเข้ามาวุ่นวายกบเศรษฐกิจ ควรปล่อยให้เอกชนจดการเอง พวกเขามอง ความสําเร็จของตนว่ามาจากความสามารถและความพยายามของตน
9 ดูรายละเอียดเชิงคุณภาพของลกษณะทางเศรษฐกิจและสงคมของกรณีตวอย่างเหล่านีได้จากตารางในภาคผนวกของธรและชานนทร์
(2560)
อย่างไรก็ดี ธรและชานนทร์ (2560) ชีว้ ่าในความเป็ นจริงตลอดช่วงการพฒนาเศรษฐกิจไทยสาม
ทศวรรษที่ผ่านมา ชนชนกลางบนท่ีมีการศึกษาและอยู่ในศูนยกลางทางเศรษฐกจิ์ มกได้รับผลประโยชน์
จากแนวนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ได้แก่ การเปิ ดเสรีทางการค้า การเงิน การลงทน และสถานการณ์
ทางเศรษฐกิจมหภาคท่ีมีเสถียรภาพ พวกเขาประสบความสําเร็จในการเติบโตเหนือกว่าชนชนกลางล่าง
ในช่วงทางแพร่งที่สําคญก่อน พ.ศ. 2535 เพราะสามารถเกาะหวขบวนแห่งการพฒนาเศรษฐกิจได้จากการ ที่พวกเขามีระดบการศกษาสงกว่า อาศยอย่ในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลรอบนอก ซงึ เป็ นศนย์กลางของ โอกาสทางเศรษฐกิจ ทังในแง่การจ้างงาน แหล่งเงินทุน และโครงสร้ างพืนฐานที่ครบถ้วน การพิจารณา ความรับรู้และความเข้าใจของกรณีศกษาข้างต้นจึงจําเป็ นต้องคํานึงถึงข้อเท็จจริงเหลานีด้ ้วย
3.1.3 ประสบการณ์และความคิดทางการเมือง
3.1.3.1 “หน้าใหม่” ทางการเมือง
เพราะเหตุที่มุ่งศึกษาหาความรู้และประกอบอาชีพการงาน ชนชน
กลางบนในกรณีศึกษาของธร
และชานนทร์ (2560) ไม่เคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือมีความสนใจประเด็นปัญหาทาง การเมืองมาก่อน และแม้ในกลุ่มผู้ที่ระบุว่ามีความสนใจอยู่บ้าง ก็มกจะระบุเหตุการณ์ได้คร่าวๆ อีกทัง้
คลาดเคล่ือน เช่น สบสนระหว่างเหตการณ์ 14 ตลาคม 2516 กบ 6 ตลาคม 2519 จนเป็ น “เหตการณ์ 16
ตุลา” ซึ่งแม้จะฟังได้ว่าพวกเขาอาจจะยังเยาว์เกินกว่าจะติดตามหรือจดจําเหตุการณ์ในช่วงเวลานัน
กระนน
แม้กระทง่ เหตการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2535 พวกเขาซึ่งในตอนนน
ต่างอย่ในช่วงทํางานหรือวย
กลางคนแล้วก็กล่าวว่าไม่ได้มีความสนใจหรือมีส่วนร่วมแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ให้เหตุผลคล้ายกน คือ มุ่ง
ศกษาเลาเรียนและประกอบอาชีพการงาน นอกจากนี ้ในบางกรณี เช่น “นายสาม” กลาวว่าคติธรรมของคน
จีนที่ตนได้รับการอบรมสงสอนมาคอไม่ื ควรไปยุ่งกบการเมือง “นายหก” กลาวว่่ าพ่อแม่สอนให้สนใจการ
เรียนเป็ นหลก เพื่ออนาคตท่ีม่นคง และเขากมองการเคล่ื็ อนไหวทางการเมืองโดยทว่ ไปวาเ่ ป็ นการสร้ าง
ความวุ่นวายที่ไม่พึงปรารถนา “นางสิบ” เข้าเรียนท่ีมหาวิทยาลยธรรมศาสตร์ในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตลาคม 2519 ไม่นาน แต่กล่าวว่าครอบครัวกําชบไม่ให้ย่งกบกิจกรรมการเมือง กล่มเพื่อนของตนก็ไม่ได้ สนใจการเมือง และในช่วงเหตการณ์พฤษภาคม 2535 ตนก็ยงว่นวายแต่กบเร่ืองครอบครัวและการทํางาน จนไมได้สนใจเท่าไรนกั
ในทํานองเดียวกน
กนกรัตน์ (2560) เสนอว่าชนชน
กลางอีกกล่มที่เข้าร่วม กปปส. คือ ชนชน
กลาง
รุ่นใหม่อย่ในวยทํางาน แกนนํา กปปส. ประสบความสําเร็จในการจดตง้ ชนชนกลางท่ีเคยไม่สนใจการเมือง
และอย่ก
นอย่างกระจดกระจาย ทว่าแทนที่จะใช้ความคิดเสรีนิยมในการจดตงั
แกนนําของขบวนการเสนอ
แนวคิดชาตินิยม กษัตริย์นิยม และการต่อต้านประชาธิปไตย ในฐานะเครื่องมือเชิงอุดมการณ์ที่สร้ างขึน้
ใหม่ในการสร้ างความชอบธรรมให้ กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของชนชันกลางรุ่นใหม่เหล่านี
ประสบการณ์ของผ้ให้สมภาษณ์ 63 คนจาก 100 คนที่เป็ นกรณีศกษาของกนกรัตน์นนั 10 ชีว้ ่าพวกเขาไมเคย่
สนใจการเมืองมาก่อน ไม่มีประสบการณ์การเมืองโดยตรง และไม่ได้สงกดสมาคมการเมืองใด พวกเขามอง
การเมืองและการเลือกตง้ ว่าอย่ห่างไกลชีวิตพวกเขาและเตมไปด้็ วยความสกปรก การทจรติ และขาดพลวต
พวกเขาจํานวนมากภม
ิใจที่กล่าวว่าตนสะอาดเพราะไม่ได้อ่านหนงสือพิมพ์ ดข
่าวการเมือง หรือเก่ียวข้อง
กบพรรคการเมืองหรือกลมการเมืองใด
กนกรัตน์ (2560) เสนอต่อไปว่า คนกล่มนีไม่ได้มีแนวคิดอนรุ ักษ์นิยมแบบเบ็ดเสร็จ เน่ืองจากพวก เขาอย่ในโลกที่กําลงเปล่ียนแปลง จึงมีความคิดแบบเสรีนิยมทางเศรษฐกิจและสงคมในหลายประเด็น เช่น รักร่วมเพศ การมีเพศสมพนธ์ก่อนสมรส พหุวฒนธรรม สวสดิการ ความเสมอภาค การกระจายอํานาจ การเมือง ไม่เห็นด้วยกบรัฐประหาร รวมทง้ ต่อต้านระบอบราชการและอํานาจนิยม อย่างไรก็ดี แทนที่จะ เลือกอดมการณ์เสรีและก้าวหน้าในทางการเมือง พวกเขากลบผกตวเข้ากบความคิดและพลงอนรุ ักษ์นิยม ทางการเมืองภายใน “ขบวนการต่อต้านทกษิณ” พวกเขาจับมือกบพวกอนุรักษ์นิยมในการชูทัศนะต้าน ทุจริต ท่ีขบเคลื่อนโดยศีลธรรม มีลกษณะชาตินิยม และกษัตริย์นิยม เน่ืองจากอนุรักษ์นิยมเป็ นอตลกษณ์ เชิงอุดมการณ์ที่มีความชอบธรรมในสงคมไทยอยู่ก่อนแล้ว แม้พวกเขาสนบสนุนแนวคิดเสรีในเชิงสงคม- เศรษฐกิจในระดบหนึ่ง แต่พวกเขาเติบโตในสงคมไทยท่ีลกษณะอนุรักษ์นิยมทางการเมืองเป็ นแนวคิด
กระแสหลก แนวคดอนิ รุ ักษ์นิยมจงเขาใจไดง้้ึ ่ายและถกใช้ในการสร้างความชอบธรรมให้กบบทบาทพวกเขา
ในสงคมอนรุ ักษ์นิยมได้ง่ายกว่าแนวคิดเสรีนิยม นอกจากนี ้ อตลกษณ์การเมืองเชิงอนรุ ักษ์นิยมยงช่วยแยก
พวกเขาออกจากผ้อ
ื่น โดยเฉพาะจากผ้สนบสนน
พ.ต.ท.ทกษิณ ซง่ มกบ่งชีต้ วเองเข้ากบประชาธิปไตยและ
ต่อต้านสถาบนการเมืองแบบอนรุ ักษ์นิยม ในแง่นี ้ แนวคิดอนุรักษ์นิยมจึงมอบบทบาทอนชอบธรรมให้พวก
เขาในการต่อต้านทักษิณและขบวนการเสือแดง โดยแกนนําได้นําพวกเขาเข้าสู่โครงสร้ างและสงกัด การเมืองแบบใหม่ ส่ือรูปแบบใหม่ เช่น เคเบิลทีวีและสื่อสังคม รวมถึงโครงสร้ างขบวนการที่หลวม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ กปปส. ที่เปิ ดโอกาสให้ชนชนกลางเชนพวกเขาท่ี่ มองตนว่าเป็ นอสระจาิ กอํานาจและ
การครอบงําทางการเมืองของพรรคการเมืองและแกนนํารู้สกสะดวกใจในการเข้าร่วมขบวนการ
กนกรัตน์ (2560) เสนอว่าเนื่องจากไม่มีประสบการณ์หรือทกษะทางการเมืองมาก่อน ในช่วงแรก
ชนชนกลางรนใหมเหลาุ่่ นีจ้ ึงเป็ นแคไพรราบหน้่่ าใหม่ เป็ นหนึ่งในกลม่ ผส้ นบสนนหลกระดบพืนฐาน รวมทงั
เป็ นผู้ระดมทรัพยากรหลกของขบวนการ แต่เนื่องจากส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนีมีภูมิหลงแบบชนชนั กลาง
ระดับบน พวกเขาจึงไม่เป็ นแต่เพียงผู้สนับสนุนทางการเงินและเทคนิค หากแต่อาชีพ ไลฟ์ สไตล์ และ
10 ดรายละเอียดของลกษณะทางเศรษฐกิจและสงคมของกรณีศึกษาเหล่านีได้ในตารางที่ 1 ของกนกรัตน์ (2560) สมควรกล่าวด้วยว่ากลุ่ม
ตวอย่างทัง
63 คนนีม้ ีทังคนกรุงเทพฯ และต่างจังหวด
ซ่ึงส่วนใหญ่เป็ นผู้มีการศึกษาตง้ แต่ระดบปริญญาตรีเป็ นต้นไป และส่วนใหญ่มี
สถานภาพเป็ นเจ้าของกิจการ ผ้บริหารระดบสง หรอเื ป็ นพนกงานระดบอาวโส
เครือข่ายของชนชนกลางได้มอบการเข้าถงแนวรวมใหมและก่่ึ ารสนับสนุนใหมๆ่ ให้กับขบวนการ ต่อมา
แกนนําจึงได้ให้ความสนใจกบพวกเขาและมอบพืนที่การเมืองให้ หลายคนได้รับเชิญให้เข้าถึงวงในของแกน
นํา พวกเขาคอยๆ มีอํานาจ และยดการนําในหลายระดบ โดยเฉพาะระดบท้องถิ่น
ชนชน
กลางรุ่นใหม่เหล่านีหลายคนเป็ นผ้ม
ีชื่อเสียงเป็ นท่ีรู้จกต่อสาธารณชน (Celebrity) ในแวดวง
ตางๆ เช่น เป็ นดารา นกร้อง นางแบบ ศิลปิ น ฯลฯ ซง่ อาทิตย์และอาจินต์ (2560) ทําการศกษาและชีให้เห็น
ว่าผ้มีช่ือเสียงเหลานีเป็ นตวกลางระหว่างแกนนํากบมวลชน ทําหน้าท่ีในการ “ย่อย/ทอน” สารทางการเมือง
ที่ซบซ้อนให้กลายเป็ นแนวคิดท่ีเข้าใจง่ายขึน
เช่น “รักชาติ” “ต้านคอร์รัปชน
” และ “ปกป้ องสถาบน
” แม้ว่า
ในด้านหนึ่งบทบาทลักษณะนีมักถูกวจารณ์ิ ว่าไร้ เดยงสาทางการเมองืี แต่ในอกี ด้านมนกช็ั ่วยสงต่่ อ
ความคิดทางการเมืองไปยงผู้คนในวงกว้างขึน โดยเฉพาะกลมท่ีุ่ ไม่ได้สนใจการเมืองมาก่อน การทําให
การเมืองเป็ นเรื่องเข้าใจง่ายและทําให้การเข้าร่วมการชมนม
“กลายเป็ นแฟชน
” โดยกล่มผ้ม
ีชื่อเสียงเหล่านี
กลายเป็ นปัจจยหนึ่งท่ีทําให้การระดมมวลชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชนชน ร่วมการชมนมของ กปปส. ประสบผลสําเร็จเป็ นอย่างยิ่ง
กลางหน้าใหม่ทางการเมืองเข้า
3.1.3.2 ผู้มีประสบการณ์ทางการเมือง
กนกรัตน์ (2560) เสนอว่าในช่วงปี พ.ศ. 2548-2549 “ขบวนการต่อต้านทกษิณ” เริ่มเคลื่อนไหว ทางการเมืองในฐานะขบวนการเสรีนิยมที่คึกคัก และกําหนดคุณลักษณะตนเองในฐานะผู้จับตา ประชาธิปไตย (Democracy Watchdog) โดยพนธมิตรฯ รณรงค์เคลื่อนไหวในประเด็นกว้าง เริ่มจากการ ต่อต้านนโยบายประชานิยมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทิศทางเสรีนิยมทางเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย การทุจริต อํานาจนิยม และ “ทุนนิยมสามานย์” ไปสู่ การเสนอประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและการเมือง นอกรัฐสภา ซง่ การอาศยยทธศาสตร์และวาระที่ผนวกรวมกนเช่นนีส้ ่งผลให้พนธมิตรฯ ประสบความสําเร็จ ในการระดมการสนับสนุนจากกลุ่มต่างๆ อย่างกว้างขวาง นบตง้ แต่ชนชันสูงในเมือง พลงอนุรักษ์นิยม (ได้แก่ ข้าราชการ อํามาตย์ ทหารที่ตกเป็ นชายขอบ และนกธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายอุปถัมภ์ พ.ต.ท. ทกษิณ) โดยเฉพาะอย่างย่ิงจากขบวนการเคล่ือนไหวทางสงคมและองค์กรพฒนาเอกชนที่ทํางานกับคน ระดบลาง เช่น แรงงาน และเกษตรกร ตลอดจนสหภาพรัฐวิสาหกิจ นกวิชาการ และนกศกษา
กล่มบุคคลเหล่านีบางส่วนเคยได้รับความคิดเสรีและก้าวหน้าผ่านประสบการณ์ตรงกบขบวนการ ประชาธิปไตยและขบวนการทางสงคมอื่น (องค์กรพฒนาเอกชน ขบวนการประชาชน ขบวนการเคลื่อนไหว ประชาธิปไตย เข้าร่วมเหตการณ์พฤษภาคม 2535) ก่อนเข้าร่วมขบวนการต้านทกษิณ แต่ต่างจากพวก
อนุรักษ์นิยมที่ให้ความสําคญกบประเด็นชาตินิยมและสถาบนกษัตริย์เป็ นหลก จุดเปลยนขอ่ี งคนพวกนีท
ทําให้เข้าร่วมขบวนการต้านทกษิณเป็ นเรื่องฉ้อฉลอํานาจ ทจริต การใช้ความรุนแรงเกินขอบเขต การละเมิด กฎหมายและระเบียบ การบิดเบือนการเลือกตังและควบคุมรัฐสภาของ พ.ต.ท.ทักษิณ สาเหตุที่พวก
ก้าวหน้า/เสรีนิยมเข้าร่วมการเคลื่อนไหวแม้เคยวิจารณ์ความคิดอนุรักษ์นิยมและทิศทางของขบวนการ ต่อต้านทกษิณ เพราะต้องการใช้การเข้าร่วมแลกเปล่ียนกบการสนบสนุนของขบวนการต่อต้านทกษิณใน
ประเด็นเฉพาะๆ ของตน ที่เคยถูกกดทบภายใต้รัฐบาลทกษิณให้มีพืนที่ในการรณรงค์อีกครัง นอกจากนี
พวกเขาเชื่อในกรอบคิดหลกที่ว่าด้วย “ภยคุกคาม” “อภิมหาวิกฤต” และ “ลงมือทําบดนี” ท่ีนําเสนอโดย
แกนนํา พวกเขาคล้อยตามความคิดที่ว่า พ.ต.ท.ทกษิณ คือภยคกคามร่วมของทุกฝ่ าย เป็ นผ้ก่อให้เกิดอภิ
มหาวิกฤต และทุกคนต้องลงมือทําทันทีด้วยการเข้าร่วมขบวนการต้านทักษิณ เพ่ือแก้อภิมหาวิกฤตท่ี ประเทศไทยกําลงเผชิญอยู่ (กนกรัตน์ 2560)
อย่างไรก็ดี กนกรัตน์ (2560) ชีว้ ่า “ขบวนการต่อต้านทกษิณ” ขยายตวไปในทิศทางที่มีลกษณะ
อนุรักษ์นิยมและขวาจดมากขึนเรื่อยๆ ส่งผลให้เหล่าอดีตชนชน
กลางเสรีแตกออกเป็ นสองกลม่
คือ กล่มที่
ประนีประนอมและกล่มที่กลายเป็ นชายขอบ โดยกล่มประนีประนอมหนไปยอมรับหลายความคิดหลกที่ชู โดยพลงอนุรักษ์นิยม ในช่วงที่ขบวนการขึนสูงพวกเขาเห็นดีเห็นงามกับรัฐประหารและรัฐบาลทหารใน
ฐานะทางออกระยะสนั เพ่ือระงบและป้ องกันความรนแรงและการเผชญหิุ น้ากบขบวนกาั รเสอื แดง ส่วน
กลม
ท่ีไม่เห็นด้วยได้ถกลดอํานาจหรือถกทําให้แปลกแยกกลายเป็ นกลม
ชายขอบ พวกเขาสญเสียอํานาจใน
การควบคุมขบวนการลงเรื่อยๆ ถูกลดทอนความชอบธรรมและพืนที่การเมืองรวมทังอํานาจต่อรองใน ขบวนการลง บางคนออกจากขบวนการและใช้ชีวิตเงียบๆ ขณะท่ีบางคนหนไปเข้าร่วมขบวนการเสือแดง
ด้วยแนวทางที่มีลกษณะเสรีมากกว่ากลุ่มประนีประนอม ส่วนใหญ่ของกลุ่มเสรีที่กลายเป็ นชาย ขอบวิจารณ์รัฐบาลทักษิณอย่างเป็ นระบบ นับตังแต่การทุจริต การบิดเบือนประชาธิปไตยเลือกตัง้ ผลกระทบด้านลบของทุนนิยมเสรีนิยม การครอบงําของรัฐ โดยเฉพาะอย่างย่ิงใช้การกดทบเสรีภาพทาง การเมืองเพื่อตอบโต้สื่อ องค์กรพฒนาเอกชน และประชาชนรากหญ้า ที่วิจารณ์รัฐบาลทกษิณในโครงการ
พฒนาของรัฐและเอกชนขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนปากมล
2560)
และเหมืองแร่โปแตซที่จงหวดอุดรธานี (กนกรัตน์
กนกรัตน์ (2560) ชีว้ ่าบางส่วนของกล่มเสรีมีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหา ทง้ ในส่วนของ
สาเหตของความขดแย้งทางการเมือง ทางแก้วิกฤตการเมืองปัจจุบน และการประเมินฝงตรงขาม้่ั พวกเขา
กล่าวว่า พ.ต.ท.ทกษิณ ไม่ใช่สาเหตุท่ีแท้จริงของปัญหา หากแต่เป็ นระบบราชการ การรวมศูนย์อํานาจ การเมืองและทรัพยากร ความขัดแย้งในชนชันนํา และระบบยุติธรรม พวกเขาไม่คิดว่ารัฐประหารคือ ทางออก การจะแก้ปัญหาท่ีประเทศไทยประสบต้องการแผนพฒนาระยะยาว การกระจายอํานาจการเมือง
ไปส่ท
้องถิ่น การปฏิรูปการเมืองที่เพิ่มอํานาจและบทบาทของระบบตรวจสอบถ่วงดล
นอกจากนี ้ พวกเขา
คิดและปฏิบติการอย่างอิสระ พร้ อมกับกลาววาตนไมไ่่่ ด้สงกัดกลุ่มใดและไม่ได้ตามผู้นําคนใด อีกทง้ ยง
วิจารณ์แกนนํากล่มต่างๆ และวิจารณ์ความเป็ นกษัตริย์นิยมสดขวั
ชาตินิยมสดขวั
ยุทธศาสตร์ทางทหาร
การตอต้านประชาธิปไตยเลือกตงั และการสนบสนนรฐประหารของขบวนการต้ั านทกษิณ
กลาวโดยสรุป “ชนชน
กลางระดบบน” ซง่ หมายถึง “ผ้ท
ี่มกอาศยอย่ในกรุงเทพฯ หรือในเขตเมือง มี
การศกษาสง และมการงานอย่ี นอกภาคเกษตร มีฐานะเป็ นเจาของกิ้ จการ (ทง้ มและไมี ่มีลกจาง้ ) หรออยื ่ใน
สาขาวิชาชีพขน
สูง รวมทง้ มีวิถีชีวิตประจําวน
(lifestyle) แบบหรูหรา” เป็ นมวลชนหลกกลุ่มหนึ่งของ
“ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ซึ่งแม้จะมีลักษณะร่วมกันในเชิงเศรษฐกิจและสังคม แต่จาก
ประสบการณ์ชีวิตทางการเมืองที่แตกต่างกน ทําให้สามารถแบ่งมวลชนคนเมืองเหล่านีออกเป็ นสองกลม่
คือ 1) กลุ่มคนหน้ าใหม่ทางการเมือง คนเมืองกลุ่มนีไม่เคยมีประสบการณ์ทางตรงกับการเข้ าร่วม
เคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน หรือไม่ได้เป็ นผ้มีความสนใจทางการเมองเื ป็ นพืนฐาน ประกอบกบการท่ี
พวกเขาเติบโตขน
มาในสงคมไทยที่แนวคิดแบบอนรุ ักษ์นิยมเป็ นความคิดกระแสหลก
พวกเขาจึงกลายเป็ น
มวลชนโดย “ธรรมชาติ” ของ “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” ซ่ึงใช้กรอบความคิดอนรุ ักษ์นิยมท่ีเน้น ต่อต้านการทุจริตเชิงศีลธรรม ชาตินิยม และกษัตริย์นิยม เป็ นอดมการณ์หลกในการระดมมวลชน และ 2) กล่มผู้มีประสบการณ์ทางการเมือง คนเมืองกล่มนีเคยรับแนวคิดแบบเสรีนิยมมาก่อน พวกเขาจึงมีความ เข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองมากกว่ากลุ่มแรก แต่ก็ตดสินใจเข้าร่วม “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศ ไทย” ด้วยเหตผลที่หลากหลาย เช่น การวิเคราะห์สถานการณ์เฉพาะหน้า ตลอดจนการยอมประนีประนอม กับขบวนการต่อต้านทกษิณในแง่อุดมการณ์ทางการเมือง ซ่ึงทง้ สองกลุ่มมีสถานะทางเศรษฐกิจ สงคม รวมถึงประสบการณ์ทางการเมืองต่างจาก “คนใต้ย้ายถ่ินในกรุงเทพฯ” ซึ่งเป็ นมวลชนหลกอีกกลุ่มของ “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” แม้มวลชนกล่มนีจะพกอาศยและประกอบอาชีพอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ ตาม
3.2 คนใต้ย้ายถ่ินในกรุงเทพฯ11
3.2.1 คนใต้ในบริบทความขัดแย้งทางการเมืองร่วมสมัย
“คนใต้”12 เป็ นผู้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” หลกอีกกลุ่ม ซึ่งเร่ิมตง้ แต่ช่วง พนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก่อนจะเพ่ิมปริมาณขน้ อย่างมากในช่วง กปปส. ซง่ มีทง้ ความสืบเนื่อง
และความเปลี่ยนแปลงในเวลาเดียวกน กลาวคอื่ คนใต้เข้ารวมพ่ นธมตรฯิ ในปี พ.ศ. 2548 เพ่ือขบไล่
รัฐบาล พ.ต.ท.ทกษิณ อย่างคกคก
โดยเฉพาะคนในเขตเมือง มีการจดตง้ กลม
พนธมิตรฯ ในแตละจงหวด มี
แกนนําระดับจังหวัดท่ีมีบทบาทสําคัญในการจัดการชุมนุมในระดับพืนที่และในการเข้าร่วมชุมนุมกับ
11 หากไม่ได้ระบเป็ นอื่น ข้อมลส่วนนีเรียบเรียงจาก ชลิตา (2560)
12 “คนใต้” ในที่นีหมายถึงคนใน 11 จงหวดภาคใต้นบแต่ชุมพรลงมา ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มีเชือสายไทยนบถือศาสนาพุทธ ไม่นบรวม 3 จงหวดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มีเชือสายมลายูนบถือศาสนาอิสลาม แม้ประชากรเหล่านีบางส่วนจะเข้าร่วมหรือสนับสนุน กปปส.
พนธมิตรฯ ในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ดี ในส่วนของชาวบ้านท่วไปท่ีถือว่ามี “ความเป็ นพนธมิตรฯ” ส่วนใหญ่
ไม่ได้มาร่วมชุมนุมท่ีกรุงเทพฯ เพราะติดปัญหาการเดินทางหรือมีสถานะทางเศรษฐกิจท่ีไม่เอือ แต่อาจ
มาร่วมกิจกรรมเป็ นครังคราว หากมีการชุมนุมในระดบจังหวัดของตน พวกเขาติดตามชมข่าวสารทาง โทรทศน์ วิทยุ และหนงสือพิมพ์ บางคนติดตง้ จานดาวเทียมพร้อมอปกรณ์รับสญญาณช่อง ASTV เป็ นการ
เฉพาะ เพ่ือให้สามารถติดตามข่าวพนธมิตรฯ ได้อย่างต่อเนื่อง สาเหตท่ีพวกเขาสนบสนุนการเคลอนไห่ื ว
ของพนธมิตรฯ เพราะเห็นด้วยกบพนธมิตรฯ ที่ว่า พ.ต.ท.ทกษิณ อาศยตําแหน่งหน้าท่ีในการทจริตคอร์รัป-
ชน และเอือประโยชน์ต่อธุรกิจของตนเอง เครือญาติ และพวกพ้อง ไม่ว่าจะเป็ นกรณีการซุกหุ้น หรือการ
แลกเปลี่ยนพืนที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรกบผลประโยชน์ทางทะเลกบประเทศเพื่อนบ้าน (อนสรณ์ 2560)
นอกจากนี ้ การที่คนใต้สนบสนุนการเคลื่อนไหวของพนธมิตรฯ ในช่วงแรกยงเป็ นเพราะพนธมิตรฯ
มีความสัมพันธ์อันดีกับพรรคประชาธิปัตย์ ซ่ึงเป็ นพรรคฝ่ ายค้านในขณะนัน13 ทว่าหลงจากที่ั พรรค
ประชาธิปัตย์เป็ นรัฐบาลและพนธมิตรฯ ได้เคลื่อนไหวในลกษณะเป็ นปฏิปักษ์ (โดยเฉพาะในกรณีเขาพระ วิหาร) คนใต้ท่ีเคยสนบสนุนพนธมิตรฯ ส่วนใหญ่ก็เปล่ียนใจ ถอยห่าง หรือไม่ก็วิพากษ์วิจารณ์พนธมิตรฯ
อย่างรุนแรง ดงท่ีรายหนึ่งกลาวว่า “ตอนนีเบ่ือพนธมิตรฯ แล้ว เมื่อก่อนก็เคยสนบสนนนะตอนไลทกษิณ แต
ว่าตอนนีไม่ค่อยชอบแล้ว เพราะว่าขบไล่รัฐบาล [พรรคประชาธิปัตย์] มากเกินไป ไม่ปล่อยให้เขาบริหาร
ประเทศไปก่อน ตอนนีเบื่อ ไม่เปิ ดทีวีดเลย มวไปหมด เรารกั […] พรรคประชาธปัิ ตย์ เราไมชอบสงคราม่
เร่ืองนีม
นละเอียดอ่อน ต้องประนีประนอม ก็ต้องให้รัฐบาลเขาเจรจากนไป จะไปกดดนทําไม ตอนนีท
ีวีมีด
แตมวยเท่านนั
ค่อยกลบมาดข
่าวอีกทีตอนที่ทกอย่างมนดีขึน
” (“ตาลก
” สมภาษณ์ใน อนสรณ์ 2560: 121-
122) เช่นเดียวกบอีกรายที่กลาวว่า “คนใต้เราเป็ นคนมีเหตผลกว่าคนภาคอื่น จําลอง [ศรีเมือง] เป็ นคนไม่มี เหตุผล การเสียดินแดนไม่มีจริงหรอก ตอนนีคนใต้ไม่เชียร์พนธมิตรฯ อีกต่อไปแล้ว เราอยากให้รัฐบาล [พรรคประชาธิปัตย์] ทํางานของเขาไปก่อน” (“ลงนิด” สมภาษณ์ใน เพ่ิงอ้าง: 122)
นอกจากมีผู้สนบสนุนจากชาวบ้านท่วไปแล้ว พนธมิตรฯ ภาคใต้มีความสมพนธ์ใกล้ชิดกับภาค ประชาสงคมในท้องถ่ิน (ซ่ึงประกอบด้วยนกพฒนาเอกชนและนกกิจกรรมทางสงคม นกวิชาการท้องถิ่น
สื่อมวลชน และแกนนําชุมชนในภมิภาค) (อนสรณ์ 2560: 123-125) ซง่ เขารวม่้ คปท. และ กปปส. อย่าง
แข็งขันในเวลาต่อมา ภาคประชาสังคมภาคใต้เหล่านีได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสํานักงาน สนับสนุนการสร้ างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งมีแนวทางในการสนับสนุนพันธมิตรฯ เช่นกัน อย่างไรก็ดี พนธมิตรฯ ในปี กของประชาสงคมเหล่านีย้ งเป็ นส่วนน้อยของคนใต้ท่ีเข้าร่วมกบพนธมิตรฯ ในขณะที่คนใต้
13 ดงที่รายหนึ่งกล่าวว่าเขา “ไม่น่าจะใช่เสือเหลือง” เนื่องจากเขาไม่เห็นด้วยกบการท่ีพนธมิตรฯ ยึดสนามบินสวรรณภมิและไม่เห็นดวยก้ บการ
ที่พนธมิตรฯ ใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ แต่สาเหตทุ ี่เขาติดตามรวมทง้ สนบสนนการเคลื่อนไหวของพนธมิตรฯ ในช่วงแรกเป็ นเพราะว่าเขา
“ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์กลบมาเป็ นรัฐบาล น้าพดไม่ได้รู้สกอะไรมากกบพนธมิตรฯ” (“น้าพด” สมภาษณ์ใน อนสรณ์ 2560: 121)
สวนใหญ่ท่ีสนบสนนพนธมิตรฯ สนใจแตเฉพาะประเด็นจากปัญหาจาก “ระบอบทกษิณ” และการ “ล้มเจ้า”
มากกว่าประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการพฒนา ซงึ เป็ นประเด็นที่ภาคประชาสงคมให้ความสําคญั
ทง้ นี ้ คนใต้เข้าร่วม กปปส. อย่างคกคกกว่าเข้าร่วมพนธมิตรฯ มาก14 สวนหนึ่งเป็ นเพราะนายสเทพ แกนนํา กปปส. เป็ นอดีต ส.ส. ภาคใต้พรรคประชาธิปัตย์ ผู้มากด้วยบารมีและมีความเชื่อมโยงกบคนใต้ มากกว่า และนอกจากประเด็นในการต่อสู้กับ “ระบอบทักษิณ” ท่ีสืบเนื่องมาตง้ แต่ครังพันธมิตรฯ การ
ชมนมในช่วง กปปส. ยงมีความเกี่ยวข้องกบปัญหาของคนใต้โดยตรง นนคอปัื ญหาราคายางพาราตกตาที่ํ่
นํามาสู่การชุมนุมประท้วงของชาวสวนยางมาก่อนหน้านีนานนับปี ในช่วงรัฐบาลยิ่งลกษณ์ ก่อนท่ีกลุ่ม ชาวสวนยางภาคใต้จะกลายมาเป็ นกําลงสําคญในการชมนมของ กปปส. ทง้ ท่ีกรุงเทพฯ และในภาคใต้ โดย การชุมนุมของชาวสวนยางที่ส่ีแยกควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช และที่ อ.บางสะพาน จ. ประจวบคีรีขันธ์ สลายตัวลงเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2556 เนื่องจากแกนนํากลุ่มผู้ชุมนุมที่ยังคง เรียกร้ องราคายางที่กิโลกรัมละ 120 บาท ได้เข้าร่วมกบการเคลื่อนไหวไล่รัฐบาลยิ่งลกษณ์กบั กปปส. ท่ี กรุงเทพฯ จนกระทั่งเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ทําการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ท่าทีของการเรียกร้องราคายางกิโลกรัมละ 120 บาทอย่างแข็งขนของชาวสวนยางภาคใต้ก็โอนอ่อน ลงอย่างมาก
ผ้เข้าร่วมการชมนมของทง้ พนธมิตรฯ และ กปปส. รายหนึ่งกลาวเปรียบเทียบว่า “ในแง่ของคนที่มา เข้าร่วม กปปส. มีความหลากหลายทางสงคมมากกว่า มีทุกสถานภาพทางสงคม ทังข้าราชการ ลูกจ้าง
เอกชน อาจารย์ นกธุรกิจ คนใต้ก็เยอะ สวนพนธมิตรฯ มกเป็ นกลมคนท่ีชอบจําลอง สนธิ แต่ไม่ชอบทกษิณ
และ ม็อบ กปปส. ก็มีความปลอดภยมากกว่า ที่สําคญคือ แกนนํา กปปส. ดมีความจรงใจมากกว่ิ า” (“พ่ี
ปัม
” สมภาษณ์ใน ชลิตา 2560) อย่างไรก็ดี ไม่อาจกล่าวได้ว่าทุกคนเข้าร่วมกบ
กปปส. ด้วยความชื่นชอบ
แกนนําในลกษณะเดียวกน
มีบางคนที่บอกว่า “เข้าร่วมกบ
กปปส. ก็ไม่ได้ชื่นชอบสุเทพ ไม่ชอบเจ๊ปอง
อญชลีอย่างมาก คนนีถ้ กไล่มาจากสนธิ ลิม
เป็ นคนท่ีสนธิเกลียดมาก แต่ถึงไม่ชอบก็ยงเข้าร่วมกบ
กปปส.
เพราะแม้บางอย่างไม่ชอบ แตก็มีบางสงท่ีิ่ ไปด้วยกนได”้ (“น้องเอก” สมภาษณใน์ เพิ่งอาง้ ) กลาวอกนี ยหนึ่ง
คนใต้ให้การสนบสนุนและเข้าร่วมการชุมนุม กปปส. ด้วยเหตุผลค่อนข้างกว้าง ไม่ได้จํากดเฉพาะความ นิยมในพรรคประชาธิปัตย์หรือความเป็ นคนใต้ ดงในกรณีศกษาคนใต้ที่แฟลตคลองจน่ั
14 คนใต้แฟลตคลองจน่ หลายคนเคยร่วมการชมนมในชวงพนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เช่น รายหน่ึงเล่าว่า “ไปร่วมต่อต้านทกษิณครัง
แรกก็คือ เข้าร่วมเป็ นมวลชนกับพนธมิตรฯ ที่สี่แยกคอกวว มฆวาน สวนลมพิุ นี ไปนั่งฟังปราศรยั ร่วมม็อบ ไปกับเพื่อนหลายคน” (“ต้อม”
สมภาษณ์ใน ชลิตา 2560) ส่วนอีกรายเล่าถึงเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นในระหว่างร่วมชุมนุมกับพนธมิตรฯ ว่า “ตอนนน้ หน้าอาคารรัฐสภาไทย
วนที่ 7 ตลาคม พ.ศ. 2551 ตํารวจใช้แก็สนําตาเข้าใส่ผ้ชู มนม
ตอนนน้ หลบอย่างเดียว วนนน้ เหตการณ์รุนแรงมากท่ีสด
เพราะตํารวจเป็ นผ้เริ่ม
ใช้ความรุนแรงกบผ้ชู มนมก่อน” (“พ่ีแป๊ ะ” สมภาษณ์ใน เพิ่งอ้าง) ทว่าเม่ือเทียบกบความตื่นตวและความคึกคกในการเข้าร่วมของคนใต้แฟลต
คลองจนั ยงถือได้ว่ามีน้อยอย่เมื่อเทียบกบการเข้าร่วมการชมนม กปปส.
3.2.2 “คนใต้” แฟลตคลองจ่ัน
แฟลตคลองจน
เป็ นสวนหนง่ ของโครงการเคหะชมชนคลองจน
สร้างขน้ ในปี พ.ศ. 2519 ตง้ อย่
ระหวางถนนสขาภิบาล 1 กบถนนสขาภิบาล 2 ตรงข้ามสถาบนบณฑิตพฒนบริหารศาสตร์ เขตบางกะป
กรุงเทพฯ เพื่อรองรับการอยอ
าศยของผ้ม
ีรายได้ทกระดบ
มีการจดผงเป็ นสดสวนตามระดบรายได้ จําแนก
ตามขนาดที่ดน
โดยที่อย่ของผ้ม
ีรายได้สงจะอย่ในรูปบ้านเดี่ยวและของผ้ม
ีรายได้ปานกลางคอนข้างสงจะ
อย่ในรูปตกแถวสามชนั
ทง้ บ้านเดี่ยวและตกแถวจะอย่ในโซนท่ีเรียกวา
“การ์เด้นท์อพาร์ทเม้นท์” สวนที่อย่
อาศยสําหรับผ้ม
ีรายได้ปานกลางคอนข้างตํ่าและรายได้ตํ่าจะอย่บริเวณแฟลต 5 ชนั
มีทง้ สิน
30 อาคาร
แฟลตหมายเลข 1-15 เป็ นแฟลตสําหรับผ้มีรายไดปานกลางลงมาจนคอ้ นขางตาํ่้ สวนอาคารท่ี 16-30 เป็ น
แฟลตสําหรับผ้มีรายไดตาํ่้ (สายใจ คม้ ขนาบ อางใน้ ชลตา 2560)
แฟลตเหลานีเป็ นโครงการที่อย่อาศยแบบเช่าซือ
มีระยะการผ่อนสง
20 ปี อยางไรก็ดี ผ้ท
ี่อย่อาศย
ในแฟลตคลองจนสวนใหญไม่่ ใช่เจ้าของทเ่ี ป็ นผเ้ ชาชอื่ สทธจาิ กการเคหะฯ แตเป็ นผเ้ ช่ารายเดอนื โดยในชวง่
ต้นทศวรรษ 2530 ผ้เช่าสวนใหญ่เป็ นนกศกษามหาวิทยาลยรามคําแหง ที่มกชกชวนนกศกษารุ่นน้องที่เป็ น
คนใต้ด้วยกนให้มาอย่ผลดเปลี่ยนหมนเวียนกน
เพราะอย่ใกล้มหาวิทยาลยรามคําแหง ทวาปัจจบ
นจํานวน
นกศกษามหาวิทยาลยรามคําแหงที่อาศยอย่ท
ี่แฟลตคลองจน
ได้ลดลงไปมาก เน่ืองจากต้องไปเรียนไกลที่
มหาวิทยาลยรามคําแหงแห่งที่ 2 (บางนา) และในระยะหลงนกศกษาจากภาคใต้นิยมพกอาศยอย่ตาม
หอพก
อพาร์ทเม้นต์ และบ้านเช่าบริเวณหน้ามหาวิทยาลยรามคําแหงมากขนึ
เนื่องจากมีความสะดวกใน
การเดินทางมากกว่า ขณะที่ผ้อย่อาศยแฟลตคลองจน
ปัจจบ
นสวนใหญ่เป็ นคนตง้ แตว
ยทํางานขน้ ไป และ
เป็ นกลม คนใต้
คนที่เร่ิมมีการก่อร่างครอบครัว รวมทง้ บางสวนท่ีอย่แบบครอบครัวขยาย กระนน
สวนใหญ่ก็ยงเป็ น
3.2.2.1 สถานะทางเศรษฐกิจ
คนใต้ที่แฟลตคลองจน
ส่วนใหญ่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสงคมอย่ในกล่มชนชน
กลางระดบล่าง
คือ ไม่ได้ยากจนข้นแค้นและมีรูปแบบการใช้ชีวิตในหลายส่วนที่ดคล้ายคลึงกบชนชนกลาง เช่น มีรถยนต์
ส่วนตว มีการเดนทางท่ิ องเท่ียวและจบจ่ายใช้สอย บางรายมีการศึกษาในระดบปรญญาโทิ แต่ก็ไม่ได้มี
อาชีพการงานมน
คง คนที่ทํางานประจํามกเป็ นพนกงานระดบลางหรือลกจ้างชว
คราวของบริษัทเอกชนหรือ
หน่วยราชการ สวนใหญ่อย่ในวยหน่มสาวและวยทํางาน คือ มีอายระหว่าง 20 ตอนกลางถึงวย 40 ตอนตน้
เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ไม่ต่ํากว่า 15 ปี เริ่มต้นเข้ากรุงเทพฯ เพ่ือมาเรียนต่อ และเม่ือจบการศึกษาในระดบั ปริญญาตรีแล้วก็หางานทําและดํารงชีวิตตอในกรุงเทพฯ มาโดยตลอด
สําหรับผู้ไม่ได้ทํางานประจํามกประกอบอาชีพค้าขายหรือรับจ้างอิสระ ส่วนใหญ่ทํามาหากินอย่
บริเวณแฟลต เช่น ขายอาหารตามสง ขายข้าวแกงปักษ์ใต้ ช่างเสริมสวย ช่างทากญแจุํ ช่างซ่อมรองเท้า
ขายวตถด
ิบอาหารจากภาคใต้ กล่มนีส้ ่วนใหญ่อย่ในวยกลางคนหรือมีอายต
ง้ แต่ 40-45 ปี ขึนไป เรียนจบ
แคชนมธยมตอนตนหรอปลายื้ เขามาอาศย้ อย่ในกรงเทพฯุ ไม่ตากว่ํ่ า 25-30 ปี มาแล้ว แม้ทกวนนีคนกลม่ นี
จะมีรายได้เป็ นประจําทุกวน
แต่ก็เป็ นรายได้ท่ีเพียงพอแก่การดํารงชีพตามอตภาพเท่านนั
เช่น มีกําไรจาก
การขายอาหารตามสง่ สปดาห์ละ 4-5 พนบาท พวกเขาทํามาหากินกบเศรษฐกิจนอกระบบแบบล่มๆ ดอนๆ
มีประวต
ิการส้ช
ีวิตและปรับตวตามเงื่อนไขที่ตนกําหนดไม่ได้มาโดยตลอด เช่น รายหนึ่งเคยถกขบไล่ไม่ให้
ตง้ แผงขายผกริมทางหน้าตลาดบางกะปิ ในช่วงที่มีการก่อสร้ างสะพานข้ามแยกบางกะปิ เมื่อหลายปี ก่อน รวมทง้ ในปัจจุบนแผงขายอาหารตามสงั ของเธอกําลงเผชิญกบความไม่แน่นอนจากการจดระเบียบพืนที่ ขายของภายในแฟลตโดยการเคหะแห่งชาติ
ขณะที่บางรายประกอบอาชีพในธุรกิจสีเทา เช่น ดแลวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างและพืนที่จอดรถยนต์
ในวนตลาดนด บางรายระบุได้ยากวาประกอบอาชพอะไรี่ ดงรายหน่ึงท่ี “ทํางาน” ใกลชิ้ ดกบนกการเมือง
ระดบท้องถ่ิน เช่น ขบรถและช่วยดแลความปลอดภยให้ รวมทง้ ทํางานให้เจ้าหน้าที่ฝ่ ายความมนคงในการ
“ดูแลความเรียบร้ อยต่างๆ” และ “ช่วยดูแลประชาชน” ในพืนที่ โดยท่ีไม่ได้มีตําแหน่งในโครงสร้ างของ หน่วยงาน อย่างไรก็ดี แม้คนเหล่านีจะมีสถานะทางเศรษฐกิจลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ต่าง (หรืออาจจะมากกว่า)
จากคนอื่นๆ แต่พวกเขามกเป็ นที่รู้จกในหม่คนใต้ในแฟลตคลองจนและได้รับการยอมรบในฐานะบคั คลที่มี
ความกว้างขวาง มีบทบาทสงในกิจการส่วนรวม บางรายรับตําแหน่งเป็ นผ้จดการแฟลต เป็ นผแ้ ก้ปัญหา
ตางๆ ในแฟลต และเป็ นผ้น
ําในการคดค้านนโยบายที่ผิดพลาดของการเคหะแห่งชาติ คนเหล่านีม
กถกเรียก
โดยมีคําว่า “พี่” นําหน้าชื่อแม้ผ้เรียกจะมีอายมากกว่าพวกเขา
อย่างไรก็ดี คนใต้ที่แฟลตคลองจ่นบางคนจดเป็ นชนชันกลางระดบกลาง แม้จะมีจํานวนไม่มาก เช่น ทํางานในรัฐวิสาหกิจในระดบหัวหน้างาน เป็ นเจ้าของห้อง (ในขณะท่ีคนส่วนใหญ่เป็ นเพียงผู้เช่า) รวมทง้ มีสวสดิการจากที่ทํางานในการก้เงินดอกเบียต่ํามาลงทนซือทรัพย์สินต่างๆ เช่น บ้าน รถยนต์ อาวธุ
ปื น เป็ นต้น ขณะที่ผ้ประกอบการอิสระบางรายอาจก่อร่างสร้างตวจนมีกิจการที่ดมนคงได้ เช่น รายหน่ึงเดมิ
ทํางานขบรถตู้ให้กับบริษัททัวร์ แต่ต่อมามีความอึดอดหลายอย่างจึงเร่ิมมาขบรถตู้ของตนเอง มีรายได้ เดือนละประมาณ 60,000 บาท พร้อมกบเปิ ดธุรกิจร้านกาแฟที่บ้านเกิดที่ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง โดยมีญาติพ่ี
น้องเป็ นผ้ดแลกิจการให้
สวนความสมพนธ์กบเศรษฐกิจในภม
ิลําเนาสามารถแบงได้สองลกษณะ ลกษณะแรกคือเป็ นผ้ท
ี่ยง
มีพ่อแม่และพี่น้องบางส่วนประกอบอาชีพในภาคการเกษตรอยู่ในภูมิลําเนาเดิม โดยทังหมดทําสวน
ยางพารา แต่สําหรับตัวเองเมื่อมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก็ทํางานต่ออยู่ที่กรุงเทพฯ และไม่ได้มีส่วน
เกี่ยวข้องกบการทําสวนยางพาราของท่ีบ้าน มีน้อยรายที่มีสวนยางของตนอย่ที่บ้านดวย้ ส่วนอกลกี ษณะ
คือไม่ได้มีชีวิตหรือภมิหลงสมพนธก์ บภาคเกษตร กล่มนีอยู่ในช่วงวยกลางคน หลายรายมภี ูมิหลงมาจาก
ครอบครัวเชือสายจีนท่ีประกอบอาชีพค้าขายมาตง้ แตร่ ุ่นพ่อแม่ ขณะที่คนรุ่นใหม่ในวย 20 ตอนปลายถึง 30
ตอนต้นมกมาจากครอบครัวข้าราชการระดบกลางถึงลาง่ มีน้อยมากท่ีมาจากครอบครัวเกษตรกร และย่ิง
น้อยไปอีกสําหรับรายท่ียงมีท่ีดินการเกษตรเป็ นมรดกตกทอดมาถึงตน
3.2.2.2 สภาพสังคมและวัฒนธรรม
เพราะเหตุที่ผู้พกอาศยส่วนใหญ่เป็ นคนใต้ จึงสามารถพบเห็นลกษณะทางสงคมและวฒนธรรม
ภาคใต้ได้โดยทว
ไปบริเวณแฟลตคลองจน
นบตง้ แต่ในส่วนของภาษา ซง่ มีการใช้ภาษาใต้ในชีวิตประจําวน
แทนจะเป็ นภาษากลาง ผู้สูงอายุท่ีมาอาศัยอยู่กับลูกหลานและพูดภาษากลางไม่ได้หรือพูดไม่ถนัด สามารถใช้แต่ภาษาใต้ได้ โดยไม่จําเป็ นต้องพูดภาษากลางในชีวิตประจําวันหรือในการประกอบธุรกิจ ขณะที่ในส่วนอาหารก็มีร้ านอาหารปักษ์ใต้เรียงรายสองข้างทางของถนนสายหลกในแฟลต ร้ านอาหาร เหล่านีนอกจากจะมีป้ ายบอกว่าขายอาหารปักษ์ใต้แล้ว ยงระบุจงหวดหรือกระทงั อําเภอด้วย เพราะแต่ละ จงหวดและอําเภอมีการปรุงอาหารเฉพาะตวระดบหนึ่ง นอกจากนี ้ มีร้ านนําชา/กาแฟตง้ กระจายตามมุม ต่างๆ เป็ นแหล่งพบปะสงสรรค์ของคนใต้ในลกษณะของ “สภากาแฟ” ในยามท่ีว่างเว้นจากการทํางาน รวมทังมีกรงนกเขาและนกกรงหัวจุกแขวนเรียงรายตามระเบียงตึกและพืนที่ต่างๆ ไม่นับรวมการมี สนามแข่งขนประชนเสียงนกตง้ อยู่ในบริเวณแฟลต เนื่องจากการเลียงนกเขาและนกกรงหัวจุกและการ แข่งขนเสียงนกเป็ นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหม่คนใต้
นอกจากนี ้ การจดงานบุญสารทเดือนสิบถือเป็ นกิจกรรมทางสงคมและวฒนธรรมสําคญในกลุ่ม
คนใต้ที่แฟลตคลองจั่น ผู้ให้ข้อมูลคนหนึ่งกล่าวว่ามีวตถุประสงค์เพ่ือ “ให้ผู้ท่ีไม่ได้กลบบ้านได้มีโอกาส
ทําบุญให้บรรพบุรุษท่ีล่วงลบ และได้รําลกถงรากเหึ ง้าความเป็ นคนใต้ของตวเอง” เนองจากสวนใหญ่่่ื ลา
งานไม่ได้ ไม่มีญาติพี่น้องท่ีภูมิลําเนาเดิมแล้ว รวมทง้ อาจไม่มีเงินมากพอสําหรับเดินทาง เดิมงานสารท
เดือนสิบที่แฟลตคลองจนเป็ นเพียงงานเลกๆ็ มีผ้รู ่วมจดเพียงไม่ก่ีรายและมีผ้เขารวมไม่่้ มาก ทว่าในชวงสาม่
สี่ปี ที่ผ่านมาได้ขยายตวใหญ่ขึน
จนกระทง
เป็ นงานประจําปี ของคนใต้ในละแวกใกล้เคียงด้วย15 โดยในป
15 ชลิตา (2560) เสนอว่า “ความเป็ นชมชนคนใต้” ไม่ได้จํากดเฉพาะที่แฟลตคลองจน
เท่านนั
หากแตย่ งขยายไปถึงบริเวณใกล้เคียงอย่างตลาด
บางกะปิ ที่นอกจากจะเป็ นท่ีขายปลีกและขายส่งวตถดุ ิบอาหารจากภาคใต้แล้ว ตลาดบางกะปิ ยงเป็ นแหล่งงานค้าขายปลีกให้คนใต้ที่ย้ายถ่ิน
ขึนมาทํางานท่ีกรุงเทพฯ อีกด้วย นอกจากนน้ การท่ีมีคนใต้อาศยอย่ในแฟลตคลองจน
มาก คนเหล่านีเมื่อเรียนจบการศึกษาในระดบ
ปวช. หรือ
ระดบปริญญาตรี ก็มกทํางานตามแหล่งงานที่อย่ไม่ไกลจากแฟลตคลองจน่ ท่ีเป็ นแหล่งที่พกอาศยของตน เช่น ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บาง กะปิ แมคโคร คาร์ฟูร์ รวมทง้ ในสํานกงานของการเคหะแห่งชาติเอง จนกล่าวกนว่าบางแผนกขององค์กรเหล่านีม้ ีคนใต้ทํางานเกือบทง้ หมด
พ.ศ. 2558 งานสารทเดือนสิบที่แฟลตคลองจน
ดําเนินไปอย่างคึกคก
มีทีมงานอาสามาจดเตรียมสถานที่
ส่วนกลาง ทําหน้าที่ตง้ เต็นท์ เตรียมเก้าอี ้ เตรียมเวที และตบแต่งสถานท่ี เช่น จัดเตรียมลาน “ชิงเปรต”
ขณะที่ผ้อาศยในแต่ละอาคารต่างก็เตรียมทํา “หมรับ” (พานสํารับอาหารคาวหวาน) ของอาคารตน เพื่อนํา
มาร่วมแห่ในขบวนใหญ่ ในคืนก่อนวนทําบญมีงานรื่นเริงเป็ นคอนเสิร์ตของวงดนตรีชาวใต้ชื่อดง เชน่ บ่าววี
และวงอื่นๆ รวมถึงมีการแสดงหนงตะลง
จากนน
ในช่วงเช้าก็มีการแห่ “หมรับ” ไปตามถนนใหญ่รอบชมชน
แฟลตคลองจ่ันและตลาดบางกะปิ มีการรํากลองยาวนําหน้าขบวนอย่างสนุกสนาน จากน เป็ นพิธีทาง
ศาสนา และงานจบด้วยพิธีชิงเปรต ในงานมีทง้ คนแก่ คนวยกลางคน วยรุ่น และเด็กจํานวนมาก ทง้ คนที่ อาศยอยู่ในแฟลตและที่อื่นในกรุงเทพฯ หลายคนได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนาน งานสารทเดือนสิบที่
แฟลตคลองจน
จึงไม่เพียงแตกระชบความสมพนธ์ทางสงคมของคนใต้ท่ีแฟลตคลองจน
และในกรุงเทพฯ ให้
มีความแน่นแฟ้ นยิ่งขึน อย่างสําคญั
หากแต่ยงั เน้นยําความเป็ นคนใต้ผ่านการสืบสานประเพณีความเชื่อให้คนรุ่นหลง
เพราะเหตุที่แฟลตคลองจ่ันมีสภาพสงคมและวฒนธรรมไม่แตกต่างจากภาคใต้ คนใต้ที่แฟลต
คลองจน
จึงรู้สึกว่า “ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนอย่ใต้ อย่บ
้านเรา” พวกเขามองว่าตนมีคณลกษณะความเป็ น
คนใต้อย่างเต็มเป่ี ยม ไม่ต่างอะไรจากคนใต้ที่อาศยอยู่ในภาคใต้ และถือว่าตนเป็ นส่วนหนึ่งของคนใต้ โดยรวม แม้ว่าหลายคนได้เข้ามาดําเนินชีวิตในกรุงเทพฯ มานานถึง 25-30 ปี แล้ว และบางรายไม่ได้กลบั บ้านเกิดมานานหลายปี แล้วก็ตาม ดงที่รายหน่ึงกลาวว่า “ตวพี่ยงเป็ นคนใต้นะ ถึงแม้จะอย่กรุงเทพฯ มา 25 ปี ได้แล้ว เวลาพูดก็จะติดสําเนียงคนใต้มากกว่าภาษากลาง พี่ก็ไม่พยายามดดนะ เราก็รักษาสําเนียงเรา
เอาไว้ คนใต้เป็ นคนพูดจาเสียงดง แสดงถงความเึ ข้มแขง็ มีความชดเจน ดเหมอนื ก้าวร้ าวแต่จริงๆ แล้ว
ไม่ใช่ พี่ว่าความเป็ นคนใต้ไม่จําเป็ นต้องอย่ท
ี่ภาคใต้เท่านนั
อย่ท
ี่ไหนก็ได้ และวฒนธรรมของคนใต้เป็ นส่ิงที่
ต้องรักษาเอาไว้” (“พี่มด” สมภาษณ์ใน ชลิตา 2560) เป็ นต้น
นอกจากนี ้ ความเป็ น “คนใต้” ของพวกเขายังเกี่ยวโยงกับชีวิตทางการเมืองของพวกเขาอย่าง
สําคญ ทง้ ในสวนการเมองเลอกตงืื ้ และโดยเฉพาะอย่างยงคอการเคล่ืื่ิ อนไหวทางการเมืองในทศวรรษเศษท่ี
ผ่านมา
3.2.2.3 ชีวิตทางการเมือง: พรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ และ กปปส.
นอกจากสภาพทางสงคมและวฒ
นธรรม คณลกษณะอีกประการที่คนใต้แฟลตคลองจน
คล้ายคลึง
กบคนใต้ในภมิลําเนาคอื ทศนะและจดยืนทางการเมือง นบตง้ แตในสวนการเมองเลอกตงืื่่ ้ ท่ีพวกเขาให้การ
สนบสนนพรรคประชาธิปัตย์ โดยหากเป็ นกลมวยกลางคนขน้ ไป พรรคประชาธปัิ ตย์มีฐานะเป็ นสงผก่ิ พนมา
ทง้ นีย้ งไม่ต้องพูดถึงมหาวิทยาลยรามคําแหงที่มีช่ือเสียงเป็ นท่ีรู้จกในฐานะท่ีเป็ นมหาวิทยาลยที่มีนกศึกษาจากภาคใต้เป็ นจํานวนมาก และ นกศกษาจากภาคใต้ก็มีบทบาทในกิจกรรมทางการเมืองและทางสงคมต่างๆ ในมหาวิทยาลยอย่างคกคกั
ตง้ แต่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือตง้ แต่สมยพวกเขายงเด็ก จึงมีความลึกซึงและเหนียวแน่นเป็ นอย่างยิ่ง พวกเขา
ชื่นชอบนายชวน หลีกภย อดตหี วหน้าพรรคประชาธปัิ ตย์ ท่ีมีภาพลกษณ์เรยบงายและซ่ื่ี อสตย์สจรติ ส่วน
ในกลุ่มวัยกลางคนลงมาจะมีความหลากหลายกว่า แม้ ว่าส่วนใหญ่จะยังให้ การสนับสนุนพรรค ประชาธิปัตย์ โดยสามารถจําแนกผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ออกเป็ นสองกลุ่มตามความเกี่ยวข้อง
สมพนธ์กับพรรค คือกลุ่ม “แฟนคลบ/แม่ยก” หรอกลุ่ื มทั่วไปท่ีให้การสนับสนนพรรคุ และกลุ่มท่ีมีความ
เชื่อมโยงและทํางานให้บุคคลในพรรคท่ีดํารงตําแหน่งทางการเมือง เช่น สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร
(ส.ก.) และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.)
อย่างไรก็ดี คนใต้แฟลตคลองจน
จํานวนหนง่ ไม่ได้เป็ นทงั
“แฟนคลบ
/แม่ยก” พรรคประชาธิปัตย์
และไม่ได้อย่ในเครือข่ายความสมพนธ์สวนตวใดๆ กบพรรค พวกเขามองว่าพรรคประชาธิปัตย์มีทง้ สวนดี และสวนเสีย และมกอธิบายว่าในอดีตที่ผ่านมาตนฟังการปราศรัยของทกพรรคการเมือง ทง้ เวทีใหญ่ เช่น สนามหลวง และเวทีเลกตามชมชนตางๆ และเคยชื่นชอบนกการเมืองจากหลายฝ่ าย ในการลงคะแนน เลือก ส.ส. ก็เคยลงให้คะแนนให้กบพรรคอื่นนอกเหนือจากพรรคประชาธิปัตย์ เช่น พรรคพลงธรรม
นอกจากนี ้ บางรายซงึ สวนมากเป็ นคนรุ่นใหมหรือกลม่ “อดมการณ์/เสรชนี ” ไม่ได้มีความชนชอบหรื่ื อ
ผกพนกบพรรคประชาธิปัตย์ รวมทง้ นกการเมืองและพรรคการเมืองอ่ืน เนื่องจากเห็นวานกการเมืองและ พรรคการเมืองไม่ซื่อตรงหรือจริงใจตอประชาชน พวกเขามกมีประสบการณ์ในการทํากิจกรรมทางสงคม การเมืองมาก่อน ตง้ แตสมยเป็ นนกศกษามหาวิทยาลยรามคําแหง เช่น เป็ นสมาชิกพรรคสานแสงทอง และ
เคยเข้าร่วมการชมนมทางการเมืองมาก่อน โดยเฉพาะอย่างย่งคือการขบไลพลเอกสจ พ.ศ. 2535 รวมทง้ เข้าร่วมการประท้วงกรณีราคายางพาราในภาคใต้
ินดา คราประยร
ในป
อย่างไรก็ดี คนใต้แฟลตคลองจน
กลม
นีม้ ีไม่มาก สวนใหญ่จะให้การสนบสนนพรรคประชาธิปัตย์
แม้บางรายจะสงวนท่าทีอยบ่ ้าง ซง่ นอกจากคากลาํ วของพวกเขา ผลการเลอกื ตง้ เป็ นตวบงชีหรอเครื่ื อง
ยืนยนการสนบสนนพรรคประชาธิปัตย์ของคนใต้แฟลตคลองจนเป็ นอย่างดี โดยพรรคประชาธิปัตย์เรม่ิ
ครองเก้าอีทางการเมืองระดบท้องถิ่นและระดบชาติในเขตบางกะปิ ซงึ แฟลตคลองจน
ตง้ อย่ต
ง้ แตประมาณ
ทศวรรษ 2530 เป็ นต้นมา จนกระทงั ใน พ.ศ. 2554 พรรคประชาธิปัตย์สามารถครองเก้าอีทางการเมืองใน
เขตนีได้ทกระดบ ตง้ แตสมาชกสภาเขติ (ส.ข.) สมาชิกสภากรงเทพมหานครุ (ส.ก.) ไปจนกระทง
สมาชิกสภาผ้แทนราษฎร (ส.ส.) ประการสําคญ
ผ้ด
ํารงตําแหน่งทางการเมืองทง้ สามระดบล้วนแตเป็ นคน
ใต้ ทง้ นี ้ นอกจากเพราะเป็ นพรรคประชาธิปัตย์ บางคนกลาววาการที่พวกเขาเลือก ส.ข. ส.ก. และ ส.ส.
จากพรรคการเมืองเดียวกนเป็ นเพราะจะทําให้การทํางานตางๆ เป็ นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะการทํางาน ของ ส.ก. และ ส.ข. ที่ต้องใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกบชีวิตความเป็ นอย่ของประชาชน
ทง้ นี ้ นอกจากให้การสนบสนนพรรคประชาธิปัตย์ คนใต้แฟลตคลองจนมสวี นร่วมและให้การ
สนบสนน
กปปส. เหมือนเช่นคนใต้ในภม
ิลําเนา พวกเขาเข้าร่วม กปปส. ตง้ แตว
นแรกที่มีการนดชมนม
คดค้านพระราชบญญตินิรโทษกรรมท่ีสถานีรถไฟสามเสน จากนน้ ทกกิจกรรมและการเคลอนไหวของ่ื
กปปส. ก็จะมีคนใต้แฟลตคลองจนเขารวมด้่้ วยเสมอ ดงกรณี “พ่ีโดม”
“พ่ีโดม” อายุ 50 ปี ประกอบอาชีพรับงานตดเสือจากโรงงาน เขาขน้ มาเรียนและทํางานใน กรุงเทพฯ ได้ประมาณ 30 ปี แล้ว เป็ น “แฟนพนธ์ุแท้” พรรคประชาธิปัตย์และเข้าร่วมการชมนมทาง การเมืองมาตง้ แตสมยพนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สวนในช่วงการชมนมของ กปปส. เขาเข้าร่วม กิจกรรมดงนี ้
1. ช่วงการชุมนุมที่สถานีรถไฟสามเสน เขาเข้าร่วมในฐานะมวลชน โดยไปพร้ อมกบเพื่อนๆ ใน แฟลต เดินทางไปกลบโดยรถจกรยานยนต์สวนตวั
2. ช่วงการชุมนุมที่อนสาวรีย์ประชาธิปไตย เขาไปร่วมฟังปราศรัย เดินขบวน ซือของที่ระลึก เช่น
เสือ หมวก ผ้าพนคอ โดยไปพร้ อมกบเพ่ือนๆ ในแฟลต เดินทางไปกลบโดยรถจกรยานยนต์
สวนตวั
3. ช่วงระดมมวลชนหนึ่งล้านคน เขาเข้าร่วมในฐานะมวลชน โดยไปพร้ อมกับเพื่อนๆ ในแฟลต เดินทางไปกลบโดยรถจกรยานยนต์สวนตวั
4. ช่วง “ปิ ดประเทศไทย” เขาเข้าร่วมเป็ นผ้ด
แลความปลอดภยให้กบผ้ช
มนมที่ศนย์ราชการแจ้ง
วฒนะ เดินทางไปกลบด้วยรถจกรยานยนต์สวนตว
5. ช่วงปฏิบต
ิการ “ปิ ดกรุงเทพฯ” เขาเข้าร่วมการชมนุมที่แยกอโศกบ่อยครังท่ีสด
เพราะมีเพื่อน
เป็ นการ์ดรักษาความปลอดภยอย่ที่เวทีนนั
6. ช่วงการหยดยง้ การเลือกตงั เขาเขารวม่้ ปิ ดหน่วยเลอกตงื ้ ท่ีสํานกงานเขตบงกม่
7. ช่วงการชมนมที่สวนลมพินี เขาเข้าร่วมในฐานะมวลชน และฟังปราศรัย
ทังนี ้ คนใต้แฟลตคลองจั่นเข้าร่วมชุมนุม กปปส. อย่างคึกคกกว้างขวางกว่าการเข้าร่วมชุมนุม
พนธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาก ซ่ึงในช่วงนนมเพีี ยงบางรายโดยเฉพาะในสาย “อดมการณ์/เสรี
ชน” ท่ีเข้าร่วมการชุมนุมพนธมิตรฯ เป็ นระยะเพื่อ “ไปรับรู้ข้อมลข่าวสาร รู้ว่าระบอบทกษิณทําไม่ดีอะไรไว้
บ้าง” และมีสาย “ฮาร์ดคอร์” ไปร่วมเป็ นแนวหน้า เช่น การยึดทําเนียบรัฐบาล ส่วนคนใต้แฟลตคลองจน
โดยทว
ไปจะสนบสนุนและให้กําลงใจอย่ห
่างๆ ซง
การที่ต่อมา กปปส. มีแกนนําเป็ นอดีตนกการเมืองพรรค
ประชาธิปัตย์และเป็ นคนใต้ รวมทง้ มีคนจากภาคใต้เข้าร่วมการชุมนุมเป็ นจํานวนมาก ก็เป็ นสาเหตุและ
ปัจจยสําคญที่สงผลให้คนใต้แฟลตคลองจน
เข้าร่วมการชมนม
กปปส. กนอย่างคกคกในท่ีสด
อย่างไรก็ดี นอกจากพรรคประชาธิปัตย์รวมถึงความเป็ นคนใต้แล้ว สาเหตที่คนใต้แฟลตคลองจน
เข้าร่วมชุมนุม กปปส. กนเป็ นจํานวนมากเป็ นเพราะพวกเขาเห็นว่ามีการคอรัปชนของรัฐบาลใน “ระบอบ
ทกษิณ” มีการลบหล่ดหมนสถาบน่ิ พระมหากษตริั ย์ และมีการลแก่อํานาจ การละเมดสทธมนุิิิ ษยชน และ
ความผิดพลาดในการดําเนินนโยบาย โดยแต่ละกล่ม
ซง่ ประกอบด้วยกล่ม
“แฟนคลบ
/แม่ยก” กล่ม
“ลกพี่”
และกลุ่ม “อุดมการณ์/เสรีชน ให้นําหนกและเหตุผลแต่ละข้อต่างก ออกไป กลาวในสวนคอรปชั่่ ัน กลุ่ม
“อุดมการณ์/เสรีชน” มักอธิบายการคอร์รัปชนในเชิงหลกการ เพื่อชีให้เห็นความรุนแรงของการโกงของ
“ระบอบทกษิณ” ที่ถือว่าร้ายแรงที่สดเท่าที่เคยมีมาในสงคมไทยและฝังรากลกในทกระดบ บางรายเคยรู้สก
ชื่นชอบ พ.ต.ท.ทกษิณ มาก่อนเพราะ “บริหารเก่ง ฉลาด ทําให้เศรษฐกิจดี” แต่เม่ือเริ่มมีกระแสการคอร์รัป-
ชนก็เริ่มรู้สกไม่ชอบใจ คิดว่าไม่ใช่สิ่งที่ถกต้อง สวนกลม่
“แฟนคลบ
/แม่ยก” การคอร์รัปชนมีความสําคญต่อ
อารมณ์ความรู้สกของพวกเธออย่างมาก รวมทง้ เกี่ยวข้องกบความเป็ นตวตน หรือความภาคภมิใจในตวเอง
ของเธอในการยืนหยัด “ความถูกต้อง” ด้วย ขณะที่กลุ่ม “ลูกพ่ี” ซ่ึงทํางานกับนักการเมืองและพรรค ประชาธิปัตย์ มองการคอร์รัปชันเป็ นสิ่งปกติธรรมดาท่ีเกิดขึนมาตลอด เพราะได้พบเห็นด้วยตนเองจาก ความใกล้ชิดนกการเมืองและสวนราชการตางๆ แม้พวกเขาจะเห็นว่าการคอร์รัปชนของ “ระบอบทกษิณ” มี ความรุนแรงกว่าที่ผ่านมา
แม้ประเด็นการคอร์รัปชนจะสําคญ
แตเมื่อเทียบกบประเด็นการ “หมิ่นสถาบน
” ของ พ.ต.ท.ทกษิณ
และ “คนเสือแดง” การคอร์รัปชันก็กลายเป็ นเร่ืองรองสําหรับคนใต้แฟลตคลองจั่นที่เข้าร่วมชุมนุมกับ
กปปส. ดงที่ “น้ารุ่ง” ซง่ จดเป็ นกล่ม
“แฟนคลบ
/แม่ยก” กล่าวว่า “แต่ถ้าให้เทียบนะ เรื่องคอร์รัปชนกบเรื่อง
(หม่ิน) ในหลวง เรื่องหมิ่นนี่สําคญกว่า สําคญที่สด” (“น้ารงุ่ ” สมภาษณใน์ ชลิตา 2560) เชนเดยวกี่ บกล่ม
“อดมการณ์/เสรีชน” ท่ีถือประเด็นการ “หมิ่นเจ้า” เป็ นท่ีหนึ่งเช่นกน ดงท่ีรายหนึ่งกลาวว่า “การหมนเจาเ้่ิ ป็ น
สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ คนเสือแดงอาจไม่ได้ด่าเจ้าโดยตรง แต่ทําให้ดูหมิ่นเหม่...สิ่งท่ีค้มค่าที่สดกับการเสี่ยง
ตายไปร่วมชมนม จนในท่ีสดเกิดการรฐประหารั ก็คือการได้จดการกบพวกหมนเจา้่ิ ” (“น้องเอก” สมภาษณ์
ใน เพ่ิงอ้าง) ส่วนกล่ม “ลกพ่ี” นอกจากจะอาศยขออ้้ างเก่ียวกบสถาบนในการสร้างความชอบธรรมให้กบ
การเคลื่อนไหวของพวกตนมาอย่างตอเนื่อง พวกเขามีเป้ าหมายในการปกป้ องสถาบนพระมหากษัตริย์เป็ น
หลก
เหมือนเช่นคนกลม
อ่ืนในการเข้าร่วมชมนม
กปปส.
ส่วนการลแก่อํานาจ การละเมิดสิทธิมนษยชน และความผิดพลาดในการดําเนินนโยบาย ชาวใต้
แฟลตคลองจน
โดยเฉพาะกล่ม
“อุดมการณ์/เสรีชน” มีคําถามและเห็นข้อเสียของนโยบายและการบริหาร
ประเทศของรัฐบาลทกษิณและรัฐบาลยิ่งลกษณ์อย่างมาก พวกเขาสามารถจดจําเหตุการณ์ในอดีตและ ลําดบพฒนาการของการลแก่อํานาจของรัฐบาลทกษิณได้อย่างถกต้องแม่นยํา บางรายกล่าวว่า เดิมตนชื่น ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก แต่ต่อมาก็ไม่สามารถรับการกระทําที่ลุแก่อํานาจและการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนของเขาได้ ส่วนกล่ม “ลกพ่ี” ซึ่งมประสบกาี รณ์ทํางาน “วงใน” กบนกการเมืองและเจ้าหน้าท่ีรัฐ
เช่น “พี่โป้ ง” แม้จะเห็นว่าการใช้ความรุนแรงขจดคนท่ีทําผิดกฎหมายอาจเป็ นสิ่งที่สามารถเกิดขึนได้ แต่เขา
ก็เห็นว่าความผิดพลาดในการกระทําเช่นนีม
ีมากในช่วงรัฐบาลทกษิณ นอกจากนี ้ คนใต้แฟลตคลองจน
เห็น
ว่านอกจากนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” แล้ว นโยบายประชานิยมอื่นๆ ของรัฐบาลทักษิณไม่มี
ประโยชน์และไม่มีความเก่ียวข้องกบชีวิตพวกเขา ขณะท่ีในสวนรัฐบาลยิ่งลกษณ์ กลม่ “อดมการณ์/เสรชนี ”
ที่สนใจติดตามข่าวสารเห็นว่า มีปัญหาด้านประสิทธิภาพการบริหารงานอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการรับ
จํานําข้าว ที่พวกเขาเห็นว่าเป็ นนโยบายที่เอือประโยชน์ต่อนายทุนเป็ นหล อีกทังยังมการที ุจรตอย่ิ าง
กว้างขวาง นโยบายด้านพลงงานก็เอือแต่นายทนท่ีเป็ นพวกพ้อง เหล่านีล้ ้วนเป็ นเหตผลให้พวกเขาเข้าร่วม
การชมนม กปปส. ในท่ีสด
คนใต้แฟลตคลองจน
เข้าร่วมชมนม
กปปส. ในหลายลกษณะ นบตง้ แต่การฟังปราศรัยทง้ เวทีใหญ่
และเวทีเล็ก โดยอาจจะต่างคนต่างไป หรือไปกนเป็ นกล่ม 2-3 คน ส่วนใหญไปร่่ วมในชวงเย็่ นหลงเลกงานิ
และกลบบ้านตอนดึก สําหรับคนที่ใช้รถจกรยานยนต์เป็ นพาหนะและไม่ได้ทํางานประจําก็สามารถร่วม
กิจกรรม “ดาวกระจาย” ปิ ดหน่วยงานราชการต่างๆ ได้บ่อยครัง และหากมีการระดมพลใหญก็่ อาจร่วมกน
ไปเป็ นคณะใหญ่ มีกิจกรรมพเศษ เช่น ทําอาหารไปแจกจ่ายในที่ชมนม โดยในชวงที่่ ทหารเรมออกมารกษาั่ิ
ความสงบก่อนการรัฐประหาร กล่มผ้หญิงวยกลางคนพากนไปให้กําลงใจทหารด้วยการทําเครื่องดื่มหลาก ชนิด ใส่ขวดแช่เย็นไปแจกทหารที่ปฏิบัติหน้าท่ีตามป้ อมต่างๆ ในย่านบางกะปิ ขณะที่ในช่วงท่ีมีการ
เลือกตง้ ล่วงหน้าและการเลือกตง้ ทว
ไปในวนท่ี 2 กมภาพนธ์ 2557 พวกเขาร่วมขดขวางการเลือกตงั
หลาย
รายได้เข้าร่วมในการปิ ดหน่วยเลือกตง้ ที่โรงเรียนบ้านบางกะปิ ซง่ อย่ตรงข้ามแฟลตคลองจน และปิ ดหน่วย
เลือกตง้ อ่ืนท่ีอย่ใกล้เคียงในเขตบงก่ม เขตคนนายาว และเขตบงทองหลาง
นอกจากนี ้ การเข้าร่วมชุมนุม กปปส. ของพวกเขาเป็ นไปอย่างทุ่มเท เกาะติด ยอมเหน็ดเหนื่อย ยอมเส่ียงอนตรายด้วยความฮึกเหิมและจิตใจที่กล้าหาญไม่กลวตาย ในสถานการณ์ที่มีการปะทะและการ
สลายการชมนม
หรือการก่อกวนของผ้ไม่ทราบฝ่ าย บางคนทําหน้าที่เป็ นแนวหน้าในม็อบในยามคบขน
เช่น
“พ่ีมด” เล่าว่าตนเข้าร่วมการชุมนุม กปปส. ในเกือบทกแห่ง ส่วนใหญ่เป็ นการเดินขบวน แต่ในช่วงที่มีการ
“ปิ ดกรุงเทพฯ” เขาไปอย่ที่ศนยราชการแจ้์ งวฒนะ ทําหน้าทด่ี แลความปลอดภยให้กบผ้มารวมชมนุุ่ ม ซึ่ง
เป็ นลกษณะการเข้าร่วมที่ต่างจากชนชันกลางอ่ืนๆ และชนชันสูง ท่ีมกมาร่วมชุมนุมเป็ นครังคราวและ ชมนุมในจุดที่มีอนตรายน้อย โดยการเข้าร่วมชุมนุมอย่างทุ่มเทและเสี่ยงอนตรายเช่นนีเกิดขึนในหม่คนใต้ แฟลตคลองจ่ันทั่วไป ไม่ได้จํากัดเฉพาะผู้ท่ีมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายวงในของแกนนํา กปปส. หรือ
นกการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ที่มักมีปฏิบติการทางยุทธวิธีบางอย่างระหวางการชุ่ มนุมแตกต่างจาก
ผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยท่วไป ซึ่งความกล้าหาญไม่กลวภยนตรายในการร่วมชุมนุมก
กปสส. เช่นนีม
ีความ
เกี่ยวข้องโดยตรงกบกบอตลกษณ์ “คนใต้” ที่พวกเขายดถือ ดงจะได้กลาวถึงในบทตอไป
บทท่ี 4 อตลักษณ์ผู้สนับสนุน “ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย”
ผ้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” หมายความตนเองและถกหมายความในหลาย ลกษณะ โดยผู้สนบสนุนหลกสองกลุ่ม คือ ชนชันกลางในกรุงเทพฯ และคนใต้ย้ายถ่ินที่แฟลตคลองจั่น
หมายความตนเองบนฐานของชาติพนธ์ุและภูมิภาคตามลําดบ ขณะเดียวกนพวกเขากหมายความต็ วเอง
เข้ากบสถาบนพระมหากษัตริย์แม้จะวางอยู่บนเง่ือนไขและกระบวนการต่างก รวมทง้ พวกเขามีสถานะ
ทางเศรษฐกิจและสงคมตางกน ขณะท่ีอกดานพวกเขาถก้ี หมายความโดยแกนนาในอกลกีํ ษณะ บทนีแสดง
ให้เห็นอตลกษณ์และกระบวนการสร้ างอตลกษณ์ดงกล่าวว่ามีลกษณะอย่างไร ก่อนจะกล่าวถึงอตลกษณ์
“คนดี” ที่สมพนธ์กบ “การเมืองคนด”ี เป็ นการเฉพาะในบทตอไป
4.1 “ลูกจีน”
เน่ืองจากชนชน
กลางในเมืองซง่ เป็ นผ้สนบสนนหลกกล่มหนึ่งของ “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศ
ไทย” จํานวนมากมีเชือสายจีน อตลกษณ์ “ลกจีน” จึงถกหยิบใช้ในการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะ
ในช่วงพนธมิตรฯ โดยนายสนธิ ลิมทองกุล แกนนําผ้มีเชือสายจีน มกเรยกตนเองและผู้ี เขารวมช่้ ุมนุมว่า
“ลกจีน” เนื่องจากผ้เข้าร่วมชมนมสวนใหญ่เป็ นคนไทยเชือสายจีนในกรุงเทพฯ ดงที่ว่า
“ผมเป็ นลูกคนจีน...ผมเด็กๆ พ่อตง้ ช่ือภาษาจีนให้...ช่ือผมภาษาไหหลําเขา
เรียก เหลียมเม้งตบ ภาษาจีนกลางเรยกวาหลิ่ี นหมิงตา๋ แปลว่าคนซงมควีึ่ ามสว่างใน
ตวเอง น้องๆ ของผมก็มีชื่อจีนหมด ลกของผมก็ยงมีชื่อจีนให้ เพราะมนปฏิเสธไม่ได้ว่า
บรรพบรุ ุษเรามีเชือสายจีน” (สนธิ ลิมทองกล, อางใน้ เนชนสดสปดาห์ 2551: 12)
นอกจากนี ้ นายสนธิมกเอ่ยชื่อพ่อค้าและนกธุรกิจคนไทยเชือสายจีนบนเวทีปราศรัยในการแสดง ความขอบคณท่ีบคคลเหลานีบริจาคเงินและให้การช่วยเหลือแก่พนธมิตรฯ ในด้านตางๆ ดงที่ว่า
“ปรบมือให้เจ้าของร้ านกวงเม้งหน่อยครับ...ร้ านถ่ัวตดกวงเม้ง...จิตใจน่ารัก มาก ขอมีส่วนร่วมในการทําความจริงด้วยการบริจาคมาเพื่อจ่ายค่าเคร่ืองเสียง” (สนธิ
ลิมทองกล และ
, เมืองไทยรายสปดาห์สญจรครังที่ 6, 29 ตลาคม 2548)
“เจ้าของร้ านทองก็ให้กําลงใจทุกคน อาเตี่ยอาม่าบอกดูรายการทุกวันศุกร์”
(สนธิ ลิมทองกล,เมืองไทยรายสปดาห์สญจรครงั ท่ี 15, 24 มกราคม 2549)
ประการสําคญ
หลงจากที่นายสมคร สนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนนั
กล่าวในเชิงดแคลนเชือ
สายจีนของเขา นายสนธิได้ตอบโต้ด้วยการชเชือสายจีนอย่างเข้มข้นผ่านการณรงค์ประเด็น “ลกจีนรักชาติ” และ “ลกจีนก้ชาติ” ดงคําปราศรัยท่ีว่า
“ย่ิงอย่ยิ่งเห็นความถ่อย พดได้ไงว่าใสเสอื่ ลกจนแลวทํ้ี าให้แตกแยก คณสมคร
ภาษาแต้จิ๋วบอกว่าเฉาฉย
2551)
และ
” (สนธิ ลิมทองกุล, อ้างใน ผ้จ
ดการออนไลน์, 5 สิงหาคม
“คณสมครคณมาพดให้แบ่งแยกทําไม เพราะถ้าลกจีนรักชาติ อย่างนนลกพระ
ยามันก็ขายชาติ...ดงนันเลิกพูดได้แล้วว่าพ่อผมเป็ นพระยา มันจะมีประโยชน์อะไร เวลานีล้ กจีนที่โบ๊เบ๊กําลงทําเสือลกพระยาขายชาติออกมาแจกแล้ว” (สนธิ ลิมทองกุล, อ้างใน เพิ่งอ้าง)
การอาศยอตลกษณ์ “ลกจีนรักชาติ” และ “ลกจีนกู้ชาติ” ในการเคลื่อนไหวของนายสนธิได้รับการ ตอบรับจากผ้เข้าร่วมชมนมพนธมิตรฯ เชือสายจีนอย่างกว้างขวาง ดงจะเห็นได้จากข้อความสกรีนบนเสือที่ ขายดีในการชมนมของพนธมิตรฯ ท่ีในช่วง พ.ศ. 2549 คือ “เราจะส้เพ่ือในหลวง” ทว่าหลงการรณรงค์ตอบ โต้ของนายสนธิดงกล่าวส่งผลให้ข้อความยอดนิยมที่สกรีนบนเสือใน พ.ศ. 2551 เปลี่ยนมาเป็ น “ลกจีนก้ ชาติ” แทน (กองบรรณาธิการมติชน 2551: 42, 53) ขณะที่บทวิเคราะห์ในนิตยสาร “เนชนสดสปดาห์” ระบุ ว่า “กลายเป็ นเรื่องเชียร์แขกให้ม็อบเมื่อสมครให้สมภาษณ์ว่า ‘ใส่เสือปลกระดมลกจีนมาก้ชาติ ผมกําลงให้
สนติบาลเขาดําเนินการในเรื่องนี’้ ซงปลกเร้ ามวลชนพนธมตรให้ิ ฮึกเหมจนทาให้ํิ เกดกระิ แสต่อตานและข้ ด
ขืนด้วยการซือเสือลกจีนรักชาติมาโชว์ราวกบเป็ นงานเดินแฟชน” (เนชนสดสปดาห์ 2551: 12)
ทง้ นี ้การหยิบใช้อตลกษณ์ “ลกจีนรักชาติ” และ “ลกจีนก้ชาติ” ของนายสนธิในการเคลื่อนไหวของ
พันธมิตรฯ ชีให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในการเมืองเร่ืองชาติพันธ์ุในรัฐไทยอย่างสําคญั เปล่ียนสถานะชาวจีนจากกล่มชาติพนธ์ุส่วนน้อยท่ีเคยถกเบียดขบออกจากชาติโดยชนชน
เพราะเป็ นการ นําไทยมาเป็ นผู้
กอบก้ชาติกลม
หลก
(ร่วมกบชนชน
นําไทยที่อย่เบืองหลงั ) กล่าวคือ การสร้างรัฐและชาติไทยมีลกษณะของ
การชกลม
ชาติพนธ์ุหลกขณะที่เบียดขบหรือกดทบกลม
ชาติพนธ์ุส่วนน้อย เพราะแม้รัชกาลที่ 5 จะทรงสร้าง
รัฐและชาติไทยด้วยการทลายรากเหง้าเฉพาะพร้ อมชมรดกร่วมแทน ทว่าชนชนปกครองรนถุ่ ดมากลบผูก
ชาติไทยเข้ากบกล่มชาติพนธ์ุไทเพียงกล่มเดียว (Keyes 1997a) พร้ อมกบดําเนินโครงการชาตินิยมอย่าง เข้มข้น โดยรัชกาลที่ 6 ไม่เพียงแสดงตนเป็ นนกชาตินิยมคนแรกของประเทศ หากแต่พระองค์ทรงขบเคลื่อน
ชาตินิยมฉบบทางการท่ียดโยงกบสถาบนกษัตริย์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การศกษาภาคบงคบ การโฆษณา
ชวนเช่ือ การเขียนประวติศาสตรฉบ์ บทางการ และการทหาร (Anderson 1996) พระองค์ทรงเห็นวา่ ทาง
เดียวที่จะรวมคนต่างชาติต่างภาษา ที่ไม่ได้เป็ นชุมชนเดียวกนในสยามประเทศเข้าไว้เป็ นชาติเดียวกนได้ คือให้ถือเอาชนเชือชาตไทยเป็ นตวตง้ หลกแกนของบ้านเมือง และเป็ นใหญ่ในทางการเมืองและวฒนธรรม (เกษียร 2537: 8-9)16 ขณะท่ีหลงเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลคณะราษฎรได้รือฟื นแนวคิดเร่ือง “คน
ไต” (Tai) เพื่อใช้เป็ นจดเชื่อมโยงกลม
คนพดภาษาไตท่ีอย่ภายในและนอกประเทศเข้าด้วยกน
รวมทง้ ใช้เป็ น
ฐานในการชูอุดมการณ์ชาตินิยมเชิงชาติพนธ์ุทวทง้ ภูมิภาคในชอื่ “มหาอาณาจกรไทย” (Keyes 1995,
Scupin 1986, Uthai 1988) โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลจอมพล ป. ได้ตราพระราชกําหนดรัฐนิยมซึ่ง นอกจากจะต้องการให้พลเมืองมี “ความเป็ นสากล” ตามนานาอารยะประเทศผ่านการแต่งกายและกริยา มารยาทแล้ว ยงต้องการผกความเป็ นชาติเข้ากบกล่มชาติพนธ์ุไทควบค่ไปกบการขจดคณลกษณ์ทางชาติ พนธ์ุอื่น ทง้ ที่อย่มาแต่เดิม เช่น ชาวมลายู (Anuar Nik Mahmud 1994, Chaiwat 1994, Che Man 1990,
Nantawan 1977, Scupin 1986, Uthai 1988) และที่อพยพเข้ามา เช่น ชาวจีน
ชาวจีนอพยพเข้าส่ประเทศไทยระลอกใหญ่ในสมยต้นรัตนโกสินทร์ด้วยหวงมาพึ่ง “แผ่นดินใต้พระ บรมโพธิสมภาร” ซึ่งแม้เอกสิทธิ์ที่ราชสํานักมอบให้พวกเขาเป็ นเสรีชนไม่ต้องสังกัดมูลนายเหมือนคน พืนเมือง จะเปิ ดโอกาสให้พวกเขาได้เลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจจากแรงงานเป็ นพ่อค้า นายหน้า เจ้าภาษี อากร เจ้าเมือง รวมไปถึงการลงทนในกิจการต่างๆ ทว่าพวกเขาก็ประสบปัญหาในการใช้ชีวิตและทํามาหา กินบนแผ่นดินไทยเช่นกัน นบตง้ แต่ในช่วงก่อนรัชกาลท่ี 3 ชาวจีนตามหวเมืองมกถูกกดขี่จากขุนนาง ท้องถ่ิน ขณะที่ตอมาในช่วงต้นพทธศตวรรษท่ี 24 พวกเขาถกรัฐบาลควบคมมากขึนเพราะความท่ีส่วนหนึ่ง ลกลอบทําธุรกิจผิดกฎหมาย ปล้นสะดม รวมถึงกระทําการลกฮือ นอกจากนี ้ ใน พ.ศ. 2453 รัฐบาลได้เรียก เก็บเงินค่าผกปี จากพวกเขาสงขึนจนบางส่วนไม่พอใจ ปิ ดร้านค้า นดหยดงาน และก่อการจลาจล ส่งผลให้
รัฐบาลสงกําลงมาปราบ ประการสําคญ
รัชกาลท่ี 6 ทรงต่อต้านชาวจีนอย่างเด่นชด
พระองค์ไม่อนญาตให้
ชาวจีนเข้าเฝ้ าตอนขน้ ครองราชย์เพราะทรงฝังใจกบการลกฮือของชาวจีน ต่อมาพระองค์ทรงนิพนธ์หนงสือ
“ยิวแห่งบูรพทิศ” ซึ่งเป็ นหมดหมายสําคญของนกชาตินิยมไทยต่อมาที่มองว่าจีนเป็ นปัญหา ไม่สามารถ
กลืนกลายได้ เพราะเป็ นพวกที่มีความภกดีต่อเชือชาตและมีความรู้สกว่าเหนือกว่าคนไทย ขณะที่ชนชนนํา
ไทยท่ีไปเรียนยุโรปได้รับอิทธิพลจากกระแสต่อต้านชาวจีนในทํานองเดียวกับการต่อต้านชาวยิว เกิด ความรู้สึกว่าจีนจะยึดครองประเทศ จึงดําเนินนโยบายท่ีเข้มงวดต่อชาวจีนและมีการปิ ดโรงเรียนจีนหลาย
แห่งในสมยรัชกาลที่ 7 (เกษียร 2537ข, ญาดา 2519, เปรมา 2546, ผาสก สิริลกษณ์ 2523, Skinner 1957)
และคริส 2546, พรรณี 2549,
16 นอกจากนี ้พระองค์ทรงแสดงความเห็นในนาม “อศวพาห”
ว่า “การท่ีจะตดสินว่าผ้ใดเป็ นชาติใดโดยแท้จริงนนั
ต้องพิจารณาว่าผ้น
น้ มีความ
จงรักภกดีต่อใคร? ถ้าเขาจงรักภกดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม เขาจึงจะเป็ นไทยแท้” (เกษียร 2537ก: 244)
นอกจากนี ้ หลงเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลคณะราษฎร (ซึ่งจํานวนมากมีเชือสายจีน) ไม่ เพียงแต่ดําเนินนโยบายกลืนกลายทางสงคมอย่างต่อเนื่อง เช่น การพยายามให้การศึกษาจีนมีความเป็ น ไทย หากแต่ยงดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีลกษณะชาตินิยมและต่อต้านชาวจีน เพราะเห็นว่าการค้า พาณิชย์ไม่ว่าในเขตเมืองหรือชนบทล้วนอย่ในกํามือชาวจีนเกือบทง้ หมด โดยในด้านหนึ่งรัฐบาลสนบสนุน
ให้คนไทยเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึน รวมทง้ ออกกฎหมายคม้ ครองอาชีพสงวนสาหรบคนไทยัํ
พร้อมกบกีดกนชาวจีนออกไป ขณะที่อีกด้านรัฐบาลเข้ามาลงทุนในกิจการต่างๆ ท่ีเคยถกยึดครองโดยชาว จีน เช่น ธนาคาร การค้าข้าว รวมทง้ จดตง้ รัฐวิสาหกิจและผูกขาดการนําเข้าและกระจายสินค้า ซึ่งส่งผล
กระทบตอชาวจีนอย่างมาก พวกเขารู้สกไม่เป็ นมิตรกบชนชนนําไทย ขณะเดยวกี นกเกิ็ ดความรู้สกเป็ นกลม่
ก้อนและแน่นแฟ้ นในหม่พวกเขามากขนึ (Skinner 1957)
อย่างไรก็ดี แม้การถูกกดทบจะส่งผลให้มีสํานึกทางชาติพนธ์ุเข้มข้นขึน ทว่าในอกด้ี านชาวจนรุ่ี น
ต่อมาได้ยอมสมานลกษณ์เข้ากับวฒนธรรมการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม อํานาจนิยม และทหารนิยม ที่
ป้ องกนไม่ให้คนงานและคนชนกลางจนอพยพเปล่ีี ยนอานาจเศรษฐกจตนเิํ ป็ นอานาจการเํ มืองและอํานาจ
รัฐ (เกษียร 2537ข: 15) ก่อนที่จะมีการรือฟื นความเป็ นจนขนึี มาอีกครังอย่างสําคญตง้ แตทศวรรษ่ 2530
เป็ นต้นมา โดยในด้านหนึ่งลกหลานชาวจีนอพยพซง่ ได้รับการศกษาได้กลายเป็ นชนชนกลางรนใหมในเมืุ่่ อง
พวกเขาได้ หันกลับมาเรียนรู้วัฒนธรรมจีน ปลุกจิตสํานึกชาติพันธ์ุจีนของตนขึนมาใหม่ พร้ อมกับ จินตนาการเอกลกษณ์จีนสยามของตนขึนมาใหม่ผ่านสื่อภาษาไทย ขณะที่อีกด้านพวกเขาจินตนาชุมชน ชาติไทยขน้ มาใหม่ผ่านส่ือตางๆ เป็ นชมชนที่ประกอบด้วยสมาชิกหลากหลายชาติพนธ์ุและวฒนธรรมโดยมี กษัตริย์เป็ นศูนย์รวมความจงรักภกดี พวกเขายอมรับความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจเพราะเห็นว่าคน ยากจนก็มีความสุขได้เน่ืองจากได้รับความเมตตาช่วยเหลือเกือกูลจากคนมั่งมี ขณะเดียวกันก็ไม่เน้น ความสําคญของการปกครองด้วยกฎหมายรวมถึงสิทธิเสรีภาพท่ีคําประกนโดยรัฐธรรมนูญ แม้จะเห็นว่า โครงสร้างอํานาจรวมศนย์สงแต่ขาดเอกภาพของรัฐราชการไทยเป็ นอปสรรคต่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และการขยายเสรีภาพทางการเมืองของตนก็ตาม (เพิ่งอ้าง: 32-35)
การอาศยอตลกษณ์ “ลูกจีนรักชาติ” และ “ลูกจีนกู้ชาติ” ของนายสนธิในการขบเคลื่อนมวลชน
พนธมิตรฯ ในกรุงเทพฯ ซง่ สวนใหญ่เป็ นชนชนกลางเชอื สายจีนขางตน้้ จึงเป็ นเสมือนการแปลงจินตนาการ
ชาวจีนและชุมชนชาติไทยใหม่ให้กลายเป็ นจริงผ่านการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยชยอนนต์ สมทวณิช นกวิชาการของพนธมิตรฯ ได้ชีให้เห็นความเปลี่ยนแปลงดงกลาวในบทความชื่อ “ลกจีนรักชาติ” ดงนี ้
“ความเป็ นลกจีนกบการรักชาติไทยจึงเป็ นคขนานกนมาโดยตลอดเพราะลกจนี
ถูกกีดกันออกจากสังคมไทยเว้นแต่จะเข้ารับราชการ [...] ปรากฏการณ์พันธมิตรฯ
เปล่ียนปมด้อยให้เป็ นปมเด่น เปลี่ยนความรู้สกลกๆ ที่ซ่อนเร้นเป็ นการแสดงออกอย่าง
ชดแจ้ง [...] สนธิ ลิมทองกลเล่าความเป็ นมาของตนอย่างเปิ ดเผยและด้วยความภมิใจ
เท่ากบเป็ นการปลกจิตสํานึกของ ‘ลกจีน’ ให้มีความภมิใจในความเป็ นลกจีน เข้ามาส่
การต่อส้เพ่ือชาติไทย นบเป็ นครัง้ แรกที่มีการแสดงออกอย่างเปิ ดเผยเช่นนี ้ สิ่งที่สนธิทํา ไปเป็ นการลบมิติทางการเมืองที่กีดกนลกจีนออกจากการเป็ นส่วนสําคญของชาติไทย ท่ีสําคญคือลกจีนสามารถดํารงความเป็ นจีนไว้ได้พร้ อมๆ ไปกบการทําหน้าที่พลเมือง ไทย ความรู้สึกนีเท่ากบเป็ น การปลดเปลืองพนธนาการทางจิตวิทยาให้กบลกจีน [...] ข้อความลูกจีนรักชาติจึงตรงใจผู้เข้าร่วมจํานวนหม่ืน [...] สนธิอาจไม่ได้ตง้ ใจที่จะ
เปล่ียนสํานึกของลกจีน แตสิ่งท่ีเขาทําลงไปกลบเป็ นผลสะเทือนตอความเป็ นจนในดาน้ี
บวก และน่าจะเป็ นการทําให้ลกจีนท่ีไม่ได้มีส่วนร่วมทางการเมืองได้เข้าส่กระบวนการ มีสวนร่วมในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง นบแต่นีต้ ่อไปความเป็ นลกจีนกบความ เป็ นชาติไทยก็ไม่ขดกนอีกแล้ว ลกจีนสามารถคงเอกลกษณ์ทางเชือชาติได้พร้ อมๆ ไป กบการเป็ นสมาชิกของชาติไทย” (ชยอนนต์ 2551)
อย่างไรก็ดี การบงชีตนเองและผ้เข้าร่วมพนธมิตรฯ ในฐานะ “ลกจีน” ของสนธิแฝงนยของความรู้สก
น้อยเนือต่ําใจและวิพากษ์วิจารณ์ชนชน
สงอย่ในตว
ดงที่ว่า
“มีคนมาเล่าให้ฟัง บรรดาบางคนที่เป็ นหม่อมหลวง หม่อมราชวงศ์ ผู้ดี ผู้ดีตีน แดงตะแคงตีนเดิน ตลอดจนพวกไฮโซทง้ หลายท่ีรํ่ารวย ไม่เคยรับรู้ถึงความยากลําบาก
ของพวกเรา มาพด เขาบอกว่าไอสนธิ้ มนเสือกมาย่งอะไรทาให้ํ ชาติบ้านเมืองว่นวาย ผม
กราบขอบคณพี่สาวคนหนึ่งที่ช่ือพี่นิน พ่ีนินสวนกลบไป บอกคณอายรึเปล่าที่คณให้คน
แซ่ลิมมากู้ชาติ แล้วมาช่วยพระเจ้าอย่หว พ่ีนินบอกว่าพวกคณนามสกลพระราชทานมา
ตง้ แต่สมยป่ สมยย่า คณนง่ รากงอก ด่าห้อยกนเป็ นแถวๆ แล้วคณปล่อยให้ลกเจ๊กลกจีน มนลกส้เพื่อพระเจ้าอยู่หวได้อย่างไร” (สนธิ ลิมทองกุล, เมืองไทยรายสปดาห์สญจร 30 มิถนายน 2549)
และ
“ตอนนนไอ้พวกขผี สมข้าวมนทําอะไรอยู่ มนอยากลมท้ กษณิ แต่สนดานอแอบี
ไม่เคยออกมาชนต่อหน้า ใช่ไม่ใช่ เฮ้ย ไอ้ลกเจ๊กออกมาแล้วเว่ย เราต้องไปช่วยมน ก็เลย
กลายเป็ นพวกอํามาตย์บางกล่ม บางคน อีพวกไฮโซ อีพวกหมอมราชวงศบางคนออกมา์่
กน อีพวกนามสกุลศกดินาออกมาผสมผสาน เราก็เห็นการชุมนมที่มีการนง่ แล้วมีตะกร้ า
ปิ กนิก มีคนมาใช้บริการ แล้วก็แดกแซนด์วิชปลาแซลมอน ใช่ไม่ใช่พี่น้อง” (สนธิ ลิมทอง
กล, การปราศรัยรําลก 4 ปี เหตการณ์ 7 ตลา 2551, 7 ตลาคม 2555)
กล่าวอีกนยหน่ึง สนธิได้พา “ลกจีน” เข้าไปเกี่ยวข้องสมพนธ์กบชาติไทยและสถาบนกษัตริย์อีกขนั ้ พวกเขาไม่ได้เป็ นเพียงคนต่างชาติต่างภาษาและวฒนธรรมที่เข้ามา “พึ่งพระบรมโพธิสมภาร” หากแต่ได
กลายมาเป็ นผู้พิทกษ์รักษาชาติและสถาบนกษัตริย์ในยามคบขน และโดยเฉพาะอย่างยงคอในยามที่ื่ิ ชน
ชนสงหรือผู้ที่อยู่แวดล้อมสถาบนกษัตริย์ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะก้าวออกมาเผชิญหน้ากบภยคกคาม
เช่น “ระบอบทกษิณ” จึงเป็ นภารกิจทางประวต สถาบนกษัตริย์ไว้
ิศาสตร์ของ “ลูกจีน” เช่นพวกเขาที่จะช่วยกอบกู้ชาติและ
กนกรัตน์ (2560) พิจารณาประเด็นข้างต้นภายใต้มโนทัศน์ “ชาตินิยมเชิงบิด” (twisted nationalism) เธอเสนอว่าอุดมการณ์ชาตินิยมไม่ได้ถูกใช้เฉพาะในการจัดองค์กรนักชาตินิยมชาวไทย
เท่านนั หากแตแกนนํา “ขบวนการตอต้านทกษิณ” เช่น นายสนธิ ได้ใช้ “ชาตนิิ ยมเชงบด”ิิ ในการดงดดกล่ม
ชาติพนธ์ุต่างๆ ได้แก่ ลูกจีน ลกลาว ลกแขก ลูกญวน หรือแม้กระทงฝรง่ั เข้าสก่ ารรณรงคเคลอนไหวของ่ื์
ชาตินิยมไทยด้วย โดยกรณี “ลกจีน” มีความน่าสนใจในแง่ที่ว่า ทง้ ที่มีการรณรงค์เคลื่อนไหวชาตินิยมล้น เกินต่อต้านชาวจีน ทว่ากระบวนการกลืนกลายในหมู่ชาวจีนและลกหลานจีนได้ทําให้ชาวจีนในรุ่นหลงมี
ลกษณะเป็ นไทยมากขึน แกนนาํ “ขบวนการตอตานท้่ กษิณ” ได้อาศยแนวคดิ “ชาตินิยมเชงบดิิ ” ในการดึง
ชาวไทยเชือสายจีนรุ่นหลงหรือ “ลกจีน” ให้เข้าร่วมขบวนการ พวกเขาได้พฒนาเรื่องเล่าและอตลกษณ์ใหม่ ในการสร้ างความชอบธรรมให้กบผ้เข้าร่วมเหล่านีในฐานะ “คนไทยเชือสายจีนที่รักชาติ” ชาวไทยเชือสาย จีนจํานวนมากน้อมรับเร่ืองเลานีในการอธิบายการเข้าร่วมของตน
อย่างไรก็ดี แม้คนชนกลางท่ีมีเชอื สายจีนจะมสี ํานึกเชิงชาติพนธและคุ์ ล้อยตามการปลุกเร้ าของ
นายสนธิในการเคลื่อนไหวของพนธมิตรฯ ทว่าคนชนกลางระดบบนที่สนบสนุน กปปส. ไมไ่ ด้มีสํานึกเชิง
ชาติพันธ์ุเข้มข้นรุนแรงในลกษณะดังกล่าว ธรและชานนทร์ (2560) เสนอว่าชนชันกลางระดับบน
กรณีศึกษาซึ่งแทบทุกคนมีเชือสายจีนเชื่อมโยงความเป็ นจีนเข้ากบคุณค่า เช่น ความขยน ความซอส่ื ตย์
และเคล็ดลบในการทําการค้าให้ประสบความสําเร็จ นอกจากนี ้ พวกเขาโยงความเป็ นจีนเข้ากับความ จงรักภกดีต่อสถาบนกษัตริย์ในฐานะผ้ให้ที่อย่อาศยกบคนจีน หรืออีกนยหนึ่ง คนจีนคือผ้ขยนซ่ือสตย์และ จงรักภกดี (ซึ่งตรงข้ามกบฝ่ ายตรงข้ามที่ขีเกียจคดโกงและไม่จงรักภกดี) ซึ่งมีนยเชิงชาติพนธ์ุน้อย ทง้ นีก้ ็ เพราะว่าพวกเขาเกิดและโตในช่วงที่บทบาทของความเป็ นจีนถูกลดทอนความสําคญในทางสงคมและ เศรษฐกิจลง และอัตลักษณ์ความเป็ นจีนของพวกเขาถูกกลืนกลายทางวัฒนธรรมเข้าสู่ความเป็ นไทย ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึนอย่างรวดเร็วส่งผลให้อัตลกษณ์ความเป็ นชนชันยังไม่เกิดขึนอย่าง
ชดเจน พวกเขาต่างเติบโตโดยปราศจากการยึดโยงกบโครงสร้างใดๆ ไม่ว่าจะเป็ นเชือชาติหรือชนชนั พวก
เขามองตนเองในฐานะปัจเจกที่ต้องมุ่ง "ทําตนเองให้ดี" เพื่อก้าวขึนสู่บนไดในการยกระดบตนเองให้ เหมือนกบคนอื่นๆ ในสงคมไทย
นอกจากนี ้ อัตลกษณ์เชิงชาติพันธ์ุ เช่น “ลูกจีน” ไม่ได้ถูกเน้นยําในการเคลื่อนไหวช่วง กปปส. เหมือนเช่นในช่วงพนธมิตรฯ ส่วนหน่ึงเป็ นเพราะแกนนํา กปปส. คือ นายสเทพ เทือกสบรรรณ เป็ นคนพืน้
ถิ่นภาคใต้ ต่างจากนายสนธิที่เป็ นคนกรุงเทพฯ เชือสายจีน นายสเทพจงไม่อย่ในวิสยท่ีจะชอตลกษณ์ “ลก
จีน” ในการเคลื่อนไหวได้ ขณะเดียวกันด้วยความท่ีคนใต้เข้าร่วมชุมนุม กปปส. ในจํานวนและสดส่วน มากกว่าสมยพนธมิตรฯ มาก ก็สงผลให้ กปปส. มีภาพการชมนมของคนใต้อีกภาพควบคไู ปกบภาพของคน กรุงเทพฯ ไปโดยปริยาย และเป็ นเหตให้อตลกษณ์ “คนใต้” ถกหยิบใช้และมีความสําคญในการเคลื่อนไหว ของ กปปส. อย่างสําคญในที่สดุ
4.2 “คนใต้”
ชลิตา (2560) เสนอว่าความรู้สกเป็ น “คนใต้” ไม่ว่าจะอย่ท
ี่ใดเป็ นสาเหตส
ําคญให้คนใต้ย่านแฟลต
คลองจั่นเข้าร่วม กปปส. ข่าวคราวความเดือดร้ อนของคนใต้ในพืนท่ีต่างๆ ที่เช่ือกันว่ามีสาเหตุมาจาก
“ระบอบทกษิณ” ได้นํามาส่ความฮึกเหิมและการรวมตวกนอย่างคึกคกในการต่อต้านรัฐบาลในหมู่คนใต้
ย่านแฟลตคลองจน ขณะเดยวกี นในเวที กปปส. ก็มกมการนํี าเสนอปัญหาของคนใต้อยู่เสมอ โดยเฉพาะ
ปัญหาราคายางพารา โดยมีแกนนํา กปปส. จากจงหวดตางๆ ในภาคใต้มาขน้ เวทีวิจารณ์รัฐบาล และเสนอ ว่าการขบไลร่ ัฐบาลคือหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้ นอกจากนี ้ มีเหตการณ์สําคญที่ส่งผลสะเทือนจิตใจ
และสร้างความคบแค้นใจให้คนใต้ย่านแฟลตคลองจน
อย่างมาก นน
คือการปะทะกนระหว่าง “เสือแดง” กบ
นกศกษามหาวิทยาลยรามคําแหงซง่ จํานวนมากเป็ นคนใต้ เหตการณ์นีได้กลายเป็ นสาเหตสําคญในการให้
ความชอบธรรมกับการก่อรัฐประหารของ คสช. ของคนใต้ย่านแฟลตคลองจั่น เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า
รัฐบาลในขณะนน
ไม่สามารถควบคมสถานการณ์ได้ และอาจเป็ นผู้ให้ท้ายหรือรู้เห็นเป็ นใจกบ
“เสือแดง”
ในการทําร้ ายนกศึกษาภาคใต้ เป็ นความรู้สึกว่า “พรรคพวก” ถูกรังแก ขณะเดียวกันพวกเขารู้สึกว่าการ มาร่วมชุมนุมกับ กปปส. คือการมาอยู่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหมู่คนใต้ด้วยกัน เต็มไปด้วยบรรยากาศของ ความอบอุ่นกลมเกลียว ไม่นบรวมข้อที่ว่าความรู้สึกของการเป็ น “พรรคพวก” เดียวกันของคนใต้หมาย รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าเป็ นพรรคของ “โหมเรา” หรือ “พวกเรา” ส่งผลให้คนใต้ย่านแฟลตคลองจ่นมีความรู้สึกดี คุ้นเคย ใกล้ชิดสนิทสนม และมีแรงจูงใจให้ออกมาร่วม
ชมนมกบ
กปปส. ในที่สดุ
ชลิตา (2560) ชีว้ ่าการชุมนุม กปปส. มีกล่ินอายของภาคใต้ค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะเมื่อ
เปรียบเทียบกบ นปช. หรอื “เสอื แดง” ที่มีกลนอายขอ่ิ งภาคอ่ืน โดยเฉพาะภาคอีสานสงกว่า) นบตง้ แตการ่
แสดงหนงตะลงเสียดสีการเมือง ทง้ นี ้ หนงตะลงเป็ นศิลปะการแสดงพืนบ้านภาคใต้ที่สําคญ แม้นายหนง
บางรายบนเวที กปปส. ได้พากย์หนงตะลงด้วยภาษาไทยกลาง แต่ก็เป็ นภาษาไทยกลางที่มีสําเนียงใต้เจือ ปน รวมทง้ มีการแสดงมโนราห์จากคณะต่างๆ ในภาคใต้ โดยประยกต์เนือหาและตง้ ช่ือให้สอดคล้องกนกบั ข้อเรียกร้องของเวที กปปส. เช่น “โนราห์กบฏรักชาติ” “มโนราห์รักชาติ ขบไลคนโกง ล้มล้างระบอบทกษิณ” พร้ อมกนนีก้ ็มีวงดนตรีและนกร้ องเพลงเพ่ือชีวิตที่มีช่ือเสียงจากภาคใต้ผลดเปลี่ยนหมนเวียนกนแสดงบน
เวที เพลงที่ขบร้องมีทง้ เพลงท่ีพดเรื่องทวๆ ไปดวยภาษาและทวงทํ่้ านองดนตรีแบบพืนถนภาคใต้่ิ และมีทงั
ที่เกี่ยวข้องการเคลื่อนไหวต่อส้ทางการเมืองโดยตรง xxxx เพลง “xxxxxคนใต้” ของ “แสง ธรรมดา” ที่เป็ xxxx
รู้จกของคนใต้xxxxxxxชุมนุม กปปส. อย่างกว้างขวาง อีกทง้ ยงมีการแชร์และเข้าชมคลิปวิดีโอในยท หมื่นครัง้
ูปหลาย
นอกจากนี ้ ชลิตา (2560) เสนอว่าคณลกษณะความเป็ น “คนใต้” ที่สําคญอีกประการที่คนใต้xxxx
แฟลตxxxxจน
เห็นร่วมกนคือการไม่ยอมรับอํานาจxxxxxxxx ทxxxxxxxxรัปชน
และสร้างความxxxxxxxxxให้แก่
ประชาชน หรือกลาวอีกนยหน่ึง “คนใต้” เป็ น “xxxxชน ผ้xx xกความเป็ นธรรม มีอดมการณ์” พวกเขาเห็นว่าการ เข้าร่วม กปปส. คือการเดินตาม “อุดมการณ์คนใต้” ในการยุติความอยุติธรรม ทําให้สงคมเปลี่ยนไปใน
ทิศทางxxxxxขนึ เป็ นประโยชน์ต่อประเทศxxxxxxx xxได้ทําเพ่ือใครคนใดคนหนึ่ง หากแตทํ่ าไปเพื่อให้ได้ “คน
ดี คนเก่ง” มาบริหารประเทศ ขณะเดียวกนพวกเขาเห็นว่าคณลกษณะความเป็ น “คนใต้” ผ้ไม่สยบยอมต่อ ความอยุติธรรมเป็ นคุณลxxxxxxxควบคู่ไปกับความเป็ น “นกเลง” และการ “ไม่ยอมคน” อนนํามาสู่การ ยอมรับใน “วฒนธรรมโจร” ที่วางอย่บนฐานศีลธรรมในการxxxx xxชมชนของตนจากอํานาจรัฐและอํานาจ อื่นxxxxxxเป็ นธรรม แม้ วิธีการบางอย่างอาจxxxxxเหมาะสมและรุนแรง ซ่ึงสอดคล้องกับการยอมรับใน บุคลิกภาพของผู้นํา กปปส. โดยเฉพาะอย่างย่ิงคือการยอมรับความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ในการชุมนุม เคลื่อนไหวของ กปปส. เพราะเห็นว่าเป็ นการต่อสู้กับอํานาจxxxxxxเป็ นธรรม ซึ่งประเด็นดังกล่าวนีจะได้ กลาวถึงโดยละเอียดตอไป
ประการสําคญ
พวกเขาเห็นว่าความเป็ น “คนใต้” ผกอย่ก
บความxxxxxxxxxตอพระมหากษัตริย์หรือ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วย โดยนอกเหนือจากคนใต้แฟลตxxxxจน
ที่กล่าวในบทที่ 2 คนใต้ในภม
ิภาคจํานวน
มากโยงความเป็ น “คนใต้” ของพวกเขาเข้ากบความxxxxxxxxxต่อพระมหากษัตริย์ ดงกรณีชาว “บ้านเกาะ” อ.หวไทร จ.นครศรีธรรมราช ท่ีนอกจากจะกลาวว่าพวกตนมีความสํานึกในพระมหาxxxxxธิคณและมีความ xxxxxxxxxต่อรัชกาลที่ 9 อย่างมาก ดงรายหน่ึงที่สวมสายรัดข้อมือสีxxxxxxพิมพ์ข้อความ “เรารักในหลวง” และมกสวมเสือเชิตโปโลสีxxxxxxรวมทง้ สีอื่นท่ีมีภาพพระปรมาภิไธยรัชกาลที่ 9 บริเวณหน้าอก ที่กล่าวว่า
“ในหลวงท่านทรงห่วงใยพวกเรามาก ท่านทํางานเพื่อประชาชนอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ดอย่างตอนนีท่าน
เข้าโรงพยาบาลก็ยงติดตามข่าว น้าพดเลยรักพระองค์ท่านมาก” (“น้าพด” สมภาษณ์ใน xxxxxxx 2560:
126) บางคนยงกลาวด้วยว่าสิ่งนีเป็ นคณสมบติสําคญประการหนึ่งของ “คนใต้” ดงท่ีรายหนึ่งกลาวว่ ่า “คน
ใต้xxxxxxxxxตอพระมหากษัตริย์” (“ลงนิด” สมภาษณ์ใน เพิ่งอ้าง: 127) ขณะที่อีกรายกล่าวว่า “คนใต้รักใน
หลวง” ขณะวงสนทนากําลงอภิปรายเรื่องบทบาทของสถาบนพระมหากษัตริย์ในสงคมไทยปัจจบน ก่อนจะ
ถามเชิงยืนยนว่า “มีใครบ้างตรงนีx
xxxxxรักสถาบน
ไม่รักในหลวง” (“น้าพด” ใน เพิ่งอ้าง: 126-127) ด้วย
ความมน
ใจว่าจะไม่มีใครในวงสนทนาคดค้านหรือปฏิเสธ
ประเด็นที่ควรพิจารณาคือ อัตลักษณ์ “คนใต้ รักในหลวง” ชีให้ เห็นการเปลี่ยนแปลงใน
ความสมพนธ์ระหว่างความเป็ นภม
ิภาคกบชาติและรัฐxxxxxxxxท่ีรับรู้และเข้าใจกนมาอย่างสําคญ
ทง้ นีก้
เพราะว่าอัตลักษณ์ “คนใต้ ” ในงานเขียนเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมภาคใต้ ไม่เพียงแต่มีนัยของ xxxxxxxxx xxxx มีใจxxxxx เป็ นนกเลง xxxxxxxxxxxxxxx xxxxxทะนงในเกียรติและศกดิ์ศรี หวแข็ง หวหมอ รัก
xxxxxxx ดุ ฯลฯ หากแต่ยงมีนยของการจดความสมพนธ์ระหว่างxxxxxxxxหรือภมิภาคกบรฐส่ั xxxxxxดวย้
คือ “คนใต้” xxxxxxxพึ่งพาหรือแม้กระทั่งต่อต้านรัฐ เพราะความที่ในอดีตพวกเขาอยู่ห่างไกลจากรัฐ xxxxxxxx ต้องดําเนินชีวิตด้วยตนเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพวกเขาเข้าส่ระบบการผลิตเชิงพาณิชย์ ก่อนการขยายตัวเข้ามาของรัฐxxxxxxxxและxxxxxxพึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ (xxxxx 2544, นิธิ
2548, xxxx 2543) หรืออีกนยหน่ึงคือพวกเขามีความรู้สกภมิภาคxxxx (Regionalism) โดยมรัี ฐxxxxxxxx
รวมถึงชาติและxxxxxxxx (Nationalism) เป็ นคู่ปะทะ ฉะนนั การที่คนภาคใต้xxอตลกษณ์ “คนใต้รักใน
หลวง” ในการเข้าร่วม “ขบวนการเปล่ียนแปลงประเทศไทย” จึงชีให้เห็นความรู้สกนึกคิดของพวกเขาท่ีมีต่อ รัฐxxxxxxxและชาติที่เปลี่ยนแปลงไป คือ จากผ้xxxxxxพง่ พาหรือว่าตอต้านรัฐมาเป็ นผ้ปกปักรักษารัฐและ โดยเฉพาะอย่างย่ิงคือxxxxxxx
อย่างไรก็ดี งานศึกษาจํานวนหนึ่งชีให้เห็นว่าxxxxxxxxxxxxxxจําเป็ นต้องเป็ นคู่ตรงข้ามxxxxxxxx
เสมอไป เพราะแม้ในช่วงxxxxxx 1960 นกวิชาการจํานวนมากเห็นว่าภมิภาคxxxxเป็ นเพียงคณลxxxxxxx
ผูกกับ/ขึนต่อxxxxxxx (ในฐานะพืxxxxxxxมีคณลกษณะทางกายภาพและวฒนธรรมต่างจากพืxxxxข้างเคียง)
ทว่าตง้ แตxxxxxx 1980 เป็ นต้นมางานวิชาการในกลม
นีเห็นว่าภม
ิภาคxxxxxxxว่าจะเป็ นรูปของความxxxxx
(Patriotism) หรือปรากฏการณ์ทางการเมืองมีความคล้ายคลงกบxxxxxxxx จะต่างกนตรงที่ว่าภมิภาคxxxx
มีคณลกษณะเบ็ดเสร็จ/xxxxxxxน้อยกว่า นกภมิภาคxxxxเรียกร้ องความxxxxxxxมากกวาความพอเพี่ ยง
ในตวเอง และเรียกร้องการxxxxxxตนเอง (Autonomy) มากกว่าอิสรภาพ ผ้คนอาจเดินขบวนเรียกร้องเพื่อ
ภมิภาคแตพวกเขาxxxxxxมีxxxxxxxxxxจะยอมxxxxxxเพื่อสิ่งนี ้และหากพวกเขาจะยอมตายเพื่อสิ่งใดก็จะเรียก
สิ่งนนว่าชาตมากกxxx x xxxxเรยกxxxx Bangsa Moro หรอxxx ติโมโรxxxxxxxxเป็ น Muslim southern
Philippines ซ่ึงการกลายรูปจากxxxxxxxเป็ นชาติxxxxนีช้ ีให้เห็นความต่อเน่ืองที่สําคญระหว่างอตลกษณ์
ภมิภาคกบอตลกษณ์ชาติรวมถึงรอยต่อระหว่างอตลกษณ์ทง้ สอง (Henley 1996) คําถามจึงเป็ นว่าอะไร
เป็ นรอยตอระหว่างภาคใต้xxxxกบxxxxxxxxxxx และอะไรที่ทําให้ “คนใต้รักในหลวง”
ข้อตอสําคญระหว่าง“คนใต้” กบชาติและ “ในหลวง” (ในฐานะที่เป็ นร่าง (Embodiment) ของชาติ) คือกลยทธ์ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ Askew (2008) เสนอว่าสาเหตหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ xxxxxxครองใจคนภาคใต้มาอย่างตอเนื่อง คือการสร้างและเสนอภาพของพรรคสองประการท่ีเช่ือมโยงกนั ประการแรกคือการเสนอภาพความเป็ นคนใต้ “พรรคคนใต้” โดยอาศัยจํานวนและสัดส่วน
สมาชิกสภาผ้แทนราษฎรภายในพรรครวมทง้ อดีตหวหน้าพรรคนายชวน หลีกภย เป็ นเกณฑ์ อีกประการคือ
การเสนอภาพพรรคการเมืองที่เป่ี ยมศีลธรรมxxxxxผ่านความ “ซื่อสตย์สจริต” ของนายชวน และการเปิ ด
โปงความทจริตรวมทง้ ต่อต้านอํานาจรัฐที่xxxxxxxxxxอย่างตอเนื่่ องเพราะความท่ีมกเป็ นฝ่ ายคาน้ ขณะท่ี
อีกด้านพรรคประชาธิปัตย์ตอกยํา “ความเป็ นคนใต”้ ซงึ มความแตกxxx ง (หรออีื กนยหนึ่งคอเหนืื อกว่า) จาก
คนภาคอ่ืน ในแง่ที่เป็ นผ้x
xxxxxxxxxxxxxxทางการเมือง ชื่นชอบนกการเมืองผ้ม
ีคณธรรมและต่อต้านอํานาจรัฐ
xxxxxxเป็ นธรรม ซง่ ในสองกรณีหลงเชื่อมโยงกบพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง17
ในทํานองเดียวกน
ภเมฆ (2550) เสนอว่าสาเหตท
ี่คนในภาคใต้ให้ความxxxxในพรรคประชาธิปัตย์
ตง้ แตxxxxxx 2530 เป็ นต้นมา เนื่องจากว่า 1) พวกเขารู้สกว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็ น “พวก” เดียวกบพวก เขา และพวกเขาในฐานะ “คนใต้” ก็ต้องรักxxxxxxx 2) พวกเขาพึงxxxxในภาพลกษณ์ของพรรค
xxxxxxxxxxxxxxxเน้นการxxxxxxนกการเมืองที่ซ่ือสตย์xxxxxxxxxxนายชวน หลีกภย และxxxxxxxxx xxxxxxx
xxxx และการเปิ ดโปงการทจริต ซงึ สอดคล้องกบบคลกของ “คนใต้” ที่พวกเขาเห็นว่าเป็ นคนที่รักความเป็ น ธรรมและไม่ยอมถูกเอาเปรียบ และ 3) พวกเขาชื่นชอบภาพลกษณ์การตรวจสอบอํานาจรัฐของพรรค ประชาธิปัตย์ในฐานะที่เป็ นพรรคฝ่ ายค้าน เพราะสอดคล้องกบความรู้สกของพวกเขาที่ว่าถกข่มเหงและเอา เปรียบจากรัฐบาลกรุงเทพฯ18
17 นอกจากนี ้ Askew (2008) เสนอเพิ่มเติมว่าความรักและความxxxxในพรรคประชาธิปัตย์ของคนในภาคใต้xxxxxxเป็ นเพียงผลพวงของกลวิธี ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ประการเดียว หากแต่ยงเป็ นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้ างตวตนและชุมชนทางการเมืองในอุดมคติของ คนในภาคใต้เองด้วย เขาเสนอว่าคนใต้เห็นว่าการสนบสนนพรรคประชาธิปัตย์คือการแสดงให้เห็นว่าพวกเขากระทําในสิ่งท่ีถูกต้องดีงามและ
เป็ นประโยชน์ต่อระบบการเมือง คือ ไม่ขายเสียง ต่อต้านการทจริต และตรวจสอบรัฐบาล ฉะนนั ย่ิงพรรคไทยรกไทยมอิีั ทธิพลและxxxxxxตงั
รัฐบาลเสียงข้างมากได้เท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสนบสนุนพรรคประชาธิปัตย์มากเท่านนั เพราะเห็นวาเ่ ป็ นการทําให้ระบบการเมืองมคี ณธรรม เป็ น
การสร้างและxxxxxxxxxx ตวตนทางการเมืองของพวกเขาที่จะยงประโยชน์ให้กบสงคมโดยรวม
18 อย่างไรก็ดี นิธิ (2548) อธิบายความช่ืนชอบในพรรคประชาธิปัตย์ของคนภาคใต้อีกลกษณะ เขากล่าวว่าในด้านหน่ึงคนใต้รู้สึกว่าความเป็ น คนหวแข็งและหวหมอของพวกเขาเป็ นคณสมบxx xxxxขาดxxxxxxสําหรับพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ขณะที่อีกด้านพวกเขาเห็นว่ารัฐบาลควร
อยู่ใต้การควบคมของพวกเขา ฉะนนั พวกเขาจงเห็ึ นความแตกแยกในพรรคประชาธิปัตย์และความไม่xxxxxxของพรรคประชาธิปัตย์ในการ
จดตง้ รัฐบาลเดี่ยวเป็ นข้อดี เพราะนอกจากจะช่วยให้พวกเขาxxxxxxควบคมรัฐบาลและพรรคได้ คณลกษณะดงกล่าวของพรรคประชาธิปัตย์
ช่วยxxxxxบทบาทให้กบนกการเมืองในพืxxxxในเวลาเดียวกน นอกจากนี ้ สาเหตทุ ี่พวกเขาxxxxxกพรรคไทยรกไทยกเพ็ัื่ ราะไม่ต้องการอย่ภายใต้
รัฐอปถมภ์รวมทง้ รัฐบาลxxxxxxxxxxxxที่พวกเขาไม่xxxxxxควบคมได้
เพราะเหตุนี ้ การท่ีพรรคxxxxxxxxxxxxxxการxxxxxxxxxและxxxx xxสถาบนกษัตริย์อย่างxxxxxxxx ท่ามกลางความขดแย้งทางการเมืองในช่วงxxxxxxxxxผ่านมา รวมทง้ การที่พลเอกxxxx ติณสลาxxxx ซึ่งมี
ภาพค่กบคนใต้และพรรคประชาธิปัตย์ ดํารงตาแหน่ํ งประธานองคมนตรีและมกแสดงตนและเรยกี ร้ องคน
ไทยให้มีความxxxxxxxxxต่อสถาบนกษัตริย์ ก็ส่งผลให้ความเป็ นคนใต้ที่สร้ างผ่านพรรคประชาธิปัตย์มีนยั ของการxxxxxxxxxตอสถาบนกษัตริย์ตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี นอกจากกลยุทธ์ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ทง้ ในส่วนของการเมืองเลือกตงั ้ และความขดแย้งทางการเมือง ปัจจยสําคญอีกประการที่มีส่วนในการก่อตวของอตลกษณ์ “คนใต้รักใน หลวง” คือกระบวนการสร้างความxxxxxxxxxต่อสถาบนกษัตริย์ในระดบประเทศผ่านกลไกรัฐและสื่อกระแส
หลก
ซง่ ส่งผลให้เกิดกระแส สํานึก และความรู้สก
“รักในหลวง” xxxxxxไปทว
ในสงคมไทย และอตลกษณ์
“คนใต้รักในหลวง” ก็เป็ นสวนหนึ่งของกระแสดงกลาวนี ้จะมีความจําเพาะตรงที่มีมิติของความเป็ นภมิภาค
และกลยุทธ์ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มเติมเข้ามา นอกจากนี ้ การที่คนภาคใต้xxxxxxเป็ น สวนหน่ึงของชาติและไม่รู้สกขดกบอดมการณ์รัฐ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” นอกจากความรู้สกว่าตน เป็ นกลุ่มชาติพนธ์ุไท พูดภาษาไทย (แม้จะสําเนียงใต้) เหมือนคนส่วนใหญ่หรือกล่มหลกของประเทศ ยงั เป็ นเพราะความที่พวกเขารู้สึกว่าภาคใต้โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราชซ่ึงเป็ นฐานxxxxxxxของพรรค
ประชาธิปัตย์และ กปปส. เป็ นศนย์กลางของพทธศาสนามาแต่อดีต ฉะนนั การที่ “ศาสนา” ในอดมการณ์
รัฐถูกยึดโยงกบพทธศาสนาก็ส่งผลให้คนภาคใต้xxxxxxโอบรับอดมการณ์รัฐได้โดยง่าย ไม่นบรวมความ เคารพxxxxxxต่อสถาบันกษัตริย์ที่พวกเขามีมาแต่อดีต (พวกเขาอาจไม่xxxxหรือไม่ชอบเจ้าหน้าท่ีรัฐ
อย่างxxxxตํารวจ แต่พวกเขาไม่เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านีมีความเก่ียวข้องกับสถาบนกษตริั ย์) ท่ีส่งผลให
พวกเขาxxxxxxโอบรับกระบวนการการสร้างความxxxxxxxxxตอสถาบนกษัตริย์ในช่วง 5 xxxxxxxxxผ่านมา ได้เป็ นอย่างดี19
19 ทงั นี ้ กระแสและสํานึก“xxxxxxxxxxx” เกิดขึนในภาคอื่นxxxxกันซ่ึงมีทังส่วนท่ีคล้ายและส่วนที่ต่างจากภาคใต้ ดงกรณีภาคอีสาน Keyes (1967) xxxx xxความรู้สึก “เรา-เขา” หรือว่าxxxxxxxxอีสานxxxxก่อตวขึนจากความรู้สึกว่าถกดถู กทางชนชน้ และชาติพนธ์ุจากคนไทยในเมืองหลวง ในกล่มแรงงานอพยพชาวอีสานในช่วงหลงสงครามโลกครังท่ี 2 ซึ่งตอมาความรู้สึกดงกล่าวถกขยายความโดยผ้แทนราษฎรจากภาคอีสานใน
รัฐบาลxxxxx ป. ซ่ึงเรียกร้ องกดดนให้รัฐบาลเอาใจใส่ภาคอีสานมากขึน พวกเขาเห็นวารั่ ฐบาลกลางและคนไทยภาคกลางโดยรวมปฏิบตั ิต่อ
คนอีสานในฐานะผู้ด้อยกว่าทางวฒนธรรมและชนชนั ผู้สมครสมาชกxxxx แทนราษฎรฝ่ ายซายป้ ระสบความสาเร็ํ จกวาผู้่ สมัครคนอ่ืนในการใช้
แนวคิดxxxxxxxอีสานxxxxซ่ึงขึนส่xx xดสงสดในอีสานในปี พ.ศ. 2500 เพ่ือประโยชน์ทางการเมือง เป็ นความรู้สึกว่าถูกดถู ูกเหยียดหยนและตํ่า xxxxกว่า ซึ่งต่างจากกรณีภาคใต้ที่มีนยของความภาคภูมิใจและเหนือกว่า อย่างไรก็ดี Keyes xxxx xxความรู้สึกภมู ิภาคอีสานxxxxxxxได้ทําให้ ความรู้สกxxxxxxxxxxxของชาวอีสานหมดสินไป เพราะแม้สกว่าตนแตกต่างและถกดถู กจากคนไทยภาคกลางทง้ ในเชิงชาติพนธ์ุ การเมือง และ เศรษฐกิจ ทว่าชาวอีสานส่วนใหญ่มองว่าตนเองเป็ นส่วนหนึ่งของสงคมไทยโดยxxx xxxเขาเลือกใช้วฒนธรรมเฉพาะของภาคอีสานเป็ น แนวทางในการแสดงออกด้านพฤติกรรมเมื่ออย่ในบริบทของxxxxxxxx และเลือกใช้อุดมการณ์หรือแนวคิดทางสงคมวฒนธรรมของชนชน้ นําซ่ึง สอดคล้องกับบริบทสงคมที่กว้างกว่าในการเคลื่อนไหวระดบชาติ นอกจากนี ้ พวกเขามีความxxxxxxxxxต่อพระมหากษัตริย์ซ่ึงก่อตวขึนผ่าน
ตํานานเรื่องเล่าและระบบการศึกษา พวกเขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์เป็ นผ้อู ปถมภ์สงสดต่อพุทธศาสนาและเป็ นผ้มีxxxxxในหม่ฆราวาส การ
เลื่อนชน้ ทางสงคมคือการขยบเข้าใกล้พระมหากษัตริย์ผ่านระบบราชการและxxxxxสงฆ์ พวกเขาxxxxxxใช้แนวคิดภาคอีสานxxxxเพื่อแบ่งแยก
นอกจากนี ้ อนสรณ์ (2560: 128) เสนอว่าความเชื่อที่ว่า “คนใต้” รักxxxxx xxxหวงพึ่งพาหรือกระทง่ั ต่อต้านxxx xxxxxxxxxหมายรวมถึงสถาบนพระมหากษัตริย์ ในอดีตคนใต้อาจไม่xxxxหรือไม่ชอบเจ้าหน้าที่
รัฐอย่างxxxxตํารวจ แต่พวกเขาไม่เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านีมีความเกี่ยวข้องกบสถาบนกษตรย์ิั และเหต
ดงนน
พวกเขาจึงxxxxxxวิพากษ์วิจารณ์สถาบนกษัตริย์ เมื่อเห็นว่านโยบายและการปฏิบต
ิของเจ้าหน้าที่รัฐไม
ถูกต้อง ตรงกันข้ ามพวกเขาเห็นว่าสถาบันกษัตริย์คือxxxxxxxxxxจะช่วยแก้ ปัญหาความxxxxxxxxxxxจาก ข้าราชการ และการxxxxxxบ้านเมืองของนกการเมือง ขณะที่ “xxxxxxxxxxxxxx” ด้านวฒนธรรมภาคใต้คน สําคญxxxx xxความเชื่อที่ว่า “คนใต้” ไม่ไว้ใจหรือว่าตอต้าน “รัฐ” เป็ นความเข้าใจxxxxxxxxxxxxxx เพราะ “คนใต้
xxxxธรรมเนียมของเจ้านาย หรือคนท่ีอย่ในอํานาจรัฐมาตง้ แต่อดีต” ฉะนนั การท่ีหน่วยงานรฐรวมทั ง้ พรรค
ประชาธิปัตย์เน้นยําความxxxxxxxxxต่อสถาบนกษัตริย์อย่างเข้มข้นในช่วงกว่าxxxxxxxxxผ่านมา จึงสอดรับ กบจริตทางวฒนธรรมของคนในภาคใต้ในส่วนนี20 และxxxxxxอาศยเป็ นอตลกษณ์ในการเข้าร่วมชมนุม
กปปส. ร่วมกลม
มวลชนกลม
อื่นในที่สด
4.3 “มวลชนใต้ร่มxxxxx” “ประชาชนของพระราชา” และ “มวลมหาประชาชน”
เพราะเหตท่ีอตลกษณ์ “ลกจนี ” และ “คนใต้” ผกกบความจงรกภกั ดต่ี อพระมหากษัตริย์ อตลกษณ์
เด่นอีกประการที่ผู้สนบสนุน “ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ กปปส. บ่งชี ตวเองเข้าด้วยคือ “มวลชนใต้ร่มพระxxxxx” และ “ประชาชนของพระราชา”
ธรและxxxxxxx (2560) เสนอว่ากรอบมมxxxxxxจะเข้าใจความเชื่อมโยงของชนชนกลางระดบบน
ซึ่งมีเชือสายxxxกับการเมืองได้นนั
ไม่ใช่การมองพวกเขารวมกนเป็ นชนxx
xxxเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อ
xxxx xxxxxxxxxxxxทางชนชันของตนเอง เพราะกรอบดงกล่าวไม่xxxxxxทําความเข้าใจลกษณะการ
เติบโตของชนชนกลางระดบบนในประเทศไทยท่ีพฒนามาโดยขาดสายสมพนธร่์ วมทง้ ในทางเชืxxxxxxxx
ชนชนั
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
กลางระดบบนกบการเมืองโดยเฉพาะ
การ “หนหลงให้กบประชาธิปไตย” ด้วยการวิเคราะห์พวกเขาเป็ น "มวลชน" (mass) ในความหมายของการ เป็ นxx xxxxxxxเติบโตเป็ นฐานสนับสนุนการเมืองแบบฟาสซิสม์ สถานะความเป็ นมวลชนสะท้ อน
ดินxxx แต่เพ่ือปรับปรุงสภาพความเป็ นอยู่ของพวกเขาให้ดีขึนภายในรัฐและชาติไทย การต่อต้านxxxxxxเป็ นความต้องการแยกดินxxxแต่เป็ น การโค่นล้มอํานาจรัฐบาลกลางซ่ึงxxxxxxมีนยรวมถึงกษัตริย์ เป็ นความรู้สึกท่ีมีต่อรัฐxxxxxxxxและพระมหากษัตริย์ที่คล้ายคลึงกับในหมู่คน ภาคใต้
20 นอกจากนี ้ ชลิตา (2560) ตง้ ข้อสงเกตเพิ่มเติมว่าในงานเขียนของxxxxxxxxxxxxxxxภาคใต้ ความxxxxxxxxxxของ “นาย” หมายถึง “นาย”
ในระดบxxxxxxxxเป็ นหลก สําหรบขั นxxxxxxxxxxและพระมหากษตริั่ ย์กลบไดรั้ บการยอมรบั ในฐานะผ้เข้ามาช่วยแก้ปัญหา xxxx จากรายงาน
ของข้าหลวงพิเศษผ้ตรวจราชการเมืองสงขลาและพทลง ท่ีกราบทูลพระเจ้านองยาเ้ ธอกรมหมนดารงราชานุํ่ื ภาพ เสนาบดกระทรวงมหาดxxx ย
เสนอการใช้อํานาจบงxxxxxxเมือง เพื่อให้ทํางานมีประสิทธิภาพและเป็ นธรรมมากขึน้ xxxxxxx ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อีกทง้ ยงถกมองว่าเป็ นผ้xxxxxxxกระทบต่อชมชน
และคนใต้ส่วนใหญ่มองคอมมิวนิสต์ว่า เป็ นภยคกคาม
ความสมพนธ์กับการเมืองระดบชาติxxxxxxได้ถูกขบเคลื่อนด้วยxxxxxxxxxxทางชนชันหรือการเมืองแบบ พรรคการเมือง แต่ถกขบเคล่ือนผ่านxxxxxxxxxยึดโยงกบอุดมการณ์และจินตนาการทางการเมืองของระบบ เผด็จการ พวกเขาถูกฟูมฟักผ่านอุดมการณ์ราชาxxxxxxxxจนกลายเป็ น "มวลชนใต้ร่มพระxxxxx" ขณะที่ ความขดแย้งระหว่างทิศทางการเปลี่ยนแปลงการเมืองของประเทศกบแนวคิดเรื่องบรรทดฐานทางการเมือง ของพวกเขาเป็ นสภาวะสําคญที่สงผลให้พวกเขา “หนหลงให้กบประชาธิปไตย”
ธรและxxxxxxx (2560) เสนอว่าข้อค้นพบและข้อถกเถียงของพวกเขาเป็ นไปในทิศทางเดียวกบั
งานศึกษาก่อนหน้า xxxxxให้เห็นว่าแม้ชนชน
กลางจะมีท่าทีสนบสนุนประชาธิปไตยอย่บ
้าง แต่ก็มีxxxxxxxxxx
จะสนบสนุนเผด็จการภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองต่างๆ พวกเขาจะสนบสนุนประชาธิปไตยหากเผด็จการ คกคามสถานะและxxxxxxxxxxพวกเขา สวนหนึ่งเป็ นเพราะว่าพวกเขาเติบโตภายใต้สภาพแวดล้อมของรัฐ พัฒนาที่ถูกควบคุมด้วยระบบเผด็จการ แม้กระทั่งอัตลกษณ์ของพวกเขาก็ยังถูกหล่อหลอมมาภายใต้
สภาพแวดล้อมนี ้ ชนชนกลางระดบบนในประเทศไทยxxxxx ความค้นชนกบิ ระบบเผดจการ็ และเม่ือพวกเขา
ต้องxxxxxความสน
คลอนจากการเปล่ียนแปลงทางการเมืองที่ชนชน
ล่างเข้ามามีบทบาทมากขึน
ทง้ ยงเกิด
อาการตอต้านระบบประชาธิปไตยด้วยมองว่าเป็ นระบบที่เต็มไปด้วยคอร์รัปชน หาระบบเผด็จการให้เข้ามาย้อนคืนการเปลี่ยนแปลงเหลานี ้
ชนชน
กลางระดบบนจึงโหย
นอกจากนี ้ ธรและxxxxxxx (2560) เสนอว่าคนชนกลางระดบบนส่วนใหญเ่ ป็ นลกหลานคนจนxxxx
xxxxมาเป็ นไทยและได้ขยบฐานะของตนจนประสบความสําเร็จ จากทง้ การเข้าระบบการศึกษาจนได้จบ มหาวิทยาลัยและจากการขยายบทบาททางเศรษฐกิจด้วยการทําธุรกิจ หรือเข้าไปมีบทบาทในระบบ ราชการ โดยสิ่งที่เกิดขึนพร้ อมๆ กบกระบวนการเหล่านีค้ ือสภาพที่รัฐบาลxxxxxxxxxxxxxxxxxxxบทบาท
ของสถาบนกษัตริย์ จนทําให้ชนชนทกํ่ี าลงก่อตวนีได้สร้ างความรู้สึกผกพนู กบสถาั บนกษตริั ย์ ความรู้สึก
xxxxนีเติบโตขึนในช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบที่xxxxxxxxx xxxxxxxxxxx ขึนมามีอํานาจ และพฒนาเป็ น อดมการณ์ทางการเมือง ท่ียึดโยงบทบาทของสถาบนกษัตริย์เข้ากบเสถียรภาพทางการเมือง ความสงบสขุ และการพฒนา ส่งผลให้พวกเขากลายเป็ น "มวลชนใต้ร่มพระxxxxx" รวมถึง “ประชาชนของพระราชา” ใน
การเข้าร่วมชมนม กปปส. ในที่สด
อัตลักษณ์ “มวลชนใต้ร่มพระxxxxx” และ “ประชาชนของพระราชา” ในการชุมนุม กปปส.
แสดงออกผ่านเสือผ้าและเครื่องประดบเป็ นหลก xxxxxxxและอาxxxxx (2560) xxxx xxแบบเสอื xxxxxรั้ บความ
xxxxแบบหนึ่งในกลมมวลชนคอแบบเสื ืxxxxสกรนขอความxxxx x “เราคอประชาชนของพระราxxx ” ซงึ ชใี ห้เห็นว่า
พวกเขาต้องการบงชีตนเองเข้ากบพระมหากษัตริย์อย่างชดxxx อย่างไรก็ดี xxxxxxxและอาxxxxxตง้ ข้อสงเกต
ว่าแม้มวลชนจะบ่งชีตนเองเข้ากบ
“พระราชา” ซ
มีความต่อเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของพนธxxxxฯ xxx
xxอตลกษณ์ดงกล่าวอย่างเด่นชด ทว่ากรอบโครงความคดทางการเมืิ องทแกนนํ่ี าและนกวิชาการ กปปส.
นําเสนอxxxxxxเน้นยําประเด็นสถาบนกษัตริย์เท่ากับการxxxxxxตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล และมุ่ง เสนอรูปแบบโครงสร้ างทางการเมืองแบบใหม่ ข้อความบนเสือxxxxxxรับความxxxxในมวลชนจึงสะท้อน แนวคิดทางการเมืองของมวลชน ที่เน้นความสําคญในประเด็นที่พ้นไปจากกรอบโครงความคิดของแกนนํา
ทง้ นี ้ อตลกษณ์ที่แกนนํา กปปส. สร้ างให้ผ้เข้าร่วมชุมนุมคือ “มวลมหาประชาชน” ซึ่งxxxxxxอิงกบั สถาบนกษัตริย์เท่ากบสถาบนชาติ ซง่ xxxxxxxและอาxxxxx (2560) xxxx xxแสดงออกผ่านเสือผ้า เคร่ืองประดบั และอุปกรณ์ในการชุมนุม โดยในส่วนเสือผ้าและเครื่องประดบพวกเขาเสนอว่า นับตง้ แต่การชุมนุมของ พนธxxxxฯ เป็ นต้นมา การแตงxxxด้วยเสือสและการใช้อxxxxxประกอบการชมนมxxxxxxxเป็ นรูปแบบการ แสดงออกทางการเมือง และการชุมนุมทางการเมืองครังต่อๆ มาก็เดินตามแนวทางนี ้ ไม่ว่าจะเป็ นการ
ชมนมของ “xxxxxxx” หรือ “เสือหลากสี” การชมนมของ กปปส. ก็xxxxกน การสวมใสเสอื ผ้าและตกแต่งดวย้
เครื่องประดบเป็ นหนึ่งในการสื่อสารทางการเมืองท่ีสําคญ
สีxxxxxxxxxถูกนํามาใช้กบ
“สินค้ารักชาติ”
จํานวนมาก ทง้ เสือยืด สายรัดข้อมือ ที่คาดผม รวมถึงเครื่องประดบต่างๆ นอกจากนี ้ สญลกษณ์สําคญอีก ประการคือxxxxxx ดงที่มีการตง้ ฉายาให้ กปปส. ว่า “ม็อบxxxxxx” เพราะนอกจากในการชมนมจะมีเสียง xxxxxxดงขึนเป็ นระยะ ทง้ จากการเป่ านําของผู้xxxxxxxและจากการเป่ ารับของมวลชน ผ้รู ่วมชุมนุมเกือบ ทง้ หมดมกจะห้อยxxxxxxxxxคอด้วยสายxxxxxลายxxxxxx หรือกลาวอีกนยหนึ่ง xxxxxxพร้อมสายxxxxxลาย
xxxxxxเป็ นเครื่องแบบสําคญท่ีสดของ “มวลมหาประชาชน” เป็ นสินค้าที่วางขายอย่ทวไปในพนื ท่ีชมนม มี
ทง้ ท่ีผลิตโดยบลสกายทีวีและผ้ค้ารายอนซง่ื ึ มขอxxxx พาทประเดนลขxxxx ทธระหว่ิ์ างกนในเวลาตอมา
นอกจากนี ้ อตลกษณ์สําคญอีกประการท่ีแกนนํา กปปส. ใช้ในการบ่งชีตนเองรวมถึงผ้รู ่วมชุมนุม เข้าด้วยคืออตลกษณ์ “คนดี” ซึ่งตรงข้ามกบนกการเมืองโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทกษิณ และผู้ให้การสนบสนุน เขาท่ีเป็ น “คนเลว” โดยอัตลักษณ์ดังกล่าวนีได้รับการบ่งชีจากผู้เข้าร่วมชุมนุมด้วยxxxxกัน พวกเขา หมายความตนเองเป็ น “คนดี” และหมายความการเคลื่อนไหวของตนว่าเป็ นการทําความดี เพราะเป็ นการ
ขบไล่นกการเมืองxxxxxxxx ขายชาติ และxxxxxxxxxxxxต่อสถาบน เป็ นการทําใหการเมื้ องxxxxxxxxxด้วยการ
สนบสนุนให้ “คนดี” เข้ามามีอํานาจและบทบาทในการxxxxxxประเทศ ขณะที่ “คนเลว” จําเป็ นต้องถูก ขจดออกไปไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด หรือแม้กระทงั ด้วยการใช้ความรุนแรง เป็ นความxxxxxxของพวกเขาท่ี จะสถาปนา “การเมืองคนดี” ให้เกิดขน้ ในสงคมไทย ดงจะได้กลาวถึงในบทตอไป