Geometric Dimensioning Tolerance)
สัญลก
xxxxxxx
หน่วยที่ 6
ทางxxx xxxxxxx GD&T
(Geometric Dimensioning Tolerance)
หัวข้อเรื่อง (Topics)
6.1 ความหมายของสัญลก
xxxxxxx
ทางxxx xxxxxxx GD&T
6.2 สัญลกษณ์อางอิงหรือดาต้ม (Datum)
6.3 กรอบควบคุมสัญลกษณ์ความคลาดเคลื่อน (Feature control frame)
6.4 สัญลกษณ์ความคลาดเคลื่อน (GD&T Symbols)
6.5 สัญลกษณ์การปรับปรุง (Modifier Symbols)
แนวคิดส˚าคัญ (Main Idea)
สัญลก
xxxxxxx
xxx xxxxxxx GD&T มีความส˚าคญ
ต่อกระบวนการผลิตในลก
ษณะที่เป็ น
ชิ้นส่วนประกอบ เพราะการใหค
่าพิกด
ความเผอ
ของขนาดอาจxxxxxxxxxxเพราะในระหวา่ งการผลิต
ผผู
ลิตชิ้นงานวด
ขนาดตรงตามค่าพิกด
ทุกจุดแต่ไม่xxxxxxประกอบไดเ้ น่ืองจากชิ้นงานxxxxxxxโก่ง
งอ ดงั น้นถา้ มีการกา˚ หนดค่าความคลาดเคลื่อนทางดา้ นรปู ทรงก็จะทา˚ ใหง้ านประกอบxxxxxxxยงิ่ ขึ้น
xxxxxxxxxxเชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives)
1. ด้านความรู้
1.1 บอกความหมายของสัญลก
xxxxxxx
ทางxxx xxxxxxx GD&T ได
1.2 บอกสัญลกษณ์อางอิงหรือดาต้ม (Datum)ได
1.3 อธิบายลกษณะของกรอบควบคุมสัญลกษณ์ความxxxxxxxxxxxxx
1.4 บอกสัญลกษณ์ความxxxxxxxxxxxxxx
1.5 บอกสัญลกษณ์การปรับปรุงได้
2. ด้านทกษะการปฎบัติงาน
2.1 เขียนสัญลกษณ์อางอิงหรือดาต้มได
2.2 เขียนกรอบควบคุมสัญลกษณ์ความคลาดเคลื่อนทางxxxxxxxxxได้
6.1 ความหมายของสัญลก
xxxxxx
ทางxxxxxxxxxx GD&T
ปัจจุบน
งานอุตสาหกรรมการผลิตผลิตxx
ฑ์ท่ีมีส่วนประกอบหลายxxxx xxxxอุตสาหกรรม
xxxยนต์ เคร่ืองจก
รกล เครื่องใชไ
ฟฟ้ า ชิ้นส่วนเครื่องกล เป็ นตน
การประกอบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นจะ
ยากหรือง่ายข้ึนอยกบ
ขนาดและรูปร่างของชิ้นงาน ในบางxxxxxxx xยผลิตไดท
า˚ การผลิตและตรวจสอบ
ขนาดของชิ้นงานตรงกบ
ขนาดท่ีกา˚ หนดไวแ
ต่ไม่xxxxxxสวมประกอบกน
xxx xxxxxxxxxx
xxxxจะมี
ขอผด
พลาดทางxxx xxxxxxxที่มีxxxxxxxxxxล่ือน xxxxการโก่งงอ ความxxxxxฉ
ากของชิ้นส่วน หรือ
การxxxxxxxส่วนที่มีบ่าไม่ร่วมศูนยกนเป็ นตน
สัญลก
xxxxxxx
ภาพที่ 6.1 งานเพลาโก่งงอ
ทางxxx xxxxxxx GD&T (Geometric Dimensioning Tolerance) หมายxxx
xxxกา˚ หนดการควบคุมชิ้นส่วนทางxxx xxxxxxx (Form) การxxxxxxx˚ แหน่งของช้ินส่วน (Location)
การจดวางทิศทาง (Orientation) ความเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุน (Runout) และการควบคุมรูป
โครงร่างใดๆ (Profile) ลงในแบบงาน
ขนาดและสัญลกษณ์ GD&T จะถูกกา˚ หนดลงไปท่ี Feature และ Feature of Size เป็ นหลก
โดยจะมีการกา˚ หนดขนาดและสัญลกษณ์ GD&T ดงั ตอไ่ ปน้
1. การควบคุมxxxxxx (Form Control)
2. การควบคุมการจดวางทิศทาง (Orientation Control)
3. การควบคุมการxxxxxxx˚ แหนง่ (Location Control)
4. การควบคุมขนาด (Size Control)
ภาพที่ 6.2 การเขียนสญลกษณ์ GD&T
Feature คือ การระบุส่วนต่างๆ ทางกายภาพของชิ้นส่วนxxxx ผิวของรู ผิวของร่อง ผิว
ทรงกระบอก หรือชิ้นส่วนส่ีเหxxxยม (ผวเรยี บสองผว)
ภาพที่ 6.3 การระบุผิวทางกายภาพ
Feature of Size (FOS) คือการบอกขนาดของพ้ืนผิวทรงกระบอก พ้ืนผิวทรงกลม หรือ
พ้ืนผว
ระนาบคู่ขนาน หรือระยะทางระหวา่ งผว
ท้งั สองท่ีขนานกน
- การกา˚ หนดขนาดระหวา่ งผิวเรียบสองดา้ น ผิวของรู และผิวทรงกระบอก xxxxxx เป็ น Feature of Size (FOS) ตามภาพที่ 6.4 ในกรอบที่ชื่อ Feature of Size
- การกา˚ หนดขนาดผิวเดียว xxxxxxxง และผิวลบคม xxxxxxxxx เป็ น Feature of Size
(FOS) ตามภาพที่ 6.4 ในกรอบที่ชื่อ Not Feature of Size
A
D
C
B
ภาพที่ 6.4 การระบุ Feature of Size (FOS)
จากภาพที่ 6.4 ตว
เลขกา˚ หนดขนาดผิวภายนอกที่ตา˚ แหน่ง A และ B ตว
เลขที่อยด
า้ นบนจะ
บอกให้รู้วา่ เป็ นส่วนที่มีปริมาณเน้ือวสดุเหลือมากที่สุด Maximum Material Condition (MMC) ใช
สัญลก
xxx xxxxxx
เลขที่อยด
า้ นล่างจะบอกให้รู้วา่ เป็ นส่วนที่มีปริมาณเน้ือวส
ดุเหลือนอ
ยที่สุด
Least Material Condition (LMC) ใชสัญลกษณ์
ตวเลขกา˚ หนดขนาดผว
ภายในxxxxผว
รู ท่ีตา˚ แหน่ง C และ D ตว
เลขท่ีอยด
า้ นล่างจะบอกให้รู้
วา่ เป็ นส่วนท่ีมีปริมาณเน้ือวส
ดุเหลือมากที่สุด Maximum Material Condition (MMC) ส่วนตว
เลขที่
อยู่ดา้ นบนจะบอกให้รู้ว่าเป็ นส่วนที่มีปริมาณเน้ือวส (LMC)
ดุเหลือน้อยที่สุด Least Material Condition
(ก) กา˚ หนดขนาดผิวภายนอก (ข) กา˚ หนดขนาดผิวภายใน
ภาพที่ 6.5 การระบุ MMC และ LMC
จากภาพ 6.5 (ก) การกา˚ หนดขนาดผิวภายนอก 54 ใชส
ัญลก
ษณ์ หรือ MMC หมายถึง
ชิ้นงานมีเน้ือวส
ดุเหลือมากที่สุดเม่ือเทียบกบ
ขนาด 52
จากภาพ 6.5 (ข) การกา˚ หนดขนาดผิวภายใน 25.2 ใชส
ัญลก
ษณ์ หรือ MMC หมายถึง
ชิ้นงานมีเน้ือวสดเหลืุ อมากท่ีสุดเม่ือเทียบกบขนาด 25.8
หมายเหตุ: ในการที่จะกา˚ หนด MMC หรือ LMC ถา้ เป็ นการกา˚ หนดขนาดท่ีผิวภายนอก
ตวเลขมากจะมีเน้ือวส
ดุเหลือมาก แต่ถา้ เป็ นผิวภายในxxxxรู หรือร่อง การกา˚ หนดขนาดตว
เลขนอย
จะมีเน้ือวสดเหลืุ อมาก
การควบคุมxxxxxx (Form) ประกอบด้วย
- ความตรง (Straightness)
- ความราบ (Flatness)
- ความกลม (Circularity / Roundness)
- ความเป็ นทรงกระบอก (Cylindricity)
การควบคุมการจัดวางทศทาง (Orientation) ประกอบด้วย
- ความต้งั ฉาก (Perpendicularity / Squareness)
- ความขนาน (Parallelism)
- ความเป็ นมุม (Angularity)
การควบคุมการจัดวางต˚าแหน่ง (Location) ประกอบด้วย
- xxxxxxxxxxล่ือนของตา˚ แหน่ง (Tolerance of Position)
- ความxxxxxx (Symmetry)
- ความร่วมศูนยร์ ่วมแกน (Concentricity)
การควบคุมขนาด (Size) ประกอบด้วย
- ขนาดกา˚ หนดระยะห่าง (Linear Dimension)
- ขนาดกา˚ หนดตา˚ แหน่ง (Location Dimension)
- ขนาดxxxxxxx xศูนยก์
- ขนาดxxxxx (Radius)
ลาง (Diameter)
- ขนาดมุม (Angular Dimension)
6.2 สัญลกษณ์อ้างอิงหรือดาต้ม (Datum)
การกา˚ หนดสัญลก
xxxxxxx
ทางxxx xxxxxxx GD&T ลงบนแบบงาน (Drawing) จะแยก
ออกเป็ น 2 ส่วน คือในส่วนของผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม คลาดเคลื่อน (Feature control frame)
ภาพที่ 6.6 การแสดงค่าพิกด
(Datum) และกรอบควบคุมสัญลก
xxxxxxx
สัญลกษณ์อ้างองหรือดาต้ัม (Datum) คือ จุด เส้น ระนาบหรือพ้ืนxxxxxxใชใ้ นการอา้ งอิงการ
วดตา˚ แหน่งของขนาดต่างๆ ที่ทา˚ ให้การผลิตชิ้นส่วนมีความxxxxxxxท้งั ในดา้ นรูปร่าง ขนาด และ
ตา˚ แหน่งหรือระยะ สัญลก
ษณ์ดาต้ม
(Datum) ประกอบไปดว
ย รูปสามเหลี่ยมระบายทึบหรือไม
ระบายทึบก็ได้ โดยทว
ไปมก
จะใชแ
บบสามเหxxxยมระบายทึบ เส้นอางอิง (เส้นเต็มบาง) กรอบอา้ งอิง
และตวอกษรอางอิง การเขียนสัญลกษณ์อางอิงหรือดาต้มมีขนาดทxxxx เขยนดงี ภาพที่ 6.7
ภาพที่ 6.7 ขนาดในการเขียนสญ
ลกษณ์ดาต้ม
(Datum)
ภาพที่ 6.8 ตา˚ แหน่งการกา˚ หนดสญลกษณ์อางอิงหรือดาต้ม (Datum)
จากภาพที่ 6.8 แสดงตา˚ แหน่งการกา˚ หนดสัญลก
ษณ์อา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) หลก
เกณฑ
xxxxxxxxxxxxx xxxxxxxxxxxxxบนจากผวงานดงั น้
1. บนผิวงานหน่ึงผิวงานหรือบนระนาบหน่ึงระนาบจะตอ
งมีสัญลก
ษณ์อา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) เพียงแค่ 1ส ลกษณ์เท่านน้
2. ผว
งานแต่ละดา้ นจะตอ
งมีตวอก
ษรอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) xxxxxx˚ กน
3. xxxxxxxxxบริเวณผิวงานมีพ้ืxxxxว่างและไม่ทา˚ ให้การอ่านแบบงานยุ่งยาก ก็xxxxxx
กา˚ หนดลงบนผวงานไดเ้ ลยตามภาพที่ 6.8 หมายเลข 1
4. แต่เมื่อพิจารณาแลว
ปรากฏว่าผิวงานไม่xxxxxxกา˚ หนดสัญลก
xxxxxx xxxxxxx
xxxxxxx
กา˚ หนดลงบนเส้นบอกช่วยขนาดในระนาบเดียวกน ตามภาพที่ 6.8 หมายเลข 2
กบผิวงานที่ตx
xxxxกา˚ หนดสัญลก
ษณ์อา้ งอิง
5. ถา้ ไม่xxxxxxกา˚ หนดสัญลกษณ์อา้ งอิงท้งั ท่ีผิวงานและเส้นช่วยบอกขนาดxxx xxxxxxxx
xxxxxความยาวของเส้นช่วยบอกขนาดในระนาบเดียวกบ ตามภาพที่ 6.8 หมายเลข 3
ผวงานที่ตx
xxxxกา˚ หนดสัญลก
xxxxxx xxxxxx
6. ถา้ หว
ลูกศรของเส้นบอกขนาดอยภ
ายนอกเส้นช่วยบอกขนาด ก็xxxxxxใชส
ามเหลี่ยม
ดาต้ม
(Datum) แทนหว
ลูกศรxxx xxxxกา˚ หนดสัญลก
ษณ์อา้ งอิงได้ ตามภาพท่ี 6.9
ภาพที่ 6.9 การใชส
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxหรือดาต้ม
(Datum) แทนลูกศรกา˚ หนดขนาด
6.3 กรอบควบคุมสัญลก
ษณ์xxxxxxxxxxxอ
น (Feature control frame)
กรอบควบคุมสัญลก
ษณ์ความคลาดเคลื่อน (Feature control frame) มีลก
ษณะเป็ นกรอบ
สี่เหxxxยมผน
ผา้ ถูกแบ่งออกเป็ นช่องๆ จา˚ นวนxxxxxxxแบ่งน้น
ข้ึนอยกบ
ความตx
xxxxในการใชง
าน ซ่ึง
มีความกวา้ งของกรอบสี่เหxxxยมเท่ากบ
2h และความยาวข้ึนอยกบ
จา˚ นวนxxxxxxxแบ่ง
ภาพที่ 6.10 การเขียนกรอบสญลกษณ์ความคลาดเคลื่อน
กรอบควบคุมสัญลก
ษณ์ความxxxxxxxxxxxxxxใชใ้ นการเขียนแบบเพื่อควบคุมรูปลก
ษณ์ของ
ชิ้นงานเพ่ือทา˚ การผลิต จะถูกแบ่งออกเป็ น 3 ส่วนคือ
ภาพที่ 6.11 การแบ่งส่วนกรอบสญลกษณค์ วามxxxxxxxอนื่
1. ส่วนที่ 1 ในช่องแรกส˚าหรับเขียนคุณลก
ษณะทางเลขาxxxxของรูปลก
ษณ์ (Geometric
Characteristic Symbols) คือการเขียนสัญลก
ษณ์รูปลก
ษณ์ของชิ้นงานที่ตx
xxxxเนน
ในกระบวนการ
ผลิต xxxx ความกลมของผิวงาน ความตรงของผิว ความไดฉ เป็ นตน้
ากของผิวงาน ความขนานของผิวงาน
2. ส่ วนที่ 2 ในxxxxxxx 2 เป็ นการก˚าหนดค่าความเผื่อและสัญลักษณ์ปรับปรุงชิ้นงาน
(Modifier Symbols) คือxxxxxxx 2 น้ีส˚าหรับกา˚ หนดค่าพิกดความเผ่ือส˚าหรับการผลิต xxxxถา้ ในแบบ
งานxxxxxก
า˚ หนดค่าพิกด
ความเผื่อลงในแบบงานเราก็จะใช้ค่าพิกด
ความเผ่ือในxxxxxxx 2 น้ีในการ
ผลิต กล่าวคือ ถา้ ในแบบงานกา˚ หนดขนาดของเพลา 15 มม. โดยไม่มีพิกด
ความเผื่อกา˚ กบ
xxxxx ฝ่ าย
ผลิตจะตอ
งสร้างรูใหม
ีขนาด 15.2 มม. เพราะเป็ นการเผอ
ความคลาดเคลื่อนทางxxxxxxxxx แต่ถา้ ค่า
พิกด
ความเผ่ือถูกกา˚ หนดลงในแบบงาน ฝ่ ายผลิตจะตอ
งนา˚ ค่าค่าพิกด
ความเผื่อในแบบงานรวมกบ
ค่าพิกด
ความคลาดเคลื่อนทางxxx xxxxxxxในxxxxxxxดว
ย ดงั ตว
อยา่ งตามภาพที่ 6.12
(ก) การกา˚ หนดค่าความคลาดเคลื่อน (ข) ผลของค่าความคลาดเคลื่อนจากภาพ ก
(ค) งานประกอบตามพิกดxxxxxxxxxxลอนxxx xงxxxxxxความตรง
= 15.8 มม.
ภาพที่ 6.12 ตวั อยา่ งการกา˚ หนดความเผื่อxxxxxxxxx
จากภาพที่ 6.12 (ก) ขนาดจริงของชิ้นงาน คือ Ø15 มม. และพิกด
บน 0.6 มม. พิกด
ล่าง
เท่ากบั 15 มม.
0 ดงั น้น
ชิ้นงานxxxxxxxมีขนาดไดใ้ หญ่สุดตอ
งไม่เกิน 15.6 มม. และมีขนาดxxxxxxxxxx
xxต่า˚ กวา
ภาพที่ 6.13 การกา˚ หนดค่าความเผื่อxxxxxxxxx
จากภาพที่ 6.13 ความหมายของสัญลก
xxxxxxx
ทางxxx xxxxxxxในช่องแรกหมายถึงความ
ตรงของชิ้นงาน แต่ในกระบวนการผลิตชิ้นงานอาจมีการโก่งงอไดด
งั น้น
ในxxxxxxx2 จะบอกถึงความ
ค่าคลาดเคลื่อนทางxxx xxxxxxxใหx
xxxxxโก่งงอไดใ้ นพิกด
ที่กา˚ หนดคือ 0.2 มม. ดงั ภาพที่ 6.14
ภาพที่ 6.14 การโก่งงอของชิ้นงานอยใู่ นพิกดxxxxxxxxxxxอนื่ xxx xxxxxxxความตรง
3. ส่วนที่ 3 ในxxxxxxx 3 และ 4 บางคร้ังอาจจะมีช่อง 3 อย่างเดียว บางคร้ังมีท้งั ช่อง3และ4
หรืออาจจะมีท้ง
ช่อง 3,4 และ 5 ก็ได
้ึนอยู่กบ
การใช้งานซ่ึงในส่วนน้ีจะเป็ นการแสดงผิวอา้ งอิง
(Datum Reference) ดงั น้น
ส่วนท่ี 3 น้ีจะสัมพน
ธ์กบ
ส่วนที่ 1 ดงั ตว
อยา่ งตามภาพที่ 6.15
ภาพที่ 6.15 ตวั อยา่ งการใชง้ านสญ
ลกษณ์พิกด
ความคลาดเคลื่อน GD&T
จากภาพที่ 6.15 อธิบายสัญลกษณ์ไดวา
ผวxxx xxxxกรอบสัญลก
ษณ์ความxxxxxxxxxxx
xxxจะตอ
งต้งั ฉากกบ
ผิวหรือระนาบA แต่ในกระบวนการผลิตอาจมีความคลาดเคลื่อนการต้งั ฉากกบ
ผวหรือระนาบ A ได้ 0.2 มม.
6.4 สัญลกษณ์ความคลาดเคลื่อน (GD&T Symbols)
พิกดxxxxxxxxxxล่ือน คือความเบ่ียงxxxทางดา้ นรปู ทรง (Form Deviation) ความเบี่ยงxxx
ดา้ นทิศทาง (Orientation Deviation) ความเบี่ยงxxxในการจดตา˚ แหน่ง (Location Deviation) และ
ความเบี่ยงxxxของขนาด (Size Deviation) ที่มีความเบี่ยงxxxหรือมีความxxxxxxxxxxxxxxยอมให
เกิดข้ึนไดใ
นกระบงนการผลิต เน่ืองจากในการทา˚ xxxxxxผลิตยอ
มมีขอ
ผิดพลาดท้งั ขนาด รูปร่าง
ของชิ้นงาน หรือตา˚ แหน่งต่างๆ ในชิ้นงานถือเป็ นเรื่องxxxx แต่ในข ผิดพลาดหรือxxxxxxxx
xxล่ือนท่ีเกิดข้ึนตอ
งไม่เกินกxxx xxxพิกด
กา˚ หนด
สัญลกษณ์ควบคุมxxxxxxxxxxxxx (Geometric Characteristic Symbols) หรือจะเรียกส้ันๆ วา
Characteristic Symbols ถูกแบ่งการใชง
านออกเป็ น 5 กลุ่ม มีใชง
านเพื่อควบคุมความคลาดเคลื่อน
ของชิ้นงานท้งั หมด 14 สัญลกษณ์ ดงตารางที่ 6.1
ตารางที่ 6.1 สัญลกษณ์ควบคุมxxxxxxxxxxxxx (Geometric Characteristic Symbols)
ชนิดของพกิ ดั ความเผอื่ | สัญลกษณ์ | คุณลกั ษณะ | การใช้สัญลกษณ์ดาต้มั อ้างอิง |
พกิ ดั ความเผอื่ ของxxxxxx | ความตรง | ไม่มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิง | |
ความราบ | ไม่มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิง | ||
ความกลม | ไม่มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิง | ||
xxxxxxกระบอก | ไม่มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิง | ||
พกิ ดความเผอของการจดั วางทศทาง | ความขนาน | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเสมอ | |
ความเอียง(ความเป็ นมุม) | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเสมอ | ||
ความต้งั ฉาก | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเสมอ | ||
พกิ ดความเผอของการ เบี่ยงxxxเนื่องจากหมนุ | ความเบี่ยงxxxเนื่องจาก การหมุนในแต่ละระนาบ | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเสมอ | |
ความเบี่ยงxxxเนื่องจาก การหมุนท้งั หมด | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเสมอ | ||
พกิ ดความเผอของการ ควบคุมโครงร่างผวิ | xxxxxxของเสน้ | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเป็ นบางคร้ัง | |
xxxxxxของพ้ืxxxxผิว | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเป็ นบางคร้ัง |
ตารางที่ 6.1 (ต่อ) ส ลกษณ์ควบคุมรปู รา่ งรปู ทรง (Geometric Characteristic Symbols)
ชนิดของพกิ ดั ความเผอื่ | สัญลกษณ์ | คุณลกั ษณะ | การใช้สัญลกษณ์ดาต้มั อ้างอิง |
พกิ ดความเผอื่ xxxxxxจดั xxxxxแหน่ง | ตา˚ แหน่ง | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเสมอ | |
ความไดศ้ ูนยและความ ร่วมศูนย์ | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเสมอ | ||
ความxxxxxx | มีการใชด้ าต้มั อา้ งอิงเสมอ |
กลุ่มที่ 1 การควบคุมxxxxxx (Form) ประกอบด้วย
1. ความตรง (Straightness)
2. ความราบ (Flatness)
3. ความกลม (Circularity / Roundness)
4. ความเป็ นทรงกระบอก (Cylindricity) การใช้สัญลักษณ์ควบคุมxxxxxxxxxxxxxในกลุ่มน้ี ไม่ต้องใช้ผิวอ้างอิงดาต้ัม
(Datum) ในการกา˚ หนดความคลาดเคลื่อน
1. ความตรง (Straightness) คือ สภาวะที่พ้ืนผวหรอแกื นกลางของช้ินงานเป็ นเส้นตรง
ขอบเขตของพิกด
xxxxxxxxxxล่ือนของความตรงท่ีควบคุมแต่ละพ้ืนผิว มีลก
ษณะเป็ นเส้นคู่ขนาน
โดยเส้นคู่ขนานน้ีจะมีระยะห่างเท่ากบ
ค่าพิกด
ความxxxxxxxxxxxxxxกา˚ หนดลงในแบบงาน ลก
ษณะ
ของผิวของชิ้นงานที่ทา˚ การผลิตจะตอ
งอยู่ในพิกด
ไม่เกินค่าความคลาดเคลื่อนของเส้นคู่ขนานน้
หรือผว
ชิ้นงานท่ีมีสัญลก
ษณ์น้ีกา˚ หนดจะxxxxxxเอียง หรือไม่ตรง หรือผิวไม่สม่า˚ เสมอตลอดท้งั xxxx
xxไ
xxxxxxxxxxx
ษณ์ควบคุมxxxxxxxxxxxxxความตรงกา˚ หนด ตามภาพที่ 6.16
ภาพที่ 6.16 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความตรง
2. ความราบ (Flatness) คือสภาวะพ้ืนผิวหรือระนาบกลางของชิ้นงานมีลกษณะเป็ น
ระนาบของความราบ ขอบเขตของพิกดxxxxxxxxxxล่ือนของความราบ จะเป็ นการควบคุมความ
โคง
ความเวา
การโก่งงอ ความเอียงของผิวงานเป็ นตน
ขอบเขตของพิกด
ความคลาดเคลื่อนของ
ความราบท่ีควบคุมแต่ละพ้ืนผว
มีลก
ษณะเป็ นเส้นคู่ขนาน โดยเส้นคู่ขนานน้ีจะมีระยะห่างเท่ากบ
ค่า
พิกด พิกดั
ความxxxxxxxxxxxxxxกา˚ หนดลงในแบบงาน ลก ไม่เกินค่าความคลาดเคลื่อนของเส้นคู่ขนานน้ี
ษณะผิวของชิ้นงานที่ทา˚ การผลิตจะตอ
งอยู่ใน
ภาพที่ 6.17 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความราบ
3. ความกลม (Circularity / Roundness) คือสภาวะที่ผิวชิ้นงานมีxxxxxxxxxของxxxxx แต่ละช่วงมีลักษณะของผิวไม่กลม ผิวขรุขระอยู่ในพิกัดxxxxxxxxxxล่ือนของความกลมที่ถูก
ควบคุมดวยxxxxx 2 วง ร่วมศูนยกน
ซ่ึงxxxxx 2 วงน้ีมีระยะห่างเท่ากบ
ค่าพิกด
ความกลม ลก
ษณะของผว
ชิ้นงานที่ทา˚ การผลิตจะตอ
งมีขนาดไม่เล็กกวา่ xxxxxดา้ นในหรือค่าความ
คลาดเคลื่อนน้อยที่สุด และผิวของชิ้นงานจะต้องมีขนาดไม่เกินxxxxxxxxxxxxหรือค่าความ คลาดเคลื่อนมากที่สุดดงภาพที่ 6.18
ภาพที่ 6.18 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความกลม
4. ความเป็ นทรงกระบอก (Cylindricity) คือ สภาวะของพ้ืนผิวชิ้นงานทรงกระบอกแต่
ละตา˚ แหน่งมีระยะห่างในทิศทางต้งั ฉากกบ
แนวแกนใดแนวแกนหน่ึงในระยะทางท่ีเท่ากน
พิกัดความคลาดเคลื่อนของความเป็ นทรงกระบอกท่ีใช้ส˚าหรับควบคุมผิว มีลักษณะเป็ น
ทรงกระบอก 2 รูปในแนวแกนเดียวกน
ซ่ึงผว
งานท่ีทา˚ การผลิตจะมีความขรุขระ ผิวเอียง ผิวโคง
ผิว
เวา้ จะตอ
งอยภ
ายในช่วงพิกด
ของทรงกระบอกท้ง
2 รูปน้ี โดยผิวงานจะตอ
งไม่เล็กกวา่ xxxxxxกระ
ดา้ นในและไม่ใหญ่กวา่ xxxxxxกระบอกxxx xxxx
ภาพที่ 6.19 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความเป็ นทรงกระบอก
กลุ่มที่ 2 การควบคุมการจัดวางทศทาง (Orientation) ประกอบด้วย
1. ความขนาน (Parallelism)
2. ความเป็ นมุม (Angularity)
3. ความต้งั ฉาก (Perpendicularity / Squareness)
การใชส
ัญลกษณ์ควบคุมทิศทางในกลุ่มน้ี จะตอ
งใชค
วบคู่กบ
ผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum)
ในการกา˚ หนดความคลาดเคลื่อน
1. ความขนาน (Parallelism) คือ สภาวะท่ีพ้ืนผิว ระนาบ xxxxxxx ของชิ้นงานแต่ละ
ดา้ นมีระยะห่างในทิศทางต้ง
ฉากกบ
ผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) กล่าวคือxxxxxxสัญลก
xxxxxxx
คลาดเคลื่อนความขนานที่ลูกศรช้ีผิวชิ้นงานดา้ นใด ผิวชิ้นงานดา้ นน้ันจะขนานกบผิวอา้ งอิงหรือ
ดาต้ม
(Datum) ในบางกรณีสัญลก
ษณ์ผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) xxxxxxกา˚ หนดไดม
ากกว่า 1
ดาต้ม
ข้ึนอยกบ
ลกษณะการใชง
าน ขอบเขตพิกด
xxxxxxxxxxล่ือนของความขนานที่ควบคุมพ้ืนผิว
มีลก
ษณะเป็ นเส้นคู่ขนาน โดยเส้นคู่ขนานน้ีจะมีระยะห่างเท่ากบ
ค่าพิกด
ความxxxxxxxxxxxxxxกา˚ หนด
ลงในแบบงาน ลกั ของเส้นคู่ขนานน้
ษณะผิวของชิ้นงานที่ทา˚ การผลิตจะตอ
งอยใ
นพิกด
ไม่เกินค่าความคลาดเคลื่อน
ภาพที่ 6.20 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความขนาน
2. ความเป็ นมุม (Angularity) คือ สภาวะที่พ้ืนผิว ระนาบ xxxxxxx ของชิ้นงานแต่
ละดา้ นทา˚ มุมกบ
ผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) ขอบเขตพิกด
xxxxxxxxxxล่ือนของความเป็ นมุมท่ี
ควบคุมพ้ืนผิวมีลก
ษณะเป็ นเส้นคู่ขนาน โดยเส้นคู่ขนานน้ีจะมีระยะห่างเท่ากบ
ค่าพิกด
ความคลาด
เคลื่อนที่กา˚ หนดลงในแบบงาน ลกั ความคลาดเคลื่อนของเส้นคู่ขนานน้
ษณะผิวของชิ้นงานท่ีทา˚ การผลิตจะตอ
งอยู่ในพิกด
ไม่เกินค่า
ภาพที่ 6.21 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความเป็ นมุม
3. ความต้ังฉาก (Perpendicularity / Squareness) คือ สภาวะที่พ้ืนผิว ระนาบ xxx
xxxx ของชิ้นงานแต่ละด้านทา˚ มุม 90 องศา กบ
ผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) ขอบเขตพิกด
ความ
คลาดเคลื่อนของความต้ง
ฉากท่ีควบคุมพ้ืนผิวมีลก
ษณะเป็ นเส้นคู่ขนาน โดยเส้นคู่ขนานน้ีจะมี
ระยะห่างเท่ากบ
ค่าพิกด
ความxxxxxxxxxxxxxxกา˚ หนดลงในแบบงาน ลก
ษณะผิวของชิ้นงานที่ทา˚ การ
ผลิตจะตอ
งอยใู่ นพิกด
ไม่เกินค่าxxxxxxxxxxล่ือนของเส้นคู่ขนานน้
ภาพที่ 6.22 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความต้งั ฉาก
กลุ่มที่ 3 การควบคุมการเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุน (Runout) ประกอบด้วย
1. ความเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุนในแต่ละระนาบ (Circular Runout)
2. ความเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุนท้งั หมด (Total Runout)
การใช
ัญลก
ษณ์ควบคุมการเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุนในกลุ่มน้ี จะตอ
งใช้ควบคู่กบ
ผิว
อา้ งอิงหรือดาต้ม (Datum) ในการกา˚ หนดxxxxxxxxxxล่ือน
1. ความเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุนในแต่ละระนาบ (Circular Runout) คือ สภาวะที่
แต่ละจุดบนผว
งานของแต่ละแนวหนา้ ตด
เมื่อเทียบกบ
ผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) เป็ นระยะ การ
ตรวจสอบความเบ่ียงxxxเนื่องจากการหมุนในแต่ละระนาบ (Circular Runout) จะตองทา˚ การหมุน
ชิ้นงานรอบแกนอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum)ครบหน่ึงรอบ โดยทา˚ การตรวจสอบพ้ืนผิวดว
ยนาฬิกา
เทียบศูนย์ (Dial Gauge) xx
xxxxxไดจ
ากการหมุนชิ้นงานจะตอ
งนอ
ยกวา่ พิกด
ความคลาดเคลื่อน ซ่ึง
การใช้สัญลักษณ์ควบคุมการเบ่ียงxxxเนื่องจากการหมุนน้ีจะไม่พิจารณาขอบเขตพิกัดxxxx xxxxxxล่ือนแต่จะพิจารณาค่าที่เกิดจากการตรวจสอบต้องไม่เกินค่าพิกัดxxxxxxxxxxล่ือนที่ กา˚ หนดลงในแบบงาน
ภาพที่ 6.23 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุนในแต่ละระนาบ
2. ความเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุนท้ หมด (Total Runout) คือ สภาวะท่ีแต่ละจุด
บนผิวงานของแต่ละแนวหน้าตัด เม่ือเทียบกับผิวอ้างอิงหรื อดาต้ัม (Datum) เป็ นระยะ การ
ตรวจสอบความเบ่ียงxxxเน่ืองจากการหมุนท้งั หมด (Total Runout) ให้ค่าxxxxxจากการหมุนช้ินงาน
จะตอ
งนอ
ยกวา่ พิกด
xxxxxxxxxxล่ือน ซ่ึงการใชส
ัญลก
ษณ์ควบคุมการเบี่ยงxxxเนื่องจากการหมุน
น้ีจะไม่พิจารณาขอบเขตพิกด
ความคลาดเคลื่อน แต่จะพิจารณาค่าที่เกิดจากการตรวจสอบตอ
งไม
เกินค่าพิกด
ความคลาดเคล่ือนที่กา˚ หนดลงในแบบงาน ค่าที่ไดจ
ากการตรวจสอบความเบี่ยงเบนจาก
การหมุนท้งั หมดจะมีเพียงค่าเดียว
ภาพที่ 6.24 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความเบี่ยงเบนเนื่องจากการหมุนท้งั หมด
กลุ่มที่ 4 การควบคุมโครงร่างผว (Profile) ประกอบด้วย
1. รูปโครงร่างของเส้นใดๆ (Profile of a Line)
2. รูปโครงร่างของพ้ืนผวใดๆ (Profile of a Surface)
การใชส
ัญลก
ษณ์ควบคุมการโครงร่างผิว (Profile) ในกลุ่มน้ี จะใชค
วบคู่กบ
ผิวอา้ งอิงหรือ
ดาต้ม
(Datum) เพียงบางคร้ังในการกา˚ หนดความคลาดเคลื่อน
1. รูปโครงร่างของเส้นใดๆ (Profile of a Line) คือ สภาวะผิวงานแต่ละแนว แต่ละ
ระนาบ ของเส้นโครงร่างอยู่ในตา˚ แหน่งการจดวางที่แน่นอนท่ีถูกกา˚ หนดด้วยขนาด การควบคุม
โครงร่างสามารถควบคุมผิวไดม
ากกว่า 1 พ้ืนผิว และพ้ืนผิวที่ถูกควบคุมจะมีความสัมพน
ธ์ซ่ึงกน
และกน
สามารถกา˚ หนดผว
อา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) ท่ีเป็ นไดท
้งั พ้ืนผว
ระนาบแกนกลาง ตา˚ แหน่ง
แกนกลางหรือจุดก่ึงกลาง สัญลกษณ์ควบคุมการโครงร่างผิวน้ีเป็ นการควบคุมผิวที่ไม่จา˚ เป็ นตอง
กา˚ หนดผิวอ้างอิงหรือดาต้ม
(Datum) ขอบเขตพิก
ควบคุมการโครงร่างผิว (Profile) ที่ควบคุม
พ้ืนผว
มีลก
ษณะเป็ นเส้นคู่ขนาน โดยเส้นคู่ขนานน้ีจะมีระยะห่างเท่ากบ
ค่าพิกด
ความคลาดเคลื่อนที่
กาหนดลงในแบบงาน ล ษณะผิวของช้ินงานที่ทา˚ การผลิตจะต้องอยู่ในพิกัดไม่เกินค่าความ
คลาดเคลื่อนของเส้นคู่ขนานน้
ภาพที่ 6.25 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนควบคุมการโครงร่างผิว (Profile)
2. รูปโครงร่างของพืนผิวใดๆ (Profile of a Surface) คือ สภาวะผิวงานโครงร่างอย
ในตา˚ แหน่งการจด
วางที่แน่นอนที่ถูกกา˚ หนดดว
ยขนาด การควบคุมโครงร่างสามารถควบคุมผิวได
มากกวา
1 พ้ืนผว
และพ้ืนผว
ท่ีถูกควบคุมจะมีความสัมพน
ธ์ซ่ึงกน
และกน
สามารถกา˚ หนดผิวอา้ งอิง
หรือดาต้ม
(Datum) ที่เป็ นได้ท้ง
พ้ืนผิว ระนาบแกนกลาง แกนกลง หรือจุดก่ึงกลาง สัญล
ษณ์
ควบคุมการโครงร่างผิวน้ีเป็ นการควบคุมผิวที่ไม่จา˚ เป็ นตอ
งกา˚ หนดผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum)
ขอบเขตพิกด
ควบคุมการโครงร่างผิว (Profile) ที่ควบคุมพ้ืนผิวมีลก
ษณะเป็ นเส้นคู่ขนาน โดยเส้น
คู่ขนานน้ีจะมีระยะห่างเท่ากบ
ค่าพิกด
ความคลาดเคลื่อนท่ีกา˚ หนดลงในแบบงาน ค่าของระยะห่าง
ของตา˚ แหน่งใดๆ ของพ้ืนผว
ชิ้นงานท่ีมีระยะห่างต้งั ฉากจากตา˚ แหน่งของพ้ืนผิวจริง ลก
ษณะผิวของ
ชิ้นงานท่ีทา˚ การผลิตจะตอ
งอยใู่ นพิกด
ไม่เกินค่าความคลาดเคลื่อนของเส้นคู่ขนานน้
ภาพที่ 6.26 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนควบคุมการโครงร่างผิว (Profile)
กลุ่มที่ 5 การจัดวางต˚าแหน่ง (Location) ประกอบด้วย
1. ความคลาดเคลื่อนของตา˚ แหน่ง (Tolerance of Position)
2. ความร่วมศูนย์ (Concentricity)
3. ความสมมาตร (Symmetry)
การใชส
ลกษณ์ควบคุมการจด
วางตา˚ แหน่ง (Location) ในกลุ่มน้ี จะใชค
วบคู่กบ
ผิวอา้ งอิง
หรือดาต้ม (Datum) ในการกา˚ หนดความคลาดเคล่ือน
1. ความคลาดเคลื่อนของต˚าแหน่ง (Tolerance of Position) คือ สภาวะที่ระนาบ
กลาง แกนกลาง และจุดก่ึงกลาง อยใู่ นตา˚ แหน่งที่กา˚ หนดดว
ยขนาดจริง เม่ือเทียบกบ
ผิวอา้ งอิงหรือ
ดาต้ม
(Datum) ซ่ึงผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) เป็ นไดท
้งั ระนาบดาต้ม
แกนดาต้ม
หรือจุดดาต้ม
ที่
ใชใ้ นการควบคุมความคลาดเคลื่อนของตา˚ แหน่ง ดงั น้นการควบคุมความคลาดเคล่ือนของตา˚ แหน่ง
น้ีจะตอ
งใชผ
วอา้ งอิงหรือดาต้ม
เสมอ ขอบเขตพิกด
ความคลาดเคลื่อนของตา˚ แหน่งที่ควบคุมระนาบ
ท่ีเกิดจากพ้ืนผว
คู่ขนาน 2 พ้ืนผว
มีลก
ษณะเป็ นคู่ขนาน 2 ระนาบซ่ึงความกวา้ งของระนาบท้งั สองน้
มีค่าเท่ากบความคลาดเคล่ือนท่ีกา˚ หนดในแบบงาน
ภาพที่ 6.27 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนควบคุมของตา˚ แหน่งระนาบกลาง
2. ความร่วมศูนย์ (Concentricity) คือ สภาวะที่จุดก่ึงกลางของชิ้นงานมีการจด
วางอย
บนดาต้ม
อา้ งอิง ซ่ึงผิวงานที่สัญลก
ษณ์ความร่วมศูนยช
้ีจะตอ
งมีความร่วมศูนยห
รือวงกลม 2 วง
จะตอ
งใชศ
ูนยก
ลางเดียวกน
ขอบเขตพิกด
ความคลาดเคล่ือนของความร่วมศูนยท
ี่ควบคุมจุดก่ึงกลาง
มีลกั ษณะเป็ นขอบเขตวงกลม ซ่ึงมีขนาดเส้นผ่านศูนยก
ลางเท่ากบ
ค่าพิกด
ความคลาดเคลื่อนที่
กา˚ หนดลงในแบบงาน โดยท่ีแกนกลางของชิ้นงานท่ีทา˚ การผลิตจะคลาดเคลื่อนไดไม่เกินขอบเขต
ของวงกลมพิกดความรว่ มศูนยน้
ภาพที่ 6.28 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความร่วมศูนย์
3. ความสมมาตร (Symmetry) คือ สภาวะที่จุดก่ึงกลางระหวา่ งผวแบนราบ 2 พ้ืนผิว
มีการจด
วางอยู่บนระนาบที่อยู่ในแนวเดียวกน
กบผิวอา้ งอิงหรือดาต้ม
(Datum) ซ่ึงดาต้ม
อา้ งอิงน้
เป็ นไดเ้ ฉพาะระนาบดาต้ม
ท่ีเป็ นระนาบกลาง หรือแกนดาต้ม
ท่ีเป็ นแกนกลางไดเ้ พียง 2 แบบเท่าน้น
ขอบเขตพิกด
ความคลาดเคล่ือนชนิดน้ีมีลก
ษณะเป็ นคู่ขนานซ่ึงมีระยะห่างเท่ากบ
ค่าพิกด
ความคลาด
เคลื่อนที่กา˚ หนดลงในแบบงาน
ภาพที่ 6.29 ขอบเขตความคลาดเคลื่อนความสมมาตร
6.5 สัญลกษณก์ ารปรบั ปรงุ (Modifier Symbols)
สัญลก
ษณ์ปรับปรุงเป็ นสัญลก
ษณ์ที่มีขอ
กา˚ หนดพิเศษ ในการวิเคราะห์ประเภทของการ
ควบคุม พิกด
ความคลาดเคล่ือนหรือดาต้ม
อา้ งอิง ซ่ึงสัญลก
ษณ์ปรับปรุงจะถูกเพิ่มในกรอบควบคุม
ความคลาดเคล่ือนในส่วนท่ีเป็ นการกา˚ หนดค่าความคลาดเคล่ือน และในส่วนของดาต้มอา้ งอิง
เท่าน้น
เพื่อเปล่ียนขอ
กา˚ หนดในการวเิ คราะห์ให
อดคลอ
งกบ
เงื่อนไขของการประกอบใชง
าน เช่น
สัญลก
ษณ์แสดงสภาวะเน้ือวส
ดุมาก ส
ลกษณ์แสดงสภาวะเน้ือวส
ดุนอ
ย สัญลก
ษณ์แสดงเส้นผา่ น
ศูนยกลาง เป็ นตน้
ภาพที่ 6.30 สญลกษณ์การปรับปรุง (Modifier Symbols)
(ที่มา: นรเศรษฐ์ คาบารุง,บริษท N-TRIS Solutions & Engineering)
สภาวะเนือวสดุ (Material Condition)
สภาวะเน้ือวส
ดุจะพิจารณาจากปริมาณเน้ือวส
ดุของชิ้นงาน ท่ีเปลี่ยนไปจากการ
กา˚ หนดขนาดและค่าพิกด 3 สภาวะ คือ
ความคลาดเคลื่อนที่ระบุไวใ้ นแบบงาน สภาวะของเน้ือวส
ดุแบ่งออกเป็ น
1. สภาวะเน้ือวสดุมากท่ีสุด (Maximum Material Condition, MMC) เป็ นสภาวะที่
ขนาดและค่าพิกด
ความคลาดเคล่ือนส่งผลให้ปริมาณเน้ือวส
ดุของชิ้นงานมีค่ามากที่สุด เช่นขนาด
ของรูที่เล็กที่สุดจะทา
ให้มีปริ มาณของเน้ือวส
ดุมีมากที่สุด หรือเพลามีขนาดใหญ่ที่สุดจะใช
สัญลกษณ์ ในการกา˚ หนดสภาวะเนอวื้ สดุ
2. สภาวะวส
ดุนอ
ยที่สุด (Least Material Condition, LMC) เป็ นสภาวะที่ขนาดและ
ค่าพิกด
ความคลาดเคลื่อนส่งผลใหป
ริมาณเน้ือวส
ดุของชิ้นงานมีค่านอ
ยที่สุด เช่นขนาดของรูที่ใหญ่
ที่สุดจะทา˚ ใหม
ีปริมาณของเน้ือวส
ดุเหลือนอ
ยท่ีสุด หรือเพลามีขนาดเล็กที่สุดจะใชส
ัญลกษณ์
ในการกา˚ หนดสภาวะเน้ือวสดุ
3. สภาวะที่ไม่คา˚ นึงถึงเน้ือวสดุ เป็ นการวเิ คราะหข์ นาดในสภาวะท่ีเกิดขึ้นจริง โดย
ไม่คา˚ นึงถึงขนาดและค่าพิกด
ความคลาดเคล่ือนที่ส่งผลต่อปริมาณเน้ือวส
ดุเป็ นเท่าไร
ภาพที่ 6.31 ขนาดในสภาวะเน้ือวส
ดุมากที่สุดและขนาดในสภาวะเน้ือวส
ดุนอ
ยที่สุด
สภาวะทไม่มีแรงภายนอกมากระทา (Free State)
สภาวะที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทา เป็ นเงื่อนไขการควบคุมและตรวจสอบขนาด
F
หรือรูปร่าง รูปทรงของชิ้นงานในสภาวะท่ีไม่มีแรงจากภายนอกที่เกิดจากการจบยึดช้ินงาน ซ่ึงจะ
พบในชิ้นงานที่มีลก
ษณะไม่แขง็ แกร่ง เช่น ยาง พลาสติก โลหะแผน
เป็ นตน
โดยใชส
ัญลก
ษณ์
ในการควบคุมสภาวะไม่มีแรงมากระทา
ภาพที่ 6.32 การควบคุมความกลมท่ีไม่มีแรงกระทา˚ ภายนอก
ระนาบสัมผสั
สัญลก
(Tangent Plane)
ษณ์การปรับปรุงระนาบสัมผส
ใช้ส˚าหรับการเปลี่ยนการวิเคราะห์รูปทรง
T
การจดวางทิศทาง และการควบคุมโครงร่าง การควบคุมพ้ืนผิว ไปเป็ นการควบคุมระนาบสัมผส
ดา้ นนอกของพ้ืนผว
โดยใช
เป็ นสัญลกษณ์ของระนาบสัมผส
การฉายพก
ภาพที่ 6.33 สญลกษณ์การปรับปรุงระนาบสมผส
ดความคลาดเคลอน (Projected Tolerance)
การฉายพิกด
ความคลาดเคลื่อน เป็ นการเปลี่ยนขอบเขตพิกด
ของการควบคุมความคลาดเคลื่อนของตา˚ แหน่ง ที่ใชใ้ นการควบคุมระนาบกลาง หรือแกนกลาง ใน
P
เน้ือวส
ดุไปเป็ นขอบเขตพิกด
ความคลาดเคล่ือนท่ีใช้ควบคุมระนาบกลาง แกนกลางนอกเน้ือวสดุ
ตามระยะที่ตอ
งการ โดยใช
เป็ นสัญลก
ษณ์ของการฉายพิกด
ความคลาดเคลื่อน
ภาพที่ 6.34 สญลกษณ์การปรับปรุงระนาบสมผสั
การควบคุมพนื ผวต่อเนอื่ ง (Continuous Feature)
การควบคุมขนาด หรือการควบคุมรูปทรง ของพ้ืนผิวแต่ละสัญลกษณ์จะเป็ นการ
ควบคุมเฉพาะผว
น้น
ซ่ึงในบางกรณีการประกอบงานเป็ นแบบต่อเน่ืองระหวา่ งพ้ืนผว
ต้งั แต่ 2 พ้ืนผิว
CF
ข้ึนไป เพื่อให้เป็ นไปตามเงื่อนไขของการประกอบผูอ
อกแบบจะกา˚ หนดสัญลก
ษณ์ปรับปรุงที่ใช
เพ่ือควบคุมผว
ต่อเนื่องโดยจะกา˚ หนดส
ลกษณ
เป็ นสัญลก
ษณ์ของการควบคุมผว
ต่อเน่ือง
ภาพที่ 6.35 สญลกษณการ์ การควบคุมผิวต่อเนื่อง
(ที่มา: นรเศรษฐ์ คาบารุง,บริษท N-TRIS Solutions & Engineering)
การควบคุมแบบอส
ตามกฏขอ้
ระ (Independency Principle)
ที่ 1 ถา้ ในแบบงานกา˚ หนดเฉพาะขนาดและพิกด
ความคลาดเคลื่อนเพียง
อย่างเดียว พ้ืนผิวที่เกิดความเบี่ยงเบนทางดา้ นรูปทรงจะตองไม่ล้า˚ ขอบเขตช้ินงานท่ีอยู่ในสภาวะ
เน้ือวส
ดุมากท่ีสุด (MMC) โดยกฏขอ
ท่ี 1 จะเกิดข้ึนโดยอต
โนมต
ภาพที่ 6.36 สญลกษณ์การการควบคุมแบบอิสระ
ถา้ ตอ
งการยกเลิกกฏขอ
ท่ี 1 สามารถทา˚ ไดโ
ดยกา˚ หนดสัญลก
ษณ์การควบคุมแบบ
I
อิสระ ลงในแบบงาน จะเป็ นการยกเลิกการควบคุมผิวพ้ืนผิวของช้ินงานด้วยขอบเขตของ
ชิ้นงานท่ีอยู่ในสภาวะเน้ือวสดุมากท่ีสุ ด ตัวอย่างเช่น ถ้าแบบงานมีการก˚าหนดพิกัดความ
คลาดเคลื่อนของรูปโครงร่างเส้นใดๆ เท่ากบ
0.3 มม. หมายความว่าค่าขอบเขตพิกด
ความคลาด
เคล่ือนท่ีทา
ให้เน้ือวส
ดุเพ่ิมข้ึนและขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนท่ีท˚าให้เน้ือวส
ดุลดลง มี
ระยะห่างดา้ นละ 0.15 มม. เท่าๆกน
เม่ือเทียบกบ
เวน
โครงร่างปกติ
ถา้ ตอ
งการใหข
อบเขตพิกด
ความคลาดเคล่ือนท่ีทา˚ ใหเ้ น้ือวส
ดุเพ่ิมข้ึนและขอบเขต
พิกด
ความคลาดเคล่ือนที่ทา˚ ให้เน้ือวส
ดุลดลงท้งั สองน้ีไม่เท่ากน
จะตอ
งกา˚ หนดสัญลกษณ ใน
U
ส่วนของค่าพิกด
ความคลาดเคลื่อน ตว
อย่างเช่น ถา้ แบบงานมีการกา˚ หนดพิกด
ของรูปโครงร่างเส้นใดๆ เป็ น 0.8 U 0.6 หมายความวา
ขอบเขตพิกด
ความคลาดเคล่ือนของการ
ควบคุมโครงร่างเท่ากบ
0.8 มม. โดยค่าที่ขอบเขตพิกด
ความคลาดเคลื่อนดา้ นท่ีทา˚ ให้วส
ดุเพิ่มข้ึนมี
ค่า 0.6 มม. และขอบเขตพิกด เส้นโครงร่างปกติ
ความคลาดเคล่ือนดา้ นที่ทา˚ ให้วส
ดุลดลง ทีค่า 0.2 มม. เมื่อเทียบกบ
ภาพที่ 6.37 การการควบคุมแบบขอบเขตไมเ่ ท่ากน
(ที่มา: นรเศรษฐ์ คาบารุง,บริษท N-TRIS Solutions & Engineering)