The creation of participatory campaign media to build understanding and reduce the problem of using kratom tea for the youth in the risk areas of Songkhla province.
สัญญาเลขที่………..
รายงานฉบับxxxxxxx
xxxสร้างสรรค์สื่อxxxxxxแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสงขลา
The creation of participatory campaign media to build understanding and reduce the problem of using kratom tea for the youth in the risk areas of Songkhla province.
(รหัสโครงการ 62-01619-0008)
โดย เสริมศักดิ์ ขุนพล
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
ได้รับทุนสนับสนุนโดย แผนงานศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลาxxxxxxxx
มีนาคม 2564
สัญญาเลขที่………..
รายงานฉบับxxxxxxx
xxxสร้างสรรค์สื่อxxxxxxแบบมีส่วนร่วมเพอสร้างความเข้าใจและลดปญหาการ เสพน้้ากระxxxในกลุ่มเยาวชนพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสงขลา
(รหัสโครงการ 62-01619-0008)
โดย เสริมศักดิ์ ขุนพล
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
ได้รับทุนสนับสนุนโดย แผนงานศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลาxxxxxxxx
Final Report
The creation of participatory campaign media to build understanding and reduce the problem of using kratom tea for the youth in the risk areas of Songkhla province.
(Project code 62-01619-0008)
By Xxxxxxx Xxxxxxx
Faculty of Social Sciences and Humanities, Thaksin University
This Project was supported by Centre for Addiction Studies (CADS)
Faculty of Medicine Prince of Songkla University March, 2021
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสร้างสื่อxxxxxxแบบมีส่วนร่วม ผลิตสื่อxxxxxx และทดสอบประสิทธิภาพสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่ม เยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม คือเอกสารออนไลน์ เกี่ยวกับดื่มน้้ากระท่อม จ้านวน 10 xxx การสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างผ่านการประชุมกลุ่มย่อยที่สุ่ม เลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มนักเรียน กลุ่มผู้xxxxxx ผู้น้าในชุมชน และศูนย์ บ้าบัดยาเสพติด จ้านวน 36 คน และปฏิบัติการร่วมกันเพื่อผลิตจากกลุ่มเยาวชนอาสาสมัคร จ้านวน 30 คน ร่วมปฏิบัติการ Workshop และผลิตสื่อxxxxxxxกัน หลังจากนั้นน้าสื่อxxxxxxทั้งหมดไปทดสอบ ประสิทธิภาพกับกลุ่มตัวอย่างนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายและระดับมัธยมศึกษา จ้านวน 400 คน ใน 5 โรงเรียนของพื้นที่อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ได้แก่ โรงเรียนเทพxxxxxxxxxxxx โรงเรียนเทพา โรงเรียนบ้านพระพุทธ โรงเรียนวัดxxxxxxxxxxมิตรภาพที่ 149 และโรงเรียนชุมชน นิคมสร้างตนเองเทพา ผลการวิจัยพบว่า การสร้างสื่อต้องเกิดมาจากความร่วมมือร่วมใจของผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียในพื้นที่ โดยให้ทั้งหมดต้องร่วมกันระดมความคิดเพื่อหาประเด็นที่จะสื่อสารในสื่อxxxxxx ซึ่ง สรุปออกมาได้ 2 ประเด็น คือ วิธีการป้องกันตนเองจากการติดน้้ากระท่อมของกลุ่มเยาวชน และวิธี ช่วยเหลือเพื่อนxxxxxxติดน้้ากระท่อมให้xxxxxxอยู่ในสังคมได้ เนื้อหาxxxxxxเสนอจะต้องxxxxxx ปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้รับสาร ให้มีความxxxxxxxxxถูกต้องเกี่ยวกับอัตลักษณ์ส่วนบุคคลของผู้ดื่มน้้า กระท่อมให้ตรงกับสภาพเป็นจริง โดยให้เยาวชนได้เห็นข้อเสียที่เกิดขึ้นและลบล้างอัตลักษณ์ทางสังคม แบบผิดๆ ที่มองว่าน้้ากระท่อมให้ประโยชน์มากกว่าโทษ ซึ่งกลุ่มเยาวชนอาสาสมัครที่สร้างสื่อเยาวชน ในพื้นที่อ้าเภอเทพาเป็นแกนหลักในการผลิตสื่อ ทั้งนี้สื่อที่คนในชุมชนเลือกใช้ได้แก่ สื่อ Fanpage เป็นสื่อหลัก และมีสื่อหนังสั้นเป็นสื่อสนับสนุน โดยxxxxxxxสื่อxxxxxxxxxมีผลต่อความเข้าใจและลด ปัญหาการเสพน้้ากระท่อมxxxxxxxxต่้ามาก ซึ่งxxxxxxท้านายได้เพียงร้อยละ 4.5 โดยการได้สิทธิ์และ เห็นคอมเม้นท์ในxxxมีxxxxxxxสูงสุด (β=.148) รองลงมาคือการสร้างประเด็น (β=.103) แม้ว่า xxxxxxxxxxจากการเข้ารับชมสื่อจะมีxxxxxxxต่อความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมน้อยมาก แต่ความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมของกลุ่มชาวบ้านและเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการใน ทุกๆ ขั้นตอน กลับให้ผลxxxxxมาก ซึ่งผู้เข้าร่วมกระบวนการทั้งหมดมีความกระตือรือล้นและตระหนักว่า ปัญหาการติดน้้ากระท่อมเป็นปัญหาของส่วนรวมทุกคนต้องช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหา และเป็น สิ่งที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชนให้มีทัศนคติท่างไกลน้้ากระท่อมได้
ค้าส้าคัญ: สื่อxxxxxx การมีส่วนร่วม น้้ากระท่อม เยาวชน
Abstract
The research aimed at investigating the creation of a participatory campaign media and verifying its effectiveness in forming understanding on Kratom drink consumption and minimizing its problems encountered by juveniles in Thepa Subdistrict, Songkhla Province. The data was collected from 3 different sources. The first source included 10 online publicizing the information on Kratom drink. Using a purposeful sampling technique, the second source contained 36 samples: students, parents, community leaders, and those in a drug dependence treatment center. The last source consisted of 30 young volunteers taking part in a workshop to produce the participatory campaign media. The effectiveness of the media was then verified with 400 samples who were upper-primary and secondary education students at 5 schools: Thep Phitthaya Phanumat School, Thepa School, Ban Phraphut School, Wat Nikhom Prasat Mitraphap Thi 149 School, and Chumchon Nikhom Sang Ton-ang Thepa School, all of which were in Thepa District, Songkhla Province. The findings revealed that all stakeholders were required to brainstorm and elaborate issues to be conveyed in the participatory campaign media. Their proposed ideas could be categorized into the following two issues: the juveniles’ prevention from Kratom drink dependence and how to help their peers who were currently independent from Kratom drink consumption to return to a normal life in the society. It was expected that the contents in the media would change audiences’ attitudes towards Kratom drink consumers’ identity as well as enable the audiences to perceive the factual information on it. Moreover, the juveniles might realize the disadvantages of such a drink, eliminating the social identity myth that prioritized its advantages over its disadvantages. The volunteers participating in the workshop and the juveniles in Thepa District played a key role in producing the media. Here, the young volunteers used a fan page as the main media and a short film as the supporting media. It was found that the influence of the media on the fan page visitors’ understanding on Kratom drink consumption and minimization of its problems was at a very low level. This could be predicted only at 4.5 %. The most significant predictor was the
acquisition of right to see the visitors comments (β=.148), followed by the
generation of issues (β=.103). Despite this, the understanding on Kratom drink and the minimization of its problems of the juveniles and the adults participating in the media creation showed a very satisfactory result: they were enthusiastic in taking part
in such process. They realized that Xxxxxx drink dependence was a public problem
that everyone had to prevent and attempt to solve. Children and juveniles should also be given useful information, encouraging them to become immune to the dependence.
Keywords: campaign media, participatory, kratom tea, juveniles
กิตติกรรมประกาศ
ก่อนที่ผู้วิจัยจะริ่เริ่มท้าวิจัยxxxxxxx ผู้วิจัยเองมีความกังวลว่าจะท้าส้าเร็จลุล่วงได้หรือไม่ เนื่องจากในช่วงการหาข้อมูลส้าหรับการเขียนโครงร่างวิจัยนั้นได้รับเสียงบ่นจากชาวบ้านบางส่วนว่า การระบาดxxxxxxxกระท่อมส้าหรับวัยรุ่นในพื้นเป็นเรื่องxxxxและสะสมมาอย่างยาวนานเกินกว่าจะ แก้ไขได้ ท้าให้ผู้วิจัยเกิดข้อสงสัยว่าแล้วผลงานวิจัยที่เกิดขึ้นจะออกมาในลักษณะใดกันแน่ จนกระทั่ง ได้ลงปฏิบัติในพื้นที่จริงๆ กลับพบว่าชาวบ้านและเยาวชนในชุมชนต่างให้ความสนใจและให้ความ ร่วมมือเป็นอย่างดี โดยทุกคนต่างตระหนักถึงปัญหาน้้ากระท่อมที่เกิดขึ้น แต่พวกเขายังมองไม่เห็น แนวทางในการแก้ไขว่าจะท้าอย่างไร เมื่อผู้วิจัยได้xxxxxxงานไปยังชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ ทุก คนล้วนให้การตอบรับxxxxx และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยxxxxxxx ถึงแม้ว่างานวิจัยxxxxxxxจะเป็น เพียงงานวิจัยชิ้นเล็กๆ แต่ท้าให้ผู้วิจัยรู้สึกปราบปลื้มกับผลการด้าเนินงานที่เกิดจากการร่วมมือร่วมใจ ของxxxxxxxxxพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนในที่พื้นที่อ้าเภอเทพาทุกคนที่เข้ามีส่วนร่วมในหลายๆ กิจกรรม xxxx การให้สัมภาษณ์ การประชุมกลุ่ม การเข้าค่ายผลิตสื่อ และร่วมสะxxxxxxxxxxxxxxของ สื่อ จนท้าให้งานวิจัยxxxxxxxส้าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ขอขอบคุณ ดร.ธม xxxxxxx ผู้อ้านวยการโรงเรียนเทพxxxxxxxxxxxx และผู้ใหญ่บ้านxxxx xxxx มะxxxxx ผู้ใหญ่บ้านแห่งบ้านxxxxxxxเป็นxxxxxxxxxxx ในการระดมชาวบ้านและร่วมสร้างกิจกรรม ในทุกๆ ภาคส่วนของงานวิจัย และที่ต้องขอขอบคุณเป็นที่สุดคือคณะกรรมการพิจารณาทุนวิจัยศูนย์ ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ส้านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ทุกๆ ท่าน ที่ พิจารณาให้ทุนวิจัย และขอบคุณทีมงาน ศศก. ทุกท่านที่อ้านวยความสะดวกในทุกขั้นตอน
ผู้วิจัย
xxxxxx
งานวิจัยนี้ได้รับเงินสนับสนุนทุนอุดหนุนจากศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ส้านักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ประจ้าปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 xxxxxxxxxxxxอย่างยิ่ง ว่าผลงานวิจัยxxxxxxxจะxxxxxxสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนเทพา และกลุ่มเยาวชนที่พื้นที่เทพา ให้ได้คิด และตระหนักถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาน้้ากระท่อมอย่างจริงจัง จนสามารลดการเสพน้้ากระท่อม ของเยาวชนในพื้นที่ได้ โดยเนื้อหาในเอกสารนี้เป็นความเห็นทางวิชาการของผู้เขียน มิใช่ ความเห็นของหน่วยงานและองค์กรผู้สนับสนุน หากมีส่วนใดของรายงานที่มีข้อxxxxxxx ผู้วิจัยขอรับ ฟังทุกข้อเสนอแนะมา ณ โอกาสนี้
ผู้วิจัย
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อ 4
Abstract 5
กิตติกรรมประกาศ 7
xxxxxx 8
สารบัญ 9
สารบัญตาราง 11
xxxxxxxxx 12
1 บทน้า 13
ความเป็นมา หลักการและเหตุผล 13
วัตถุประสงค์การศึกษา 15
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 15
xxxxxxxxxxเฉพาะ 15
กรอบแนวคิด 16
2 การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 17
แนวคิดเกี่ยวกับการxxxxxx 17
ทฤษฎีเทคโนโลยีเป็นตัวก้าหนด 18
แนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารเพื่อการพัฒนา 22
แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบสื่อสังคมออนไลน์ 25
แนวคิดเกี่ยวกับการตอบxxxxของผู้รับสาร 28
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 30
3 วิธีด้าเนินการศึกษา 32
กลุ่มเป้าหมาย และพื้นที่ด้าเนินการ 33
ระยะเวลาด้าเนินการ 33
เครื่องมือ/แบบเก็บข้อมูล 33
การเก็บรวบรวมข้อมูล 33
การวิเคราะห์ข้อมูล 33
4 ผลการศึกษาและวิเคราะข้อมูล 35
ส่วนที่ 1 ผลการวิเคราะห์รูปแบบการสื่อสารและการแสดงอัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการ
ดื่มน้้ากระท่อมบนสื่อสังคมออนไลน์ประเภทเฟสบุ๊ก 35
ส่วนที่ 2 ผลการวิเคราะห์การประชุมกลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อค้นหาแนวทางการ สร้างสื่อxxxxxxxxxหรับสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา 42
ส่วนที่ 3 การออกแบบและพัฒนาสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา 48
ส่วนที่ 4 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา
การเสพน้้ากระท่อมของกลุ่มตัวอย่างเยาวชนในอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา 58
5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 64
บรรณานุกรม 70
ภาคผนวก 73
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1 สื่อสังคมออนไลน์ประเภทเฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อมที่และxxxxxติดตามสูงสุด จ้านวน 10 ผลงาน (ข้อมูล ณ xxxxxx 20 กรกฎาคม 2563) 35
2 ผลการวิเคราะห์การประเมินคุณภาพของสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา 56
3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะประชากรของกลุ่มตัวอย่าง 58
4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงxxxมาตรฐานความพึงxxxxเกี่ยวกับสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจ และลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม 59
5 การรับรู้เกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมหลังจากชมสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจ และลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม 60
6 ค่าความxxxxxxxxของสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม หลังจากชมสื่อของกลุ่มตัวอย่าง 61
7 การทดสอบxxxxฐานโดยตรวจสอบค่าความxxxxxxxxของสื่อ Fanpage กับความเข้าใจ และลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน 62
8 รูปแบบสื่อย่อยใน FanPage xxxxxxรัก 66
xxxxxxxxx
ภาพที่ หน้า
1 น้้ากระท่อมผ่านการผสมในลักษณะxxxxxxร้อย 13
2 กรอบแนวคิดในการวิจัย 16
3 แบบxxxxxxของกระบวนตอบxxxx 29
4 ตัวอย่างข้อความกลุ่มเนื้อหาพลังบวกที่ปรากฏในเฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อม 38
5 ตัวอย่างข้อความกลุ่มเนื้อหาสร้างกระแสที่ปรากฏในเฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อม 38
6 รูปแบบการสื่อสารของสื่อสังคมออนไลน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อม 40
7 การแสดงอัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมดื่มน้้ากระท่อมของผู้ใช้สื่อที่ปรากฏในxxx 41
8 แผนภาพสรุปสถานการณ์ปัญหาการเสพน้้ากระท่อมและทิศทางการxxxxxxในกลุ่มเยาวชน 48
อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
9 แผนภาพความคิด (Mind Map) จากการระดมความคิดเกี่ยวกับประเด็นด้านเนื้อหาสื่อ 50
10 หน้าจอxxx “xxxxxxรัก” ที่จัดท้าโดยเยาวชนในพื้นที่อ้าเภอเทพา 51
11 เปรียบเทียบรูปตราสัญลักษณ์ของxxx “xxxxxxรัก” ก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลง 52
12 ตัวอย่างสื่อภาพนิ่งภายในxxxxxxxxxรักของกลุ่มอาสาสมัคร 52
13 กระบวนการท้าคลิปวิดีโอภายในxxxxxxxxxรักของกลุ่มอาสาสมัคร 53
14 แผนที่ความคิด (Mind Map) ของภาพยนตร์สั้นเรื่อง คิดเลิกxxxx 54
15 ภาพบางส่วนจากสื่อหนังสั้นภายในxxxxxxxxxรักของกลุ่มอาสาสมัคร 54
16 ภาพบางส่วนจากสื่อมิวสิควิดีโอภายในxxxxxxxxxรักของกลุ่มอาสาสมัคร 56
17 แนวทางการสื่อสารแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพ น้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา 64
18 ค่าความxxxxxxxxของสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมหลังจากชมสื่อ 67
บทที่ 1 บทน้า
ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเยาวชนไทย โดยเฉพาะเยาวชนในพื้นที่ ห่างไกลในจังหวัดชายแดนของไทยที่ต่างตกเป็นผู้ที่อยู่ในภาวะxxxxxxxxxxxxxxxxxxมาก จากการส้ารวจ เมื่อปี 2559 ของศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด กองอ้านวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ระบุว่า 1 ใน 5 ของเยาวชนในกว่า 2,000 หมู่บ้านใน 4 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลาต่างมีแนวโน้มติดยาเสพติด เฉพาะในพื้นที่ จังหวัดสงขลาเพียงจังหวัดเดียวพบว่ามีการแพร่ระบาดของยาเสพติดอยู่ในล้าดับที่ 9 ของประเทศ ส่วนxxxxxxxxในอ้าเภอรอบนอก 4 อ้าเภอหลักๆ โดยไล่ตามล้าดับตามจ้านวนของกลางที่ถูกยึดมามาก ที่สุดของภาคใต้ ได้แก่ อ้าเภอจะนะ อ้าเภอเทพา อ้าเภอนาทวี และอ้าเภอสะบ้าย้อย ซึ่งยาเสพติดที่มี การเสพมากที่สุด ได้แก่ พืชกระท่อมคิดเป็นร้อยละ 57.84 รองลงมาคือยาบ้า ร้อยละ 18.49 และ ไอซ์ ร้อยละ 13 และมีแนวโน้มการแพร่ระบาดxxxxxมากขึ้น จากรายงานสถานการณ์ยาเสพติดจังหวัด สงขลา ปี 2561 พบว่า การเสพกระท่อมได้xxxxxสัดส่วนเป็นร้อยละ 61.22 ของยาเสพติดที่ระบาดอยู่ ในพื้นที่ของจังหวัด เนื่องจากมีการลักลอบน้าเข้าพืชกระท่อมอย่างต่อเนื่องจากจังหวัดอื่นๆ และ ประเทศใกล้เคียง (นันท์ชนก วงษ์สมุทร์, 2560. xxxxxxxxx xxxxxxxxx, 2562)
กระท่อมเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เข็มและกาแฟ (Rubiaceae) เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 4-16 เมตร เติบโตxxxxxในที่ชุ่มชื้น ความชื้นสูง xxxxxxxxxxxxxx และมีแสงแดดปานกลาง กระท่อมจัดเป็นพืช ที่มีสารออกฤทธิ์ต่อจิตxxxxxx สมัยโบราณมีการใช้ใบกระท่อมเพื่อxxxxxxxxติดเชื้อในล้าไส้ xxxxxx อาการปวดกล้ามเนื้อ ลดxxx xxxxxxอาการไอและxxxxxxxx นอกจากนี้ยังมีการใช้กระท่อมในกลุ่มของ ผู้ใช้แรงงานเพื่อกดความรู้สึกเมื่อยล้า ทนต่อการท้างานกลางแจ้ง ทนxxxx ทนแดด และxxxxxx ท้างานได้ยาวนานมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนน้ากระท่อมไปใช้ในทางที่ผิด โดย น้าน้้าใบกระท่อมไปผสมกับยาแก้xx xxxxอัดลม xxxxxxกล้ามเนื้อ กาแฟ และเครื่องดื่มอื่นๆ เพื่อแต่ง รส ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อน้้ากระท่อม “ xxxxxxร้อย (4 X 100) ” (xxxxx xxxxxxx, 2559)
ภาพที่ 1 น้้ากระท่อมผ่านการผสมในลักษณะxxxxxxxxxx xxxมา หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังxxมีความเข้าใจผิด และคิดบวกกับการดื่มน้้ากระท่อม ว่าแม้กระท่อม จัดเป็นพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยได้เหตุผล ว่าการดื่มในช่วงแรกแม้จะมีความรู้สึกxxxxx xxxเคลิ้มเหมือนลอย แต่น้้ากระท่อมก็ท้าให้จิตใจสบาย สมองโล่งโปร่ง นอนหลับ รับประทานอาหารได้ กระปรี้กระเปร่า ไม่โทรม ประหยัดค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ยาเสพติดอื่น (สุไหวด๊า xxxxxx, 2558) ซึ่งกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดxxxxxxxxxx เนื่องจากวิธีxxxxxx กระท่อมมาเสพด้วยความxxxxxxxxxxxxxxxxxx ด้วยxxxxxxน้้าต้มใบกระท่อมไปผสมกับส่วนผสมอื่น xxxx ยาจุดกันยุงชนิดขด สารฟxxxxเรสเซนต์จากหลอดไฟนีออน เป็นต้น หรือได้รับในปริมาณที่สูงมาก จะ ท้าให้เกิดภาวะกดxxxxxxและกดการหายใจซึ่งจะเป็นสาเหตุท้าให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะการใช้ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะท้าให้เกิดอาการติดได้ (xxxxx xxxxxxx, 2559) อีกทั้งผู้ดื่มน้้ากระท่อม จะมีxxxxxxxxxxจะหันไปเสพยาบ้าหรือกัญชาได้ง่าย จากสิ่งแวดล้อมและการถูกชักชวนของเพื่อนxxxx xxxดื่มน้้ากระท่อมร่วมกัน (xxxxx xxxxxxxx และคณะ, 2559)
เยาวชนที่เข้ามาบ้าบัดการเสพติดน้้ากระท่อมทั้งแบบระบบสมัครใจ และระบบบังคับบ้าบัด ในพื้นที่จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ว่าสิ่งที่ท้าให้พวกเขามีพฤติกรรมเสพน้้ากระท่อม คือ การขาดความรู้ เกี่ยวกับพิษภัยของยาเสพติด การมีกลุ่มเพื่อนที่มั่วสุมกับสารเสพติด และผู้xxxxxxxxxเข้าใจวิธีการ อบรมพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม (รชดี xxxxxxx และเกษตรxxx xxxxxx, 2559 :1-33) ดังนั้น ทางออกxxxxxคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติของเด็กและผู้xxxxxxให้ตระหนักถึงโทษและพิษภัย ว่า กระท่อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มxxxxxxร้อยเป็นเครื่องดื่มประเภทนี้xxxxxxท้าลายสุขภาพได้ รุนแรง และดึงเยาวชนออกจากยาเสพติดxxxxxxxxxท้าลายพื้นฐานสังคมอย่างรุนแรงอยู่ในขณะนี้ (xxxxx ดะห์ลัน, 2560)
ในอดีตรัฐบาลได้มีการxxxxxxเพื่อชี้ให้เห็นโทษและผิดภัยxxxxxxxกระท่อม แต่การแก้ไขปัญหา ดังกล่าวเป็นการมุ่งxxxxนโยบายจากหน่วยงานภาครัฐ ที่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ไม่ มีข้อมูลในด้านสถานการณ์ปัญหาxxxxxxxxx มีข้อจ้ากัดในด้านเวลา เน้นความส้าเร็จเชิงปริมาณ รวมทั้ง มุ่งใช้อ้านาจกฎหมายจัดการกลุ่มผู้ค้าผู้เสพในชุมชน โดยการจับ ปรับ กัก ขัง ท้าให้xxxxxxแก้ปัญหา ไปได้ในช่วงขณะได้ แต่ไม่xxxxxxป้องกันพร้อมทั้งแก้ไขปัญหาน้้ากระท่อมให้ทุเลาลงได้ระยะยาว (รช ดี xxxxxxx และเกษตรxxx xxxxxx, 2559, 1-33) ดังนั้นการxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน จ้าเป็นต้องอาศัยการสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน xxxx การ xxxxxxxxxxสังคมแบบบูรณาการ จัดโครงการโรงเรียนป้องกันยาเสพติด xxxxxxxxครอบครัวสีขาวและ ครอบครัวxxxxxxxx และโครงการบ้าบัดรักษาและฟื้นฟูสรรถภาพของผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดแบบบูรณา การ (xxxxxxxxx xxสวดและxxxxx xxxxxxxxxxxxxx, 2559) ผ่านสื่อxxxxxxxxxอยู่ในความต้องการและสนใจ ของเยาวชน ไม่ใช่เป็นความสนใจของผู้ใหญ่หรือของผู้ผลิต โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดง ความxxxxxx และมีส่วนร่วมในการผลิตสื่อ ซึ่งท้าให้เขาเหล่านั้นxxxxxxxเรียนรู้และได้สื่อที่ตรงกับ ความต้องการจริงๆ (ไทยบีxxxxx, 2555)
ปัจจุบันเยาวชนxxxxxแนวโน้มบริโภคสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และxxxxxxxxxลดลง โดยมุ่งให้ความ สนใจสื่อสังคมออนไลน์xxxxxมากขึ้นและมีการใช้งานอย่างสม่้าเสมอ (Highly Active User) YouTube เป็นสื่อxxxxxxรับความxxxxมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 77 รองลงมาคือ Facebook ร้อยละ 76 Line ร้อย ละ 61 Instagram ร้อยละ 24 Twitter ร้อยละ 12 และ Snapchat ร้อยละ 4 (ส้านักงานxxxxxxxx
เศรษฐกิจดิจิทัล อ้างใน ว้อยซ์ทีวีออนไลน์, 2560) การxxxxxxโฆษณาxxxxxxxจ้าเป็นต้องสื่อสารผ่าน สื่อสังคมออนไลน์ของในรูปแบบกิจกรรม ฟีดข่าวและการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง ผสานกับความคิด สร้างสรรค์ xxxxx เรื่องตลกขบขันมาใช้ในการสร้างเนื้อหาxxxxxxสนใจและควบคุมได้ (ทรัมอัพมีเดีย, 2560) นอกจากนี้ต้องมีบุคคลที่เกี่ยวข้องในครอบครัวและชุมชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตสื่อ xxxxxxนั้น โดยมีเยาวชนเป็นศูนย์กลางในการออกแบบและผลิตของตนเองโดยเฉพาะ จึงจะท้าให้การ สื่อสารนั้นน้าไปสู่การแก้ไขปัญหาน้้ากระท่อมที่เกิดขึ้นกับวัยเยาวชนในพื้นที่เป้าหมายได้
วัตถุประสงค์การศึกษา
1. เพื่อศึกษาการสร้างสื่อxxxxxxแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพ น้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
2.เพื่อผลิตสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
3.เพื่อทดสอบประสิทธิภาพสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม ในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ได้สื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนพื้นที่ เสี่ยงของจังหวัดสงขลา
2.ผลของการศึกษาxxxxxxน้าไปเป็นแนวทางส้าหรับป้องกันการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่ม เยาวชนพื้นที่อื่นๆ
นิยามศัพท์เฉพาะ
สื่อxxxxxx หมายถึง สื่อสังคมออนไลน์ประเภท Fanpage ที่สร้างขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจถึง พิษภัยxxxxxxxกระท่อมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการไม่การเสพน้้ากระท่อม โดยภายในสื่อประกอบ ไปด้วย ภาพ Feed ข่าว คลิปวิดีโอ หนังสั้น และมิวสิควิดีโอ
การผลิตสื่อแบบมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการออกแบบและผลิตสื่อ Fanpage xxxxxx
เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสงขลาที่ เกิดจากความร่วมมือของ 4 ภาค ส่วนได้แก่ 1.กลุ่มนักเรียน 2.กลุ่มผู้xxxxxx 3. ผู้น้าในชุมชน และ
4. ศูนย์บ้าบัดยาเสพติด
น้้ากระท่อม หมายถึง น้้ากระท่อมที่จัดเป็นยาเสพติดมีส่วนผสมกับสารอื่นๆ xxxx xxxxxxxx น้้าอัดลม ยากันยุง ยาแก้xx xxxxxxกล้ามเนื้อ กาแฟ สีสะท้อนแสงที่ใช้ทาพื้นถนน ผงเรืองแสงใน หลอดฟูลออเรสเซนน์ และเครื่องดื่มอื่นๆ เพื่อแต่งรส โดยมีชื่อเรียกว่าสูตรดังกล่าวว่า “xxxxxxร้อย”
เยาวชน หมายถึง กลุ่มนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย และระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ใน 5 โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ได้แก่ โรงเรียนเทพxxxxxxxxxxxx โรงเรียน
เทพา โรงเรียนบ้านพระพุทธ โรงเรียนวัดxxxxxxxxxxมิตรภาพที่ 149 และโรงเรียนชุมชนนิคมสร้าง ตนเองเทพา
พื้นที่เสี่ยง หมายถึง อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงที่มีการจับกุมน้้ากระท่อม มากในจังหวัดสงขลา
กรอบแนวคิด
มิวสิควิดีโอ
Feed
ข่าว
คลิป
หนังสั้น
เยาวชนใน
พื้นที่เสี่ยง
สถานการณ์น้้ากระท่อม
xxxxxxxxxxxxxx xxxxx
หรือผู้น้าชุมชน/ โรงเรียน
ปัจจัยทาง
จิตวิทยา
ปัจจัยทาง
สังคม
เทคโนโลยีสื่อ
ผู้xxxxxx
ศูนย์xxxxxxและ
บ้าบัดยาเสพ ติด
ประสิทธภาพสื่อ Fanpage xxxxxx เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม
Fanpage สื่อxxxxxxแบบมีส่วนร่วมเพื่อ สร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อม
ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดในการวิจัย
บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยครั้งนี้ได้ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 1.แนวคิดเกี่ยวกับการxxxxxx
2.ทฤษฎีเทคโนโลยีเป็นตัวก้าหนด
3.แนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารเพื่อการพัฒนา
4.แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบสื่อสังคมออนไลน์
5.แนวคิดเกี่ยวกับการตอบxxxxของผู้รับสาร
6.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.แนวคิดเกี่ยวกับการxxxxxx
การxxxxxxเป็นการสื่อสารที่มีxxxxxxxในการสื่อสารเพื่อให้เกิดxxxxxxxต่อความเชื่อหรือ พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย (Rogers, 1979) โดยใช้xxxxxxxหลากหลายช่องทางและใช้สารหลากหลาย รูปแบบ โดยมีลักษณะส้าคัญของการxxxxxxมีดังนี้
1.การxxxxxxเป็นการกระท้าที่มีxxxxxxxx xxxผู้ท้าการxxxxxxxxxมีการคาดxxxxxxตอบกลับที่ จะเกิดจากการสื่อสารxxxxxxท้าซึ่งผลตอบรับนั้นอาจก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งผู้รับหรือผู้ส่งก็ได้
2.การxxxxxxxxxมีxxxxxxxxxxxประชาชนกลุ่มใหญ่ โดยกลุ่มเป้าหมายในการxxxxxxจะ xxxxxxก้าหนดได้จากวัตถุประสงค์ของการxxxxxxนั้นๆ
3.การxxxxxxจะมีการก้าหนดเวลาหรือช่วงเวลาในการxxxxxxไว้อย่างแน่นอนชัดเจน จนไป xxxxxxประเมินxxxxxxxxxxของการxxxxxxนั้นๆ
4.การxxxxxxประกอบไปด้วยชุดของการสื่อสารที่มีการเตรียมการและวางแผนล่วงหน้า โดย มักมีการจัดเตรียมการสื่อสารนั้น เพื่อจัดกลุ่มxxxxxxxxxxxต้องการสื่อหรือกิจกรรมxxxxxxใช้กันอย่าง xxxxxxxx คือการใช้สื่อข้อความและการxxxxxxข้อความไปยังกลุ่มเป้าหมาย
Rice และPaisley (1989) ได้นิ ยามการxx xxxx เผยแพร่ข่าวสารxxxx x ( Public Information Campaign) ว่าเป็นเครื่องแสดงความตั้งใจของผู้xxxxxxxxxต้องการมีxxxxxxxต่อความเชื่อ และพฤติกรรมของผู้อื่น โดยการสื่อสารเป็นจุดสนใจ (Communicated Appeals) ต่อกลุ่มเป่าหมาย และยังเป็นหลักพื้นฐานของการxxxxxxการสื่อสาร ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
1.การประเมินความต้องการ xxxxxxxxxx และความxxxxxxในการตอบxxxxของผู้รับที่ เป้าหมาย เพื่อxxxxxxเข้าใจและเห็นภาพเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยการศึกษาบุคลิกภาพ ทัศนคติ รูปแบบความรู้สึก และการด้ารงชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย
2.การวางแผนxxxxxxและการผลิตสื่อต้องท้าอย่างมีระบบ โดยส่วนใหญ่ประกอบด้วย 3 ส่วน ส้าคัญ ดังนี้
2.1 การวางเป้าประสงค์ทางการสื่อสาร (Communication Goals) ในการ วางโครงการxxxxxxเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจ้านวนมากจะต้องมีวางวัตถุประสงค์เกี่ยวกับผลของ เนื้อหาสารที่ต้องการให้เกิดขึ้นต่อบุคคล
2.2 กลยุทธ์สาร (Message Strategy) ข้อมูลสารมีความส้าคัญอย่างยิ่งต่อ กระบวนการโน้มน้าวใจ ในการท้าให้กลุ่มxxxxxxxxxxxxxxxเปิดรับการxxxxxxเรื่องใดๆ นั้นมี xxxxxxxxxxเพื่อต้องการให้กลุ่มเป้าหมายได้รับxxxxxxxจากเนื้อหาสารxxxxxxสื่อไป โดยประสิทธิภาพของ สารที่ส่งไปนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะในการเร้าxxxxxx รูปแบบในxxxxxxเสนอและชนิดของสาร ทั้งนี้ จะต้องวิเคราะห์ปัจจัยร่วมอื่นๆ xxxx ความถี่ รูปแบบ ลักษณะเนื้อหาที่ใช้กระตุ้นความสนใจ ประกอบ ร่วมด้วย
2.3 ช่องทางการแพร่xxxxxxสาร (Message Distribution) ซึ่งช่องทางทางสื่อสาร ต้องค้านึงถึงวิธีxxxxxxเสนอสารในแต่ละครั้ง การใช้ช่องทางการแพร่xxxxxxนั้นต้องใช้อย่างสม่้าเสมอ กับสถานการณ์ในการxxxxxxเพื่อกระตุ้นความสนใจของกลุ่มเป้าหมายและควรค้านึงถึงเวลาที่ เหมาะสมกับสถานการณ์ในการxxxxxx xxxxxxxผู้ใช้สื่อเองจะต้องทราบคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิดว่ามี ข้อดีและข้อจ้ากัดอย่างไร xxxxxxxxxxข้อดีของสื่อชนิดต่างๆ และวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมสมา ประยุกต์ใช้ด้วยกันจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสื่อสาร
3.การประเมินผลอย่างต่อเนื่อง หมายxxxxxxจัดท้าประเมินผลในทุกขั้นตอนของการxxxxxx xxxxก่อนเริ่มท้าการxxxxxx ระหว่างการxxxxxx และหลังการxxxxxxเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้xxxxxx ประเมินความส้าเร็จ ตรวจสอบข้อผิดพลาดในช่วงเวลาต่างๆ xxxxxxxxตอบกลับจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อที่จะxxxxxxหาแนวทางแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้การxxxxxxนั้นๆ มีประสิทธิภาพxxxxxxxขึ้น
4 .บ ทบาทเสริมของสื่อมวลชน (Mass Media) และการสื่อสารระห ว่างบุ คคล (Interpersonal Media) เป็นอีกหนึ่งบทบาทของสองสื่อที่ต้องมีการเสริมและอื้อต่อการxxxxxx โดย มีหน้าที่xxxxxxข้อมูลข่าวสาร สร้างความส้านึกและxxxxxความรู้ในวงกว้าง ประกอบกับการใช้สื่อ บุคคลจะช่วยให้เนื้อหาสาระของการxxxxxxมีความหมายเชื่อมโยงกับxxxxxxxxxxxในระดับต่างๆ ได้
5.การเลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นการเลือกสรรช่องทางต่างๆ ที่โครงการ xxxxxxxxxxxxใช้ในการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากการ เลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสมจะท้าให้กลุ่มเป้าหมายได้รับสารอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.ทฤษฎีเทคโนโลยีเป็นตัวก้าหนด
ทฤษฎีเทคโนโลยีเป็นตัวก้าหนดเป็นการวิเคราะห์พลังการผลิตในส่วนเสี้ยวที่เป็น ความxxxxxxxxทางเทคโนโลยีและเมื่อน้ามาประยุกต์ใช้ในแวดวงสื่อมวลชน (Communication technology) (xxxxxx xxxxxxx, 2541: 223 – 224) xxxxxxxxxxxxxxxได้ใน 2 มุมมอง คือการ เริ่มจากการตั้งค้าถามว่า เมื่อเทคโนโลยีทางการสื่อสารได้เปลี่ยนแปลงไป จะxxxxxxxกระทบอะไรให้ เกิดขึ้นกับระดับสังคม สถาบัน และxxxxxxxxxxxบ้าง แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของกลุ่ม Technology Determinism โดยแท้ เพราะมีความเชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นตัวสาเหตุหลัก (Prime Mover) ในการ ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงให้เกิดส่วนอื่น ๆ ในทางกลับกันว่า ภายใต้เงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลง ทางสังคมอะไรบ้างที่จะเป็นตัวก้าเนิดแก่ความxxxxxxxxxxxxxทางเทคโนโลยีแบบต่าง ๆ xxxxxxxxxสองนี้ จะมองว่าเงื่อนไขสังคมนั้นจะเป็นตัวสาเหตุหลัก ส่วนการพัฒนาเทคโนโลยีนั้นจะกลายมาเป็นผลลัพธ์ ทั้งนี้หากแยกขั้นตอนของการพัฒนาเทคโนโลยีออกเป็น 2 จังหวะ คือขั้นตอนของการxxxxxxxxค้นคว้า ทดลอง xxxxxxxเป็นงานของนักวิทยาศาสตร์หรือกลุ่มผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ กับขั้นตอนในxxxxxxเอาผลงานทาง
วิทยาศาสตร์มาใช้ในสังคมวงกว้าง ทั้งสองขั้นตอนนั้นต่างก็ถูกก้าหนดมาจากความจ้าเป็น ความ ต้องการและกฎxxxxxxxของสังคม
D. XxXxxxx (1994) ได้xxxxxxคุณลักษณะเด่น ๆ ของแนวคิดทฤษฎีของกลุ่มนี้ดังนี้ 1.เทคโนโลยีการสื่อสารเป็นพื้นฐานของทุกสังคม 2.เทคโนโลยีแต่ละชนิดก็จะเหมาะสมกับรูปแบบโครงสร้างสังคมแต่ละอย่าง 3.ขั้นตอนของการผลิตและการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารจะเป็นตัวน้าให้xxxxxxxเปลี่ยนแปลง
ของสังคม
4.การxxxxxxxเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการสื่อสารในแต่ละครั้งจะท้าให้xxxxxxxxxxxxxx เปลี่ยนแปลงสังคมตามมา
นักทฤษฎีคนส้าคัญของกลุ่มทฤษฎีเทคโนโลยีเป็นตัวก้าหนดแห่งส้านัก Toronto มีอยู่ 2 ท่านคือ H. Innisและ McLuhan ซึ่งถึงแม้ว่าจะสนใจxxxxxxxของเทคโนโลยีเหมือนกัน แต่ทั้งสองท่าน ก็มีทัศนะพื้นฐานต่อเทคโนโลยีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ Innis มองว่าพัฒนาการxxxxxxxxxxx ของเทคโนโลยีการสื่อสารนั้นเป็นไปเพื่อช่วยรักษาลักษณะโครงสร้างอ้านาจxxxxxxxxxx เพราะเป็น อ้านาจxxxxxxศูนย์อยู่ในคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มเดียว ในขณะxxx XxXxxxxสนใจว่าความxxxxxxxxของ เทคโนโลยีการสื่อสารได้ช่วยขยายประสบการณ์อันจ้ากัดของxxxxxxxxxxxให้กว้างขวางออกไปมากขึ้น xxxxx xxxxในแง่มิติของxxxx (รวดเร็วขึ้น) และเทศะ(ไร้พรมแดนและxxxxxxระยะทางมากขึ้น) (xxxxxx xxxxxxx, 2541: 248 – 249) ส้าหรับความสนใจเรื่องสื่อกับประสบการณ์ของมนุษย์นั้น จุดเด่นของ McLuhan อยู่ที่เขาไม่สนใจว่า “คนเรามีประสบการณ์กับอะไร”(what we experience) แต่กลับสนใจว่า “คนเรามีประสบการณ์อย่างไร” (How we experience) หากพูดในภาษาการ สื่อสารก็คือ XxXxxxx xxxได้สนใจ “เนื้อหาของข่าวสาร”(Content) หากแต่สนใจ “รูปแบบของสื่อ” (form/media) ดังที่อยู่ในข้อสรุปสั้น ๆ ของเขาที่ว่า “เพียงแค่ตัวสื่อก็เป็นสารแล้ว” (medium is the message) เนื่องจาก McLuhan คิดว่า เพียงแค่การเปลี่ยนตัวสื่อเท่านั้น ก็จะxxxxxxxกระทบให้ xxxxxxxเปลี่ยนแปลงกับประสบการณ์ของมนุษย์แล้ว (xxxxxx xxxxxxx, 2541: 230 - 238)
จากแนวคิดของ Everett Rogers ในฐานะที่เป็นนักนิเทศศาสตร์และเป็นนักคิดกลุ่ม เทคโนโลยีเป็นตัวก้าหนดอย่างแบบอ่อนๆ (Soft technology determinism) เขามีความคิดพื้นฐาน ว่า “ปัจจัยด้านเทคโนโลยีการสื่อสารบวกผสมกับปัจจัยอื่น ๆ จะรวมตัวกันเป็นสาเหตุแห่งการ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสังคม” กล่าวคือ Rogers เห็นว่าเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นปัจจัยหลักxxxxxxคัญ อย่างยิ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม xxxxxxxปัจจัยตัวนี้ต้องท้างานร่วมไปกับปัจจัยตัวอื่น ๆ เขาได้ ค้นคว้าคุณลักษณะส้าคัญของสื่อใหม่ ๆ (New Media) xxxx คอมพิวเตอร์ โดยเปรียบเทียบกับ คุณลักษณะของรูปแบบการสื่อสารอย่างเดิม ๆ ที่มีอยู่ คือการสื่อสารระหว่างบุคคลและการ สื่อสารมวลชนไว้
Rogers ได้ค้นคว้าคุณลักษณะของสื่อสมัยใหม่ (New Media) xxxxxxxxxเกิดขึ้นในปัจจุบันและ ชี้ให้เห็นว่าคุณลักษณะส้าคัญ ๆ ของสื่อแบบใหม่จะมีผลต่อเนื่องไปxxxxxxเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ ของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นมีอยู่ 3 ประการ
1.ลักษณะ Interactivity ของxxxx xxxเดิมนั้นคุณสมบัติที่จะตอบโต้การสื่อสารระหว่าง 2 ฝ่าย นั้น จะมีอยู่แต่เฉพาะในการสื่อสารระหว่างบุคคลแบบเผชิญหน้าเท่ านั้น (Face-to-face
communication) หากเริ่มมีการใช้สื่อกลางแบบใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ลักษณะ “ตอบโต้อย่างฉับพลัน ทันที” จะสูญหายไป แต่สื่อในxxxxxxxx xxxx การใช้ E-mail หรือ Computer - Conference จะ xxxxxxสร้างเงื่อนไขให้xxxxxxxตอบโต้อย่างฉับพลันทันทีอันจะท้าให้มิติxxxxxxxxและเทศะของการ สื่อสารเปลี่ยนแปลงไปมาก
2.ลักษณะ Individualize/Demassified แต่เดิมนั้นรูปแบบการสื่อสารแบบสื่อมวลชนจะ สร้างกลุ่มผู้รับสารแบบเป็นมวลชน (Massified) ขึ้นมา ทุกคนจะดูรายการทุกๆ อย่าง เหมือนๆ กัน ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่นับวันความxxxxxxxxของเทคโนโลยีการสื่อสารจะท้าให้ผู้ใช้xxxxxxเลือกใช้ ตามxxxxและxxxxxxxตนเองต้องการได้มากขึ้น ตัวอย่างง่ายๆ ก็xxxxเครื่องอัดวิดีโอเทป การดูรายการ เคเบิ้ลทีวีแบบเสียเงินที่เลือกดูรายการได้เอง (Pay per view) แม้แต่ระบบการใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์แบบที่ผู้เรียนเลือกเรียนด้วยตนเอง ในเวลาใดก็ได้ ณ สถานที่ไหนก็ได้ เป็นต้น
3.ลักษณะ Asynchronous nature of new communication คุณลักษณะประการหนึ่ง ของสื่อแบบใหม่ คือ xxxxxxจะแบ่งแยกกันเป็นส่วนๆ ได้ (Xxxxxxxxxxxx) โดยไม่มาเป็นกลุ่มก้อน เดียว ตัวอย่างxxxx การให้ข่าวสารจะไม่มาเป็นข่าวที่ต่อเนื่องกันยาวๆ ทีเดียว แต่จะมาแบบแยกเป็น ส่วนๆ xxxx xxxxสั้นทุกชั่วโมง โดยที่ผู้รับสารจะต้องxxxxxxxxเอาเอง ลักษณะ Hardware ของ คอมพิวเตอร์ก็xxxxเดียวกัน xxxxxxจะแยกซื้อเป็นส่วนๆ แล้วxxxxx xxxxxxxx มาเพิ่มเติมภายหลัง ได้ นอกจากนั้นยังหมายความถึง ศักยภาพของสื่อที่xxxxxxจะเก็บรักษาข่าวสารข้อมูลเอาไว้ด้วย และ วิธีการเก็บข่าวสารก็ยังxxxxxxแยกไว้ในที่ต่างๆ ได้ด้วย
ทางด้านกลุ่มนักคิดที่เน้นรูปแบบของเทคโนโลยีอย่าง Altheide & Snow เป็นนักนิเทศ ศาสตร์อีก 2 ท่าน ที่มีความสนใจในเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสารxxxxกัน หากทว่าทั้ ง 2 ท่านนี้ ให้ ความส้าคัญกับรูปแบบ (Formats) ของการสื่อสารที่แยกย่อยออกไปเป็นหลายมิติ ดังนี้คือ
รูปแบบที่ 1 รูปแบบของxxxxxแห่งประสบการณ์ (Sense of experience) อันได้แก่การ วิเคราะห์ว่ารูปแบบของสื่อแต่ละชนิดจะสร้างประสบการณ์แบบใดให้แก่ผู้รับสาร xxxx เมื่อผู้ รับสาร เปิดรับฟังเสียงเพลงจากวิทยุ ประสบการณ์จากสื่อเสียงจะเป็นแบบหนึ่ง จินตนาการจากการฟังจะ เป็นแบบหนึ่ง แต่เมื่อเพลงนั้นถูกน้าไปร้องในรูปแบบของมิวสิควีดีโอ รูปแบบประสบการณ์ก็จะ กลายเป็นสื่อภาพและเสียงไปพร้อม ๆ กัน นอกจากนั้นxxxxxแห่งประสบการณ์ยังหมายความว่า รูปแบบของสื่อนั้นได้ดึงดูดให้ผู้รับสารเข้ามามีส่วนร่วมหรือผูกพันมากxxxxxxxxxใด (Involvement / Participation)
รูปแบบที่ 2 รูปแบบของเนื้อหา Altheide & Snow ได้แบ่งประเภทของรูปแบบเนื้อหา (ซึ่ง xxxxxxหมายความว่าเป็นเนื้อหาอะไร แต่เป็นเนื้อหาอย่างไร) เป็นแบบต่าง ๆ xxxx เป็นเนื้อหาประเภท xxxxxxหรือจินตนาการ (Realism / Fantasy) มีความหมายหลากหลายอย่างไร (Polysemy) รูปแบบของเนื้อหาเป็นแบบเปิดหรือปิด (Open / Closed content) กล่าวคือเปิดโอกาสให้ผู้รับได้ ตีความอย่างหลากหลายหรือก้าหนดความหมายที่แน่นอนเอาไว้เลย
รูปแบบที่ 3 รูปแบบการใช้รหัส ได้แก่ การวิเคราะห์รูปแบบของสื่อที่ถูกน้ามาใช้ว่าข่าวสาร และความหมายที่อยู่ในสารนั้น ถูกใส่รหัสมากxxxxxxxxxใด ตัวอย่างxxxx มีการใช้ภาพหรือใช้ตัวxxxxx หรือใช้เสียงบรรยาย ในกรณีของการใช้ภาพ ถ้าใช้ภาพถ่ายเฉย ๆ กับการใช้ภาพถ่าย แล้วมีค้า บรรยายประกอบภาพอยู่ข้างใต้ ก็หมายความว่าในกรณีหลังจะมีการใช้รหัสมากกว่ากรณีแรก เป็นต้น
รูปแบบที่ 4 รูปแบบของบริบทของการใช้สื่อ (Context of use) เนื่องจากบริบทของการใช้ สื่อเป็นส่วนเสี้ยวส้าคัญของประสบการณ์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมิติของxxxxหรือเทศะก็ตาม xxxx การใช้สื่ออยู่ที่บ้าน (คอมพิวเตอร์) กับการใช้สื่ออยู่นอกบ้าน (การไปดูหนัง) การใช้สื่อแบบปัจเจก (อ่านหนังสือ) กับการใช้สื่อแบบกลุ่ม (ดูโทรทัศน์ร่วมกับครอบครัว) เป็นต้น ดังนั้นจึงควรสนใจบริบท ของการสื่อสารในฐานะประสบการณ์แบบต่าง ๆ ของมนุษย์
รูปแบบที่ 5 รูปแบบความxxxxxxxxระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ในแง่นี้ Altheide & Snow จะ สนใจว่ารูปแบบความxxxxxxxxระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร จะเป็นแบบการสื่อสารทางเดียว (One - Way communication) ซึ่งหมายความว่า ผู้ส่งจะเป็นผู้ควบคุมกระบวนการสื่อสาร หรือเป็นการ สื่อสารแบบสองทาง (Two - Way communication) xxxx ลักษณะการตอบโต้กันได้ (interactive) ของสื่อสมัยใหม่ ซึ่งส่อนัยยะว่าบุคคล 2 ฝ่ายในกระบวนการสื่อสารจะผลัดเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้รับ และผู้ส่งพร้อมทั้งxxxxxxควบคุมกระบวนการสื่อสารได้xxxxxxxxxxxxxxxxxกัน
การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของโลกเทคโนโลยี (Techno – Sphere) ส่งผลกระทบถึงโลก ของการสื่อสาร (Info - Sphere) ในขณะเดียวกันเครื่องมือสื่อสารใหม่ ๆ ก่อให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า De-massified ขึ้นในสื่อมวลชน กล่าวคือ มีลักษณะของสื่อมวลชนน้อยลงไป ผู้รับสารxxxxxxเลือก รับสื่อที่ตนxxxx เป็นช่องทางการเปิดรับข่าวสารได้มากขึ้น (xxxxxxxxx ส้าxxxxxxxxxxx, 2543: 16–26) Toffler Alvin (1980) ยังกล่าวอีกว่าข่าวสารจะหลั่งไหลมาสู่บุคคลโดยผ่านเครื่องมือสื่อสาร ชนิดใหม่หลากหลายชนิด ดังนั้นมนุษย์จึงต้องxxxxxxปรับตัวให้ทันกับความxxxxxxxxเหล่านี้อยู่เสมอ โดยที่เทคโนโลยีการสื่อสารมีผลท้าให้xxxxxxxเปลี่ยนแปลงต่อxxxxxxxxxxxและสังคม ซึ่งการ เปลี่ยนแปลงนี้xxxxxxxxxxxxxxxxจากความแตกต่างด้านเวลาของการแสดงพฤติกรรมของบุคคล บุคคลเดียวกัน ซึ่งผลต่างของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะท้าให้เห็นถึงผลกระทบซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้
สื่อเหล่านี้
นักวิชาการทางด้านการสื่อสารมองว่าผลกระทบซึ่งเกิดขึ้นจากสื่อใหม่นี้ เป็นผลซึ่งเกิดขึ้นใน แต่ละxxxxxxxxxxx ดังนั้นจึงมีความxxxxxxxและxxxxxxxสูง ตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมการเปิดรับสื่อ จึงท้าให้การศึกษาในxxxxxxxxกระทบของสื่อใหม่ ไม่xxxxxx ท้าการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร นักวิชาการจ้านวนมากได้ลงความเห็นว่า สื่อใหม่นี้เป็น ส่วนหนึ่งในสาเหตุส้าคัญของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และกลุ่มxxxxxxxxxxxให้ความสนใจใน การศึกษาคือ กลุ่มของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ยอมรับและใช้สื่อใหม่ในอั ตราที่สูง กว่ากลุ่มอื่น ๆ จึงย่อมxxxxxxกระทบโดยตรงต่อกลุ่มนี้ก่อนกลุ่มอื่น ๆ อย่างที่นักวิจัยเคยพบว่า ผลกระทบของโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์จะเกิดขึ้นกับกลุ่มเยาวชนมากกว่าผู้ใหญ่
ส้าหxxxxxกระทบของเทคโนโลยีการสื่อสารรูปแบบใหม่ นักวิชาการทางสังคมศาสตร์มี ความเห็นว่า เทคโนโลยีการสื่อสารได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม และได้ให้ ทัศนะว่า การแพร่xxxxxxของเทคโนโลยีการสื่อสาร คือ การพัฒนาและการแพร่xxxxxxของ เทคโนโลยีทางสังคม (Social Technology) ด้วย เนื่องจากในระบบสังคมประกอบไปด้วยxxxxxx xxxxxxxxมีการสื่อสารทางข้อมูลตลอดเวลา บางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นโดยคนในสังคม ไม่ทัน รู้ตัวหรืออาจเห็นxxxxxxxชัดในระยะเวลาอันใกล้ แต่บางเทคโนโลยีก็xxxxxxเห็นxxxxxxเปลี่ยนแปลงได้ อย่างรวดเร็ว xxxxการใช้โทรศัพท์มือถือและวิทยุระบบติดตามตัวของคนในสังคมปัจจุบัน อาจเรียกได้
ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารxxxxxxสร้างให้xxxxxxxเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิด การสร้างองค์กรทาง สังคม และพฤติกรรมการใช้เวลาว่างของคนในสังคมด้วย
จากรายงานวิจัยผลการยอมรับนวัตกรรมของ Xxxxxxx Xxxxxx and others (1985 อ้างใน xxxxxxxxx ส้าxxxxxxxxxxx, 2543: 25) พบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใช้คอมพิวเตอร์ในการxxxx เกมคอมพิวเตอร์ถึงหนึ่งในสามของเวลาว่าง และสองในสามใช้ในกระบวนการทางด้านข้อมูล นอกจากนี้ยังพบว่าอาการติดคอมพิวเตอร์ท้าให้เกิดปัญหาครอบครัว ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลxxx xxxxxxxxxxรับประทานอาหารหรือนอนซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นโรค Computerholics ซึ่งท้าให้เกิดข้อ ขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกอยู่เสมอ ส้าหรับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มักได้รับรายงานว่าเป็นผู้พักผ่อนน้อย เพราะมัวแต่ใช้เวลาในการxxxxคอมพิวเตอร์ ซึ่งในการวิเคราะห์ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง พบว่า การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นในxxxxxxxxxxxและในระบบสังคม เป็นผลมาจากการยอมรับหรือการ ปฏิเสธนวัตกรรมนั่นเอง xxxxxxแบ่งผลกระทบจากเทคโนโลยีการสื่อสารรูปแบบใหม่ได้เป็น 3 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 ผลกระทบที่ต้องการให้เกิด (Desirable impacts) เป็นผลกระทบตามหน้าที่ ของนวัตกรรมที่มีต่อบุคคลหรือต่อสังคม ผลกระทบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลและสังคม ส้าหxxx xxกระทบxxxxxxต้องการให้เกิดขึ้น (Undesirable impacts) เป็นผลกระทบจากนวัตกรรมxxxxxx ก่อให้เกิดโทษต่อบุคคลและสังคม
ประเภทที่ 2 ผลกระทบทางตรง (Direct impacts) เป็นการเปลี่ยนแปลงของบุคคลหรือ สังคมซึ่งเกิดขึ้นในทันทีเมื่อยอมรับนวัตกรรมนั้น ส้าหxxxxxกระทบทางอ้อม (Indirect impacts) เป็น การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดจากผลกระทบของผลกระทบทางตรง
ประเภทที่ 3 ผลกระทบที่คาดการณ์ ไว้ล่ วงหน้า (Anticipated impacts) คือการ เปลี่ยนแปลงอันเกิดจากนวัตกรรมซึ่งรู้ได้ว่าจะเกิดต่อสมาชิกในสังคม xxxxxxกระทบxxxxxxคาดการณ์ไว้ ล่วงหน้า (Unanticipated impacts) เป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่xxxxxxรู้ล่วงหน้าได้
นอกจากนี้ Xxxxxx Xxxxxx and Xxx Xxxxxx (1990) ยังพิจารณาถึงผลกระทบของ เทคโนโลยีที่มีต่อสังคมไว้ได้ดังนี้
1. ผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในสังคมในประเด็นของคุณภาพชีวิต ความxxxxxxxxใน ครอบครัว กิจกรรมในครอบครัว ความxxxxxxxxทางสังคม ความพึงxxxxในบทบาททางเพศ การเติบโต ทางด้านความรู้ การใช้เวลา ค่าxxxx และพฤติกรรมการค้นหาข่าวสาร
2.ผลกระทบต่อระบบสังคมโดยการxxxxxและลดช่องว่างของการสื่อสาร ระหว่างผู้ที่ เปิดรับ ข่าวสารมากกับผู้ที่เปิดรับข่าวสารน้อย กิจกรรมชุมชน ความสนใจของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป
3. ผลกระทบต่อการจัดการ การเข้าถึงและการมีส่วนร่วมในระบบการสื่อสารที่มีอยู่เดิม
3.แนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารเพื่อการพัฒนา เป็นการสื่อสารที่ถูกน้าไปใช้เป็นเครื่องมือในการ พัฒนา ถึงแม้ว่าเราจะพิจารณาการสื่อสารในฐานะที่เป็นเครื่องมือของการพัฒนา แต่เราก็xxxxxxที่จะ มองการสื่อสารในฐานะที่เป็นปัจจัยxxxx xxxเพราะความเป็นจริงในแต่ละxxxxxxxxยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เรา ต้องพิจารณาร่วมด้วย อันได้แก่ระบบวัฒนธรรม ทรัพยากรบุคคลทรัพยากรในxxxxxxxx และเครือข่าย การสื่อสาร (xxxxxx จุฑาxxxxxx, 2542: 66)
เสถียร เชยประทับ (2540: 281-282) กล่าวว่า การสื่อสารที่เป็นเครื่องมือส้าหรับการพัฒนา อย่างแท้จริง ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.ต้องให้ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการสื่อสาร ประชาชนต้องเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งใน ฐานะผู้รับสารและผู้มีส่วนร่วมในการวางแผนและผลิตเนื้อหาของสื่อ การสื่อสารเพื่อการพัฒนาควรมี ลักษณะที่ผู้รับสารxxxxxxควบคุมกระบวนการสื่อสารได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และผู้ส่งสาร xxxxxxควบคุมกระบวนการสื่อสารได้น้อยลง ในปัจจุบันผู้ท้าหน้าที่ส่งสารคือผู้ก้าหนดกิจกรรมการ สื่อสารว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร เมื่อไร และความถี่เป็นอย่างไร
2.ต้องเป็นการผลิตในxxxxxxxx ปัจจัยxxxxxxคัญของการสื่อสารเพื่อการพัฒนาคือ เนื้อหาของสื่อ ควรได้รับการจัดท้าขึ้นในxxxxxxxx เนื้อหาที่ผลิตในxxxxxxxxจะเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพราะ เกี่ยวข้องโดยตรงและเข้ากับสภาพของผู้รับxxxxxxผลิตสื่อ ต้องเริ่มจากสภาพความเป็นจริงที่มีอยู่และ ต้องมีลักษณะสอดคล้องกับสิ่งที่ชุมชนมีxxxx ด้านการผลิตสื่อ ควรใช้วัสดุจากxxxxxxxx เทคโนโลยีจาก xxxxxxxxเพื่อตลาดxxxxxxxx เพราะลักษณะที่สอดคล้องกับความจริงและความต้องการของชุมชนจะท้า ให้สื่อในแต่ละชุมชนมีลักษณะเป็นตัวของตัวเอง
3.ต้องสนับสนุนบทบาทของเจ้าหน้าที่xxxxxxxxการพัฒนา คือ ระบบการท้างานของเจ้าหน้าที่ใน xxxxxxxx เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีความส้าคัญอย่างยิ่งในกระบวนการพัฒนาแต่มีข้อจ้ากัดหลายประการที่ท้า ให้ไม่xxxxxxใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่
4.ด้านมนุษยธรรม การสื่อสารต้องมีมนุษยธรรม หมายความว่า การสื่อสารและการใช้สื่อต้อง ถือเอาคน เป็นเป้าหมาย มิใช่เอาเทคโนโลยีหรือผลก้าไรเป็นเป้าหมาย
5.ด้านคุณค่า การสื่อสารและการใช้สื่อ ต้องช่วยให้ประชาชนxxxxxxxxxในระบบคุณค่าดั้งเดิมxxxxx งามที่ตนมีอยู่ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงอันใด การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องสอดคล้องกับคุณค่าเดิม
6.ด้านการสร้างความเข้าใจ การใช้สื่อต้องช่วยให้ผู้รับสารxxxxxxเข้าใจปัญหาและ สภาพแวดล้อมของตนเอง xxxx ชาวบ้านจ้าเป็นต้องรู้xxxxxxxใดในหมู่บ้านของตนจึงxxxxxxxx xxxxxxxxใน อดีตเคยxxxxxxxxxxรู้สาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นก้าวสั้นๆ ก้าวหนึ่ง แต่เป็นก้าวxxxxxxคัญที่จะน้าไปสู่การ แก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
7.ด้านความเป็นชุมชน การใช้สื่อจะต้องเป็นหนทางที่ท้าให้ประชาชนเข้าใจความหมายของ “การเป็นชุมชน” อย่างแท้จริงและในขอบเขตxxxxxxxxxxxxขึ้น
xxxxxx จุฑาxxxxxx (2548: 88-91) กล่าวถึง ลักษณะของการสื่อสารเพื่อการพัฒนาในฐานะที่การ สื่อสารเป็นเครื่องมือในการพัฒนาว่า สังคมที่มีการสื่อสารxxxxxxxxxxxxxxxข่ายการสื่อสารประเภทต่างๆ ที่ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายxxxxxxxxxxxx ท้าให้ประชาชนสื่อสารกันได้อย่างสะดวกรวดเร็วทั้งภายใน และภายนอกตัวหมู่บ้าน ต้าบล หรืออ้าเภอ ประชาชนxxxxxxรับรู้ข่าวสารได้เท่าทันสถานการณ์และ แม้ว่าเราจะพิจารณาการสื่อสารในฐานะที่เป็นเครื่องมือของการพัฒนาแต่เราก็xxx xxxที่จะมองการ สื่อสารในฐานะที่เป็นปัจจัยxxxx xxxเพราะความเป็นจริงในแต่ละxxxxxxxxและสังคมยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ เราต้องพิจารณาร่วม ดังนี้
1. ระบบวัฒนธรรม ในเรื่องระบบวัฒนธรรมนี้ พิจารณาxxxxxxxในแง่รูปธรรมและนามธรรมโดย ในแง่รูปธรรม ได้แก่ การแสดงประxxxxxxxxxxx เพลงพื้นบ้าน กิจกรรมและพิธีกรรมในxxxxxxคัญทาง ศาสนา ประเพณีต่างๆ ที่สืบทอดมาช้านานและการงานอาชีพ ส้าหรับในแง่นามธรรม ได้แก่ ความคิด
ความเชื่อ xxxxxxxxxx ฯลฯ ซึ่งโดยภาพรวมของระบบวัฒนธรรมแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่จ้าเป็น 5 ประการ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่มและเรื่องของ จิตวิญญาณ
2. ทรัพยากรบุคคล หมายถึง บุคคลที่มีคุณค่าของxxxxxxxxในเชิงxxxxx xxxลังทรัพย์ ก้าลังกาย และการมีศักยภาพในxxxxxxชุมชนหรือxxxxxxxxไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาตามความคาดxxxxบุคคล เหล่านี้ ได้แก่ พระ ครู แพทย์ ผู้น้าความคิดเห็น xxxxxxชาวบ้าน ฯลฯ
3. ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรในxxxxxxxx หมายถึง แหล่งxxxxxxxx พืช/สัตว์ เศรษฐกิจ ป่าไม้ ภูเขา ทะเล แร่ธาตุ หน่วยงาน/สถาบันการศึกษา ธุรกิจเอกชนที่อยู่ในxxxxxxxx ทรัพยากรเหล่านี้ นับเป็นxxxxxxxxxทางxxxxxและxxxxxxxxxทางเศรษฐกิจของxxxxxxxx
4. ระบบการสื่อสาร หมายถึง ระบบการสื่อสารภายในชุมชน xxxx ชาวบ้านส่วนใหญ่รับรู้ข้อมูล ข่าวสารภายนอกจากแหล่งสารใดบ้าง จากสื่อมวลชนหรือจากการพูดคุยกัน ในแต่ละวัน ชาวบ้านxxx xxxxxxxxกันในเวลาใดและสถานที่ใด ใครเป็นผู้น้าความคิดเห็น ใครคือบุคคลที่ชาวบ้านให้ความเชื่อถือ สื่ออะไรบ้างที่มีอยู่แล้วในชุมชน เป็นต้น
การสื่อสารเพื่อการพัฒนา (Development Communication) ส่วนใหญ่จะให้ความส้าคัญกับ การให้ข่าวสาร เป็นการxxxxxxxxให้เกิดความรู้และสร้างเสริมประสบการณ์สื่อมวลชนจะน้าเสนอสิ่ง ใหม่ๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และท้าให้ทราบว่าบุคคลหรือสังคม อื่นเป็นอย่างไร หรือการชักจูงใจ และยกระดับความxxxxxxxของประชาชน และการสร้าง บรรยากาศของการพัฒนา สื่อมวลชนมีส่วนส้าคัญในการให้ข่าวสารแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นให้เกิด ความสนใจในด้านการพัฒนา โดยการแสดงให้เห็นเทคโนโลยีxxxxxxxxxxและชีวิตในสังคมที่พัฒนา อัน จะท้าให้ประชาชนมีสายตาที่กว้างไกลและย้อนมาเปรียบเทียบกับตัวเองเพื่อก้าหนดทิศทางในxxxxx และการจูงใจผ่านการสื่อสาร โดยเป็นการจูงใจให้ประชาชนxxxxxxxxxxxชีวิตและตัดสินใจเข้าร่วม โครงการพัฒนาอย่างจริงจัง ด้วยการแสดงความคิดเห็นสนับสนุนโครงการพัฒนาของรัฐบาล และ ชี้แนะการตัดสินใจของประชาชน xxxxxxxxการมีส่วนร่วมในการก้าหนดนโยบายอย่างกว้างขวาง ท้าให้ xxxxxxxพูดคุยกันและแสดงความคิดเห็นออกมา เพื่อสะท้อนไปยังรัฐบาลให้น้าไปพิจารณาก้าหนด นโยบายในการพัฒนาประเทศ (xxxx xxxxxxxx. 2546 : 49-50)
กลยุทธ์ของการสื่อสารเพื่อการพัฒนาจ้าเป็นต้องมุ่งเน้นเครือข่ายการเรียนรู้ ทั้งภายในและ ภายนอก มีxxxxxxxxxxxxxxxxxxxศักยภาพชุมชน ซึ่งมีวิธีการดังนี้ (xxxxx xxxxxxxx, 2556).
1.การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งxxxxxxจะวิเคราะห์ด้วยปั จจัยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมจิตวิทยา และการสื่อสารของกลุ่มเป้าหมายประกอบกัน เพราะกลุ่มxxxxxxxxxxxแตกต่างกัน จะมีพฤติกรรมและการใช้ชีวิต ตลอดจนโลกทัศน์และมูลเหตุในการxxxxxxxxxxxแตกต่างกัน โดยใช้วีการ ที่หลากหลาย xxxx การสังเกต การจดบรรทุก และใช้วิธีการออกแบบสอบถามเพื่อท้าการสรุปผลการ วิเคราะห์กลุ่มxxxxxxxxxxxใช้ในการสื่อสาร ซึ่งหลังจากการได้กลุ่มเป้าหมายแล้ว จะน้าไปxxxxxxแหน่ง ข่าวสาร ออกแบบข่าวสาร การใช้เลือกประเภทสื่อ และช่วงเวลาของสื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้ ตรงจุดxxxxxxxขึ้น
2.การออกแบบสาร เป็นการคิดสร้างสรรค์ วัจนภาษาและอวัจนภาษาที่xxxxxxสื่อความหมาย แนวคิดของการพัฒนาจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารเพื่อให้xxxxxxxเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตาม
วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร โดยสารที่ออกแบบนั้นจะต้องตอบให้ได้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบ เพื่อให้ความรู้ เพื่อย้้าเตือน เพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติ หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งการออกแบบ สารเพื่อการพัฒนานั้น ผู้ส่งสารควรค้านึงสิ่งที่ต้องปฏิบัติก่อนออกแบบสาร ดังนี้
2.1 ค้นหาสารที่เป็นความต้องการที่กลุ่มเป้าหมายต้องการให้ได้
2.2 ยอมรับความแตกต่างของกลุ่มเป้าหมายและความไม่แน่นอนxxxxxxจะเกิดขึ้นใน เนื้อหาสาระและประเด็นxxxxxxเสนอในแต่ละครั้ง
2.3 จัดท้าสารxxxxxxเสนอให้อยู่ในรูปแบบที่xxxxxxรับรู้ได้ เข้าใจอย่างชัดเจนและ น้าเสนอให้ครอบคลุมรอบด้าน
2.4 ให้ความส้าคัญกับหลักการและกระบวนการใช้สื่อ การผลิต การออกแบบ สื่อที่ เป็นภาพ กราฟิก ตัวxxxxx สี รวมทั้งเสียงที่ใช้ xxxxxxxเป็นเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพของส่วนประกอบ xxxxxxเสนอในแต่ประเภทแต่ละชนิด
2.5 การอธิบายและขยายความในเรื่องที่ยากต่อการเข้าใจควรท้าให้เป็นเรื่องที่ง่าย ต่อการเข้าใจ รวมทั้งการสร้างสารให้เกิดความถูกต้อง
3.การใช้สื่อ เมื่อทราบว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใครแล้ว นักสื่อสารxxxxxxxxการและวางแผนการใช้ สื่อที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็นการใช้สื่อผสมที่มีความหลากหลายมากกว่าหนึ่งประเภท เพื่อให้สื่อ เหล่านั้นช่วยxxxxxxxxและสนับสนุนซึ่งกันและกันในการxxxxxxxลัทธ์xxxxx หรือพื้นที่อาจจะต้องใช้สื่อ ชุมชนที่ถ่ายทอดเป็นภาษาของชาวบ้านเอง xxxx วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์xxxxxxxx หอxxxxxxข่าวหรือ เสียงตามสาย เป็นต้น ซึ่งต้องดัดแปลงแก้ไขให้ยืดหยุ่นได้ อีกทั้งควรมีการซ้้าบ่อยๆ จะช่วยให้เกิด ความน่าสนใจxxxxxขึ้น
4.การมีส่วนร่วมของประชาชน คือจะต้องให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าร่วมในทุกขั้นตอนของ กระบวนการ ตั้งแต่การร่วมตัดสินใจ ร่วมปฏิบัติ ร่วมรับผิดชอบในผลการพัฒนาที่จะเกิดขึ้น รวมxxx xxxร่วมกันประเมินผลการด้าเนินงานโครงการ โดยอาจด้าเนินการผ่านกระบวนการทางการเมืองหรือ สื่อมวลชนต่างๆ
4.แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบสื่อสังคมออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็น รูปแบบการสื่อสารข้อมูลที่เข้าถึงผู้คนทุกระดับในปัจจุบัน ซึ่งใช้ในเป็นสื่อที่ผู้ส่งสารแบ่งปันสาร ซึ่งอยู่ ในรูปแบบต่างๆ ไปยังผู้รับสารผ่านเครือข่ายออนไลน์โดยxxxxxxโต้ตอบ กันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับ สาร หรือผู้รับสารด้วยกันเอง ซึ่งxxxxxxแบ่งสื่อสังคมออนไลน์ออกเป็นประเภทต่างๆ ที่ใช้กันบ่อยๆ คือเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking) และการ แบ่งปันสื่อทางออนไลน์ (Media Sharing) โดยเครือข่ายสังคมออนไลน์คือเว็บไซต์ที่ผู้คนxxxxxxติดต่อสื่อสารกับเพื่อนxxxxxxxรู้จักxxxxxx หรือรู้จักภายหลังทางออนไลน์ซึ่งเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์แต่ละแห่ง มีคุณลักษณะแตกต่างกัน ออกไป แต่ส่วนประกอบหลักที่มีเหมือนกัน คือโปรไฟล์ (Profiles - เพื่อแสดงข้อมูลส่วนตัวของ เจ้าของบัญชี) การเชื่อมต่อ (Connecting - เพื่อสร้างเพื่อนกับคนที่รู้จักและไม ่รู้จักทางออนไลน์) และการส่งข้อความ (Messaging - อาจเป็นข้อความส่วนตัว หรือข้อความสาธารณะ) เป็นต้น โดยมี Facebook (xxxx://xxx.xxxxxxxx.xxx) เป็นเว็บไซต์เครือข่ายยสังคมออนไลน์xxxxxxรับความxxxx สูงสุดในปัจจุบัน ส่วนการแบ่งปันสื่อทางออนไลน์ (Media Sharing)
เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการแบ่งเป็นสื่อทางออนไลน์ เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้xxxxxxท้าการอัพโหลด (Upload) ไฟล์สื่อผสม (Multimedia) ขึ้นสู่เว็บไซต์เพื่อแบ่งปันข้อมูลแก่ผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันได้รับ ความxxxxมากเพราะด้วยความที่เป็นสื่อผสมเอง ไม่ว่าจะเป็น รูป สไลด์หรือวิดีโอ รวมทั้งการใช้งาน ง่ายขึ้นของกล้องดิจิตอล และกล้องวิดีโอ ซึ่งเป็นเครื่องมือxxxxxxมาสู่การได้ไฟล์สื่อผสมแบบต่างๆ ออกมา เว็บไซต์ประเภทนี้xxxxxxรับความxxxx คือ YouTube ( xxxxx วิจัตxxxxxxxxx, 2554)
ปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์จะมีลักษณะบูรณาการสื่อไว้ด้วยกันมาก โดยจะมีสื่อใดสื่อหนี่งเป็นสื่อ หลัก และจะมีสื่ออื่นๆ ที่มาบูรณาการร่วมด้วยส้าหรับในการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เลือกใช้สื่อ Fanpage ที่สร้างขึ้นมากจาก Facebook ซึ่ง Facebook เป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตบริการหนึ่ง ที่ จะท้าให้ผู้ใช้xxxxxxติดต่อสื่อสารและร่วมท้ากิจกรรมใดกิจกรรม หนึ่งหรือหลายๆ กิจกรรมกับผู้ใช้ Facebook คนอื่นๆ xxx xxxว่าจะเป็นการตั้งประเด็นถามตอบในเรื่องที่สนใจ โพสต์รูปภาพ โพสต์ คลิปวิดีโอ เขียนบทความหรือบล็อก แชทคุยกันแบบสดๆ xxxxเกมส์แบบเป็นกลุ่ม (เป็นที่xxxxกัน อย่างมาก) และยังxxxxxxท้ากิจกรรมอื่นๆ ผ่านแอพลิเคชั่นเสริม (Applications) ที่มีอยู่อย่าง มากมาย ซึ่งแอพลิเคชั่นดังกล่าวได้ถูกพัฒนาเข้ามาเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ การประเมินผลบน Facebook คือการมีxxxxxxxx xxxx การ Like, Comment หรือ Share Post ของ Page ที่xxxxxxแสดงเป็น ตัวเลขxxxxxxมีส่วนรวมของการ Engagment ที่ชื่อว่า "Talking about this" ปัจจุบันมีxxxxxxลูกเล่น Hashtag (#) หรือเครื่องหมายxxxx xxปะกลายเป็น Hyperlink ให้คลิกเพื่อชมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Hashtag ได้อีกด้วยเพื่อเป็นการแชร์เนื้อหาข่าวสารที่รวดเร็วมาก ซึ่งการท้าการตลาดผ่าน Facebook xxxxxxการันตีที่จ้านวน Like, Comment หรือ Share Post เพราะบางครั้งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละ คน แต่หัวใจหลักก็คือการ โปรโมทโพสต์โปรโมท page ให้มีคนเห็นมากที่สุด
xxxxx xxxxxxxxxxx (2554: 12-15) ได้ให้ความเห็นว่า ด้วยxxxxxxบนเฟซบุ๊คที่ผู้ประกอบ วิสาหกิจxxxxxxxxและขนาดย่อมxxxxxxเข้าไปออกแบบข้อมูลข่าวสาร หรือโฆษณาและ ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสินค้าและบริการของตนเองได้อย่างxxxxx xxxท้าให้ผู้ประกอบวิสาหกิจxxxx xxxxและขนาดย่อมได้ออกแบบข้อมูลข่าวสาร หรือโฆษณาและประชาสัมพันธ์ภายใต้พื้นฐานความรู้ ความช้านาญของตนเอง จึงท้าให้ข้อมูลข่าวสาร หรือโฆษณาและประชาสัมพันธ์xxxxxxเสนอออกไปไม่มี ความแตกต่าง ไม่น่าสนใจ และไม่xxxxxxตอบxxxxความต้องการของผู้บริโภคได้ในทุก ๆ ด้านด้วย เหตุนี้ ผู้ประกอบวิสาหกิจxxxxxxxxและขนาดย่อมจึงควรให้ความส้าคัญในการใช้แนวคิดเพื่อการ ออกแบบข้อมูลข่าวสาร หรือโฆษณาและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแบรนด์สินค้าและบริการให้มีความ หลากหลาย โดยพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ xxxx จากคุณลักษณะเด่นของแบรนด์สินค้าและบริการจาก กระแสความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงจากสถานการณ์ทางสังคม เป็นต้น ผนวกเข้ากับการเลือกใช้ เครื่องมือสื่อสารที่เหมาะสม เพื่อที่จะxxxxxxน้าเสนอข้อมูลข่าวสาร หรือโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับแบรนด์สินค้าและบริการไปยังผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจ ชัดเจน ตรงกับความต้องการของ ผู้บริโภค ท้าให้ผู้บริโภคเกิดทัศนคติxxxxx xxxxแรงxxxxxxxxมีผลต่อการตัดสินใจกดปุ่ม“ถูกใจ” และซื้อ สินค้าและบริการxxxxxxxขึ้น
สังคมออนไลน์ในปัจจุบันที่ประสบความส้าเร็จต้องเป็นการผสมผสานระหว่าง Product Design ที่มีการxxxx xประสบการณ์ด้านสังคมออนไลน์ ห รือ Social Experience การสร้าง ประสบการณ์ร่วมกับคนxxxxxxx ซึ่งนักวิชาการบางคนเรียกว่า Social Design ซึ่งเป็นxxxxxxx ให้ผู้
ที่อยู่ในเครือข่ายสังคมทั้งหลายได้แบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในการเป็น Social Design นั้นก็คือสื่อทุกประเภทที่อยู่บนแพลตฟอร์มของ Facebook, Twitter และ Google+ ส่วนผสมที่บ่งบอกถึงความเป็น Social Design ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเครือข่ายสังคมออนไลน์
หรือ Social Network ที่ผู้สร้างสรรค์ออกแบบให้เกิดเป็น Social Design นั้นล้วนเกิดขึ้นมาจาก เกณฑ์ที่เป็นสามัญของ Social Media อยู่ 3 สิ่งคือ การมีตัวตน (Identity) เปรียบเสมือนกับว่าตัวตน ที่เราต้องการระบุให้คนในเครือข่ายของเราทราบว่าเราเป็นใคร การสนทนา (Conversation) การ โต้ตอบระหว่าง พวกเรา กับใครสักคนที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันกับเรา และการมีส่วนร่วม (Community) การใช้ข้อคิดเห็น ความเห็นวิจารณ์จากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในการตัดสินใจบางสิ่ง ซึ่ง Social Experience จึงไม่ใช่เทรนด์ของการเป็น บุคคลxxxxxx xxxxxxxxxxxxxx xxxxนักแต่งนวนิยาย หรือ บรรณาธิการ ที่ใช้นามแผง ใช้ชื่อเสียงแต่ไม่ปรากฏภาพของตนเองออกมา ถ้าเป็นสมัยก่อนนั้น การที่เราอยากจะค้นหาว่าบรรณาธิการคนนี้จากหนังสือหรือคอลัมน์ที่เราชอบนั้นเป็นใคร เราอาจจะ ต้องxxxxxxxxxจะติดต่อไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่ในยุคนี้มันไม่ใช่ การมีตัวตนบนโลกออนไลน์ และโลก แห่งความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเดินไปพร้อมกัน การไร้ซึ่งตัวตนที่ระบุว่าเราคือคนที่มีชีวิตในโลก Social Media หรือโลกของการสื่อสารยุคนี้หรือที่เรารู้ว่า “Low Profile” นั้นคือ “ตาย” หรือ “Dead” แม้ว่าอีกนัยหนึ่งจะหมายถึงความปลอดภัยจากการคุกคามบนโลกอินเทอร์เน็ต แต่ผมคิดว่า ประเด็น 2 เรื่องนี้มันอยู่คนละเรื่อง และไม่เกี่ยวกันแม้แต่น้อย ดังนั้น Social Experience จะเกิดขึ้น ได้นั้นต้องอาศัยการมีตัวตน (Identify) และการสนทนา (Conversation) จากบุคคลที่มีจริง แสดง ความคิดเห็นและจับต้องรู้สึกถึงแง่มุม และค้าแนะน้าได้เหมือนการพูดคุยกันซึ่งหน้า ผู้บริโภคของ ตราสินค้าที่ใช้ Social Media ในการท้า CRM หรือ Customer Relation Management นั้นชอบที่ จะพูดคุย และรับฟังการบริการจากxxxxxx และความเห็นจากแบรนด์ในลักษณะของคน มากกว่า Copy Writer
โมเดลของ Social Design จากสิ่งที่พูดมาข้างต้นท้าให้เราทราบว่า Social Design นั้น xxxxxxออกแบบขึ้นมาได้เพื่อให้เกิด Social Experience โดยอาจจะต้ออาศัยการท้างานของระบบ xxxx ให้ ผู้คนxxxxxxสร้างตัวตนของตนเอง ระบุ Identity ที่เป็นตัวเองขึ้นมา ต่อจากนั้นก็อนุญาตให้ ผู้ที่อยู่ในระบบที่ท้าการระบุตัวตนนั้นสร้างกลุ่มสนทนา หรือ Community ของตนเองกับคนที่ชอบ อะไรคล้ายคลึงกันขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนความองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ความชอบในแต่ละเรื่องก็อาจจะ ยกตัวอย่างจาก Facebook Like ของ Fan Page ในแต่ละประเภทนั่นแหละครับ (Music, Books, Movies, Etc…) ต่อจากนั้นก็ท้าการใช้ Conversation จับความรู้สึกหรือ Sentiment จากผู้ที่อยู่ใน เครือข่ายออกมา โดยอาจจะแยกออกมาเป็น Effective Conversation ที่ประกอบไปด้วย ประสบการณ์จาก Social Experience 2 ส่วนของผู้ใช้งานคือ Listening: การรับฟังความเห็น แนวโน้มความxxxxโดยวัดจาก Personalized Content และ User Activity และ Speaking: การ สร้าง Feed Back ต่อผู้บริโภค เพื่อให้เกิดความxxxxxxxxกับแบรนด์ (Engage) หลังจากได้ Social Design ในส่วนของ Experience แล้ว ก็xxต้องกลับไปออกแบบ Identity หรือจัดสรรตัวตนของคนที่ กลุ่มคนในเครือข่ายเชื่อถือออกมา กระบวนการนี้เรียกว่า Curate Identity (บัญญพนต์ xxxxxxxxxx, 2555)
แนวการออกแบบสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ (Xxxx Xxxx, 2017)
1.ใช้ภาพที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะต้องเป็นภาพที่มีรายละเอียดและมีความน่าสนใจรับผู้รับสาร xxxxxx แล้วจะมีรู้สึกมีความxxxxxxxxx
2.มีความหลากลายของเนื้อหา โดยเนื้อหาที่ออกแบบจะต้องมีความหมาย และประโยชน์ บางครั้งอาจจะใช้เทคนิคการxxxxxxxxxx (StoryTelling) ในxxxxxxเสนอให้ดูน่าสนใจ และติดตามอ่าน
3.มีการใช้กราฟิกที่สื่อความหมายได้ว่าต้องการสื่อถิงอะไร หรือบ่งบอกอะไร
4.ควรการใช้ตัวxxxxxและโทนสีให้เข้ากับเนื้อหา
5.ใช้ขนาดของสื่อxxxxxxเสนอให้ถูกต้อง เหมาะกับอุปกรณ์xxxxxxผล นอกจากนี้ในการออกแบบให้สื่อสังคมออนไลน์น่าสนใจ และประสบความส้าเร็จ ผู้ออกแบบ
อาจจะต้องค้านึงถึงเป้าหมายของสื่อสังคมออไลน์เป็นส้าคัญว่าผู้ผลิตสื่อมีปัญหาอย่างไร หากจะเป็น สื่อที่ให้ความรู้อย่างเดียว อาจจะต้องภาพหรือเนื้อหาที่เป็นค้าบอกเล่า แต่หากสื่อนั้นxxxxx xหมาย เพื่อให้เกิดพฤติกรรมไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เนื้อหาxxxxxxเสนอจะต้องบอกวิธีการที่จะให้ผู้รับ xxxxxxเอาไปปฏิบัติใช้ต่อได้ แต่ทั้งนี้ในสื่อๆ นั้นจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์เพราะจะท้าให้สื่อน่ามี ความน่าสนใจและชวนค้นหา ในสื่อออนไลน์หลายสื่อพบว่ามีการออกแบบแล้วน่าสนใจ แต่ไม่ xxxxxxสร้างความจดจ้าได้ นับว่าเป็นจุดบอดของการผลิตสื่อ ซึ่งมีกระบวนการง่ายเพื่อสร้างความ จดจ้าในสื่อสังคมออนไลน์คือการให้ผู้ใช้สื่อมีส่วนร่วมกับสื่อนั้นให้มากที่สุด แต่กระนั้นxxxxxxเสนอสื่อ ควรxxxxxเสนอด้วยเครื่องมือที่ง่าย ทั้งการโพสต์ การแชร์ การxxxxกลับ และการแสดงผลในการ เปิดรับสื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะท้าให้สื่อสังคมออนไลน์ได้รับการเข้าถึง และมีการใช้แบบขยายวงกว้าง (Jacob Shumway, 2020)
5.แนวคิดเกี่ยวกับการตอบxxxxของผู้รับxxx xxxตอบxxxx (Response) คือปฏิกิริยาที่ผู้รับ สารจะแสดงออกมาหลังจากเห็น ฟัง หรืออ่านข้อความอย่างเข้าใจ การตอบxxxxxxxxxxเกิดได้จาก การกระท้าที่มอง ไม่เห็น เหมือนกับการเก็บข้อมูลในความทรงจ้าแล้วเกิดกิริยาขึ้นโดยxxxxxxxx xxxx การโทรศัพท์ฟรีเพื่อสั่งสินค้าที่โฆษณาทางโทรทัศน์ ซึ่งต่างกับการตอบกลับ (Feedback) เป็นสิ่งที่ เกิดขึ้นหลังจากการตอบxxxxของผู้รับสาร โดยผู้รับสารจะท้าการสื่อสารกลับxxxxxผู้ส่งสารในรูปแบบ ต่าง ๆ
กระบวนการตอบxxxxxxxมีความส้าคัญในการพัฒนาผลของการสื่อสาร การเข้าใจกระบวนการ ตอบxxxxของผู้รับ จะท้าให้รู้ว่าควรเข้าไปสู่พฤติกรรมของผู้บริโภค และชักจูงให้ผู้บริโภคxxxxxxx ตอบxxxxxxxอย่างไร เพื่อให้เข้าใจกระบวนการตอบxxxxให้ชัดเจนมากขึ้น xxxxxxอธิบายด้วยล้าดับ ขั้นของแบบxxxxxxทั้ง 4 ดังนี้ (Belch & Xxxxx, 2001)
แบบxxxxxx (model) | แบบxxxxxx AIDA (AIDA Model) | แบบxxxxxxล้าดับ ขั้นของผลกระทบ (hierarchy of effects model) | แบบxxxxxx การยอมรับ นวัตกรรม (innovation adoption model) | แบบxxxxxx กระบวนการของ ข้อมูล (information processing model) |
ความคิด (cognitive stage) | ขั้นความตั้งใจ (attention) | การรู้จัก (awareness) การเกิดความรู้ (knowledge) | การรู้จัก (awareness) | xxxxxxเสนอข่าวสาร (presentation) ความตั้งใจ (attention) ความเข้าใจ (comprehension) |
ความรู้สึก (affective stage) | ความสนใจ (interest) ความต้องการ (desire) | ความชอบ (liking) ความxxxx (preference) ความxxxxxxxxx (conviction) | ความสนใจ (interest) การประเมินผล (evaluation) | การยอมรับข่าวสาร (yielding) การเกิดความทรงจ้า (retention) |
พฤติกรรม (behavioral stage) | การxxxxxxx กระท้า (action) | การพฤติกรรม เป้าหมาย (purchase) | การทดลอง (trial) การยอมรับ (adoption) | การเกิดพฤติกรรม (behavior) |
ภาพที่ 3 แบบxxxxxxของกระบวนตอบxxxx
xxxมา Model of the response process (p. 148), by G. E. Xxxxx & M.A. Belch, 2001,Chicago : Xxxxxxx X. Irwin.
กระบวนตอบxxxxดังกล่าว จะเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของสื่อ ด้วยการวัดทัศนคติความชอบ ของผู้ชมที่มีต่อสื่อ (Haley & Baldinger, 1991, pp. 11-32) ทัศนคติความชอบหรือความรู้สึก (Affective) เป็นมุมองค์ประกอบด้านเดียวของทัศนคติ ซึ่งดึงเอาองค์ประกอบด้านความคิด (Cognitive) และพฤติกรรม (behavioral) ออกไป xxxxxxxxxxประกอบไปด้วยความรู้สึก (Affective) เพียงองค์ประกอบเดียว ความเชื่อและพฤติกรรมมิได้เป็นองค์ประกอบของทัศนคติ แต่ความเชื่อเป็น ปัจจัยน้า (Antecedents) และองค์ประกอบส่วนพฤติกรรมเป็นผลที่เกิดตามมา (Consequences) ส่วนทัศนคติต่อสื่อ (Attitude toward the advertisement) เป็นความชอบหรือไม่ชอบของบุคคลที่ มีต่อสื่อชิ้นนั้นในช่วงxxxxxxรับชม xxxxxxxxxxมีต่อสื่อเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ อาทิ เนื้อหา ภาวะxxxxxxของผู้ชม และxxxxxxxxxถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นเมื่อได้รับชมสื่อ เมื่อบุคคลมีความชอบต่อสื่อ
สูง ความรู้สึกชอบจะถูกส่งผ่านจากความชอบต่อสื่อไปสู่การยอมรับ และมีพฤติกรรมตามที่สื่อต้องการ ให้ตอบxxxx (Hoyer & Maclnnis, 2000, p. 267)
6.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
แก้วเกล้า xxxxx (2561) ได้ศึกษาการสื่อสารxxxxxxบนพื้นที่ออนไลน์ กรณีXxxxxx.xxx ซึ่ง มีลักษณะคล้ายๆ กับงานวิจัยดังกล่าว พบว่าโดยนักxxxxxxใช้พื้นที่ออนไลน์ Xxxxxx.xxx เพื่อสื่อสาร ใน 5 วัตถุประสงค์ ได้แก่ ให้ข้อมูล อัปเดตข่าวสาร โน้มน้าวให้คล้อยตาม ขอบคุณ และประกาศxxx xxx ซึ่งใช้กลยุทธ์การสื่อสารในการสร้างการมีส่วนร่วมของสาธารณชนบนพื้นที่ออนไลน์ 4 กลยุทธ์ ได้แก่การท้าให้เห็นภาพ หรือจินตทัศน์ การสร้างความผูกพันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การจัดการข้อมูล และความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงมี 2 รูปแบบ ได้แก่ แคมเปญ xxxxxxรับความสนใจจากสาธารณชน และแคมเปญxxxxxxรับการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบาย
ยิ่งในปัจจุบันการใช้สื่อของผู้รับมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป จากxxxxxxxxxxสื่อมวลชนxxxxxxx xxใช้สื่อสังคมออนไลน์แทน ดังกล่าวการxxxxxxxxxต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้สื่อของผู้บริโภค ด้วย ซึ่ง นิษฐา หรุ่นxxxx xxxxxรัตน์ xxxxxxxxxx และxxxxxx xxxชุม (2563) ได้ศึกษาการออกแบบ สารxxxxxxผ่านสื่อออนไลน์เพื่อควบคุมการบริโภคยาสูบ xxxxxxเสนอในช่องทางการสื่อสารออนไลน์ มาแล้ว พบว่ากระบวนการออกแบบสารxxxxxx ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน กล่าวคือ (1) การคัดเลือก สารเพื่อมาน้าเสนอในช่องทางการสื่อสารออนไลน์ ได้แก่ เนื้อหาจากข่าวแจก เนื้อหาจากกิจกรรม และข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (2) การออกแบบสาร ใน 3 ลักษณะ ได้แก่ การxxxxxxxให้เข้ากับ ช่องทางการสื่อสารออนไลน์แต่ละประเภท การแปลงรูปแบบxxxxxxเสนอเพื่อให้เนื้อหาเหมาะสมกับ ประเภทของสื่อออนไลน์ และการxxเนื้อหาและรูปแบบตามเดิม และ (3) xxxxxxเสนอสาร ซึ่งมี ลักษณะของ one-to-many ในความหมายxxxxxxแพร่xxxxxxข่าวสารหนึ่งชิ้นขึ้นสู่หนึ่งช่องทางการ สื่อสารออนไลน์แล้ว จากนั้นจะแพร่xxxxxxข่าวสารดังกล่าวสู่ช่องทางการสื่อสารอื่น ๆ โดยผู้ส่งสาร หลักจะมีหลักในxxxxxxเสนอหรือโพสต์ข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นระบบ สม่้าเสมอ และมีความต่อเนื่อง
นอกจากนี้ในการxxxxxxในปัจจุบันเราxxxxxxให้ความส้าคัญเพียงแค่ตัวสื่อเท่านั้น แต่พบว่า กระบวนการสื่อสารเป็นxxxxxxxxxคัญไม่แพ้กัน พวงชมพู ไชยxxxx xxxxxxxxxxxxโรจน์ (2556) ได้ศึกษา การสื่อสารแบบมีส่วนร่วม: กลไกในขับเคลื่อนแนวคิดสู่การปฏิบัติภายใต้กระบวนทัศน์การพัฒนาแบบ ทางเลือก พบว่า xxxxxxxxxในศักยภาพของการสื่อสารที่มีต่อกระบวนการพัฒนา จึงมั่นใจว่า “การ สื่อสารแบบมีส่วนร่วม” จะxxxxxxเป็นxxxxxxxขับเคลื่อนแนวคิดการพัฒนาแบบทางเลือกให้xxxxxx ปฏิบัติได้จริง โดยให้ชุมชนได้เข้ามาการสื่อสารแบบมีส่วนร่วม: กลไกในขับเคลื่อนแนวคิดสู่การปฏิบัติ ภายใต้กระบวนทัศน์การพัฒนาแบบทางเลือก มีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การระบุปัญหา การ ค้นหาวิธีแก้ไข และการด้าเนินการแก้ไขโดยนักพัฒนาอยู่ในฐานะผู้สนับสนุนกระบวนการดังกล่าว ร่วมผู้ผลิตสื่อ และประเมินของการสื่อสารนั้น ร่วมกันอย่างเป็นระบบ จึงจะท้าให้พัฒนาชุมชนนั้น ประสบความส้าเร็จได้ เพราะกระบวนดังกล่าวนี้เป็นการสื่อสารที่xxxxxxสร้างความเข้าใจร่วมกัน ไม่ มีใครผูกขาดบทบาทการเป็นผู้ส่งสารหรือรับสารอย่างตายตัว แสดงให้เห็นถึงบทบาทและอ้านาจใน การด้าเนินงานพัฒนาที่ผู้เข้าร่วมมีอย่างเท่าเทียมกัน
ก่อนหน้านี้ รณกฤต xxxxxxxxx (2563) ได้ท้าการศึกษาการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในชุมชนหนึ่งของกรุงเทพมหานคร พบว่า ปัญหาอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการด้าเนินการ ป้องกันและแก้ไขยาเสพติดมากจากการมีส่วนร่วมของประชาชนยังมีxxxxxxxxน้อย อันเนื่องมาจาก วัฒนธรรมต่างคนต่างอยู่ การไม่เห็นความส้าคัญของปัญหายาเสพติด การไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยา เสพติดเป็นต้น ซึ่งแนวทางแก้ไขทางหนึ่งคือ การxxxxxxxxและท้าความเข้าใจให้ประชาชนที่อาศัยใน ชุมชนเห็นความส้าคัญของปัญหายาเสพติดและตระหนักว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาของส่วนรวม ทุกคนต้องช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหา จะท้าให้การมีส่วนร่วมของประชาชนมีมากขึ้น โดยเฉพาะ การxxxxxxxxให้ผู้xxxxxxดูแล สังเกตพฤติกรรมของบุตรหลานไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด โดย ครอบครัวซึ่งเป็นด่านแรกxxxxxxคัญที่สุด นอกจากนี้ชุมชนจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชนให้มี ทัศนคติท่างไกลยาเสพติด พร้อมทั้งสร้างกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ให้มีส่วนร่วมในการ ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดให้มากขึ้น
จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดผู้วิจัยจะได้ไปเปรียบเทียบกับผลของงานวิจัยxxxxxx ความสอดคล้องและความแตกต่างของงานวิจัยที่เกิดขึ้นโดยใช้ในบทอภิปรายต่อไป
บทที่ 3 วิธีด้าเนินการศึกษา
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา (R&D : Research and Development) เริ่มต้น จากเชิงส้ารวจ (Survey Research) โดยใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อให้ได้ค้นหาแนวทางการสร้างสื่อ Fanpage xxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนพื้นที่เสี่ยง ของจังหวัดสงขลาจากกลุ่มประชากร 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มนักเรียน 2) กลุ่มผู้xxxxxx 3) ผู้น้าใน ชุมชน/โรงเรียน และ 4) ศูนย์บ้าบัดยาเสพติด โดยการสุ่มจ้าเพาะเจาะจง (Purposive sampling) โดยใช้ทั้ง 4 กลุ่ม ได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนของการผลิตสื่อ Fanpage xxxxxxร่วมกันซึ่งประกอบ ไปด้วย ภาพ Feed ภาพนิ่ง จ้านวน 20 ภาพ คลิปวิดีโอสั้นๆ หนังสั้น 1 เรื่อง และมิวสิควิดีโอจ้านวน 1 ผลงาน หลังจากนั้นจึงน้าสื่อxxxxxxไปทดสอบไปประสิทธิภาพสื่อ Fanpage xxxxxxเพื่อสร้างความ เข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมกับกลุ่มเยาวชนจ้านวน 5 โรงเรียน ในพื้นอ้าเภอเทพา จังหวัด สงขลา
กลุ่มเป้าหมาย และพื้นที่ด้าเนินการ
พื้นที่ในการศึกษา ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงในการเสพน้้ากระท่อมของจังหวัดสงขลา ซึ่งได้แก่ อ้าเภอ เทพา จังหวัดสงขลา
ประชากรxxxxxxศึกษา ครั้งนี้ 4 ได้แก่ 1) กลุ่มนักเรียน 2) กลุ่มผู้xxxxxx 3) ผู้น้าในชุมชน และ
4) ศูนย์บ้าบัดยาเสพติด
ขนาดกลุ่มตัวอย่าง ใช้การสุ่มจ้าเพาะเจาะจง (Purposive sampling) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
ดังนี้
1.กลุ่มตัวอย่างในการผลิตxxxx xxxนวน 47 คน
1.1 กลุ่มนักเรียนโรงเรียนเทพxxxxxxxxxxxx ต้าบลล้าไพล อ้าเภอเทพา จังหวัด
สงขลา แบ่งเป็นกลุ่มนักเรียนxxxxxxดื่มน้้ากระท่อมจ้านวน 3 คน และนักเรียนที่ผลิตxxxxxxxนวน 30 คน รวมเป็นจ้านวน 33 คน
1.2 กลุ่มผู้xxxxxx จ้านวน 10 คน โดยเป็นผู้xxxxxxxxxมีบุตรหลานมีประวัติดื่มน้้า กระท่อมจ้านวน 5 คน และxxxxxxxxxมีบุตรหลานไม่มีประวัติดื่มน้้ากระท่อม จ้านวน 5 คน คัดเลือก จากการสมัครที่สนใจเข้าร่วมโครงการจากค้าแนะน้าของโรงเรียน และสถานบ้าบัด โดยพิจารณาจาก ประวัติ สัมพันธภาพในครอบครัว และการมีบุตรหลานตรงกับกลุ่มxxxxxxxxxxxรับชมสื่อประกอบกัน
1.3 ผู้น้าชุมชนในพื้นที่ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน คุณครูโรงเรียนเทพxxxxxxxxxxxx ต้าบล ล้าไพล อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา จ้านวน 2 คน
1.4 xxxxxxxxxxxxxxรับผิดชอบในการบ้าบัดยาเสพติดอ้าเภอเทพา จ้านวน 2 คน 2.กลุ่มตัวอย่างผู้รับชมสื่อ
กลุ่มนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย และมัธยมศึกษาตอนxxx xxxxวน 5 โรงเรียนใน พื้นที่อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ได้แก่ โรงเรียนเทพxxxxxxxxxxxx โรงเรียนเทพา โรงเรียนบ้านพระ
พุทธ โรงเรียนวัดxxxxxxxxxxมิตรภาพที่ 149 และโรงเรียนชุมชนนิคมสร้างตนเองเทพา ซึ่งคัดเลือก กลุ่มตัวอย่างจ้านวน 400 คน (โรงเรียนละ 80 คนจ้านวน 5 โรงเรียน)
ระยะเวลาด้าเนินการ
12 เดือน (ระหว่างเดือนธันวาคม 2562 –เดือนพฤศจิกายน 2563 )
เครื่องมือ/แบบเก็บข้อมูล
1.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ โดยใช้ตารางการสังเคราะห์ (Synthesis Matrix) เพื่อแบ่งใช้ในการวิเคราะห์เนื้อหาแนวทางการสร้างสื่อxxxxxxสร้างความเข้าใจ และลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน
2.การประชุมกลุ่ม (Focus Group) และ Workshop การผลิตสื่อxxxxxxแบบมีส่วนร่วมเพื่อ สร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนโรงเรียนเทพxxxxxxxxxxxx จ้านวน 30 คน
3.แบบสอบถาม (Questionnaire) ประสิทธิภาพของสื่อ Fanpage xxxxxxกับความเข้าใจ และลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนใน 5 โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1.เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ให้ข้อมูลส้าคัญเชิงลึก กับกลุ่มตัวอย่างที่ สุ่มเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งประกอบไปด้วย 1.กลุ่มนักเรียน 2.กลุ่มผู้xxxxxx 3. ผู้น้าในชุมชน และ 4. ศูนย์บ้าบัดยาเสพติด
2. หลังจากได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์จะน้ามาข้อมูลดังกล่าวมาประชุมกลุ่ม (Focus Group) และปฏิบัติการร่วมกันเพื่อผลิตสื่อ Fanpage เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม ในกลุ่มเยาวชน โดยให้กลุ่มเยาวชนโรงเรียนxxxxxxxxxxxxxxจ้านวน 30 คนได้ Workshop และผลิตสื่อที่ มีกลุ่มตัวอย่างข้างต้นจะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เนื้อหา
3. การจัดกิจกรรมเผยแพร่ Fanpage เพื่อเก็บข้อมูลประสิทธิภาพของสื่อ Fanpage xxxxxx กับความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน โดยให้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน ระดับประถมศึกษาตอนลาย และระดับมัธยมศึกษา จ้านวน 5 โรงเรียนในพื้นที่อ้าเภอเทพา จังหวัด สงขลา ได้แก่ โรงเรียนเทพxxxxxxxxxxxx โรงเรียนเทพา โรงเรียนบ้านพระพุทธ โรงเรียนวัดxxxx xxxxxxมิตรภาพที่ 149 และโรงเรียนชุมชนนิคมสร้างตนเองเทพา คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจ้านวน 400 คน เพื่อรับชมสื่อxxxxxxxxxผลิตขึ้นพร้อมประเมินผลจากแบบสอบถามหลังเปิดรับชมสื่อ
การวิเคราะห์ข้อมูล
1.การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) จากการการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างมาสร้าง ข้อสรุปโดยเขียนเป็นข้อความบรรยาย (Descriptive) อุปนัย (Analytic Induction) และการจ้าแนก ชนิดข้อมูลโดยใช้แนวคิดการผลิตสื่อxxxxxx ทฤษฎีเทคโนโลยีเป็นตัวก้าหนด และการสื่อสารเพื่อการ พัฒนา ทั้งนี้ข้อมูลทั้งหมดจะน้ามาลดทอนและตรวจสอบข้อมูลในลักษณะสามเส้า ( Data
Triangulation) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งบทสรุป ทั้งหมดถูกน้าเสนอในลักษณะอธิบายเชิงพรรณนา พร้อมประกอบไปด้วยการบรรยาย รูปภาพ ตาราง และแผนภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้
2. การทดสอบความxxxxxxxxของสื่อxxxxxx Fanpage กับความเข้าใจและลดปัญหาการเสพ น้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน โดยใช้แบบสอบถาม จากนั้นผู้วิจัยจะน้าข้อมูลจากแบบสอบถามมา วิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยใช้สถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงxxx มาตรฐาน ตามเกณฑ์ระดับความคิดเห็น 5 ระดับ ดังนี้
xxxxน้อยมาก /สนใจน้อยมาก เท่ากับ 1 คะแนน
xxxxน้อย/สนใจน้อย เท่ากับ 2 คะแนน
xxxxปานกลาง/สนใจปานกลาง เท่ากับ 3 คะแนน
xxxxมาก/สนใจมาก เท่ากับ 4 คะแนน
xxxxมากที่สุด/สนใจมากที่สุด เท่ากับ 5 คะแนน และน้าผลไปวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางประกอบความเรียง ระดับการใช้เกณฑ์การแปล
ความหมายของค่าเฉลี่ย ดังนี้ (Best, 1986 : 181-183)
ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง น้อยมาก
ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง xxxx
xxxเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง ปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง มาก
ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง มากที่สุด ส้าหรับการทดสอบxxxxฐานโดยตรวจสอบค่าความxxxxxxxxของสื่อ Fanpage xxxxxxกับ
ความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน ด้วยการวิเคราะห์หาค่าxxxxxxxxxxxx สหxxxxxxxxระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม โดยใช้สูตรของxxxxxxxxx (Pearson’s Correlation Coefficient) โดยแปลความหมายของค่าxxxxxxxxxxxxสหxxxxxxxx xxxมีการแบ่งเกณฑ์ การพิจารณา ดังนี้ (Baxxx, 1999 :184)
ค่าxxxxxxxxxxxxสหxxxxxxxx ระดับความxxxxxxxx มากกว่า 0.80 มีความxxxxxxxxกันสูงมาก
0.60 ถึง 0.80 มีความxxxxxxxxกันสูง
0.40 ถึง 0.60 มีความxxxxxxxxกันปานกลาง
0.20 ถึง 0.40 มีความxxxxxxxxกันต่้า
ต่้ากว่า 0.20 มีความxxxxxxxxกันต่้ามาก และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis= MRA) เพื่อน้าผลการ
วิเคราะห์ไปพยากรณ์xxxxxxxของผลกระทบของการxxxxxxกับความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้า กระท่อมในกลุ่มเยาวชนต่อไป
บทที่ 4 ผลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยเรื่องการสร้างสรรค์สื่อxxxxxxแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการ เสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสงขลา ผู้วิจัยมีการด้าเนินศึกษาข้อมูลจากการ ทบทวนเอกสาร การประชุมกลุ่ม การลงมือปฏิบัติการ และการทดสอบxxxxฐานทางสถิติเพื่อให้ได้ ข้อมูลความตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 ผลการวิเคราะห์รูปแบบการสื่อสารและการแสดงอัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการ ดื่มน้้ากระท่อมบนสื่อสังคมออนไลน์ประเภทเฟสบุ๊ก
ส่วนที่ 2 ผลการวิเคราะห์การประชุมกลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อค้นหาแนวทางการ สร้างสื่อxxxxxxxxxหรับสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
ส่วนที่ 3 การออกแบบและพัฒนาสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้า กระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
ส่วนที่ 4 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อxxxxxxเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการ เสพน้้ากระท่อมของกลุ่มตัวอย่างเยาวชนในอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
ส่วนที่ 1 ผลการวิเคราะห์รูปแบบการสื่อสารและการแสดงอัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรม การดื่มน้้ากระท่อมบนสื่อสังคมออนไลน์ประเภทเฟสบุ๊ก
ก่อนเริ่มการวิจัยในการผลิตสื่อส้าหรับการxxxxxxในสื่อสังคมออนไลน์ ผู้วิจัยได้ส้ารวจสื่อ เฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อมที่มีอยู่ในปัจจุบันมีลักษณะอย่างไร เพื่อน้าไปใช้เป็นแนวทางใน การผลิตสื่อ โดยพบว่าสื่อเฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อม และxxxxxติดตามสูงสุดจ้านวน 10 ผลงาน เรียงล้าดับ ได้ดังนี้
ตารางที่ 1 สื่อสังคมออนไลน์ประเภทเฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อมที่และxxxxxติดตามสูงสุด จ้านวน 10 ผลงาน (ข้อมูล ณ xxxxxx 20 กรกฎาคม 2563)
ชื่อxxx | xxxxxxxx | รูปโปรไฟล์ | xxxxxxสร้างxxx | จ้านวนคน ถูกใจ (คน) | จ้านวน คน ติดตาม (คน) |
1.สมาคม คนรัก กระท่อม- Kratom Official | มิตรภาพxxx xxxxx | 8 กันยายน 2561 | 176,976 | 189,137 |
2.Kratom Thailand | xxxxxxxxxxxx | 8 พฤษภาคม 2562 | 87,498 | 93,016 | |
3.ค้าคม วง xxxx | xxxนี้ท้าขึ้นมา เพื่อความ บันเทิงxxxxx xxxxxxxได้ xxxxxxxxหรือ ชักชวนไห้วัยรุ่น เสพยาเสพติด | 1 ธันวาคม 2559 | 52,259 | 75,139 | |
4.สมาคม ใบ กระท่อม แห่งประ xxxxxx | 12 กันยายน 2556 | 64,610 | 66,336 | ||
การxxxxxxxx | |||||
5.xxxxxxxx xxxแลนด์ | ยันกันนิเรา | 9 กุมภาพันธ์ 2561 | 52,952 | 56,416 | |
6. Kratom thaiใจเกิน 100" | xxxxxxxxเฟี้ยง กว่าเยอะ | 26 เมษายน 2562 | 32,509 | 35,404 | |
7.กระท่อม Thailand | ของxx xxxย แรง | 20 มีนาคม 2563 | 18,262 | 19,570 | |
8.พวกเรา มั่นใจ "ว่า กระท่อม ดีกว่า เหล้า" | แจ้งมาเพื่อ ทราบทางxxx ไม่มีสินค้าขาย นะครับ | 30 พฤศจิกายน 2561 | 13,425 | 13,705 |
9. สมาคม คนรัก กระท่อม | - | 8 xxxxxx 2562 | 11,398 | 11,974 | |
10.เซียน น้้าxxxx | - | 17 xxxxxx 2560 | 7,157 | 7,218 |
ผลส้ารวจสื่อสังคมออนไลน์ในตารางที่ 1 xxxxxxตามองค์ประกอบของการสื่อสาร The Shannon-Weaver model revisited ของ Rasila & Muxxx (2012 :18) ได้ดังนี้
1.แหล่งสาร (Sander) เฟสบุ๊กxxxxxxรับความxxxxสูงสุดส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี 2560-
2563 ใช้ภาพโปรไฟล์ที่มีส่วนประกอบในการปรุงน้้ากระท่อม xxxx ใบกระท่อม หม้อต้มน้้า หรือ ส่วนผสมอื่นๆ ที่ผู้ดื่มน้้ากระท่อมxxxxxxเข้าใจได้ทันทีว่ามีความเกี่ยวข้องกับน้้ากระท่อม การตั้งชื่อ xxxเป็นการสื่อสารแบบทางตรงด้วยการใช้ค้าหลัก (Keyword) ว่า “กระท่อม” หรือ “xxxx” ผสมกับ ค้าอื่นๆ ที่มีความหมายในทิศทางเป็นบวกทั้งหมด xxxx ค้าว่า “พวกเรา” “มิตรภาพ” หรือ “รัก” ซึ่ง ท้าให้รู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใยและเป็นxxxxxxxเดียวกับผู้ดื่มน้้ากระท่อม ค้าว่า “ดี” หรือ “มั่นใจ” เป็นการยืนยันว่าการดื่มน้้ากระท่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม เป็นต้น โดยทุกxxxมีสร้าง ภาพลักษณ์ของเจ้าของxxxเสมือนผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับน้้ากระท่อมและมีประสบการณ์การ ดื่มน้้ากระท่อมมาอย่างยาวนาน ด้วยการใช้ค้าว่า “สมาคม” หรือ “เซียน” ในชื่อหรือนิยามของxxx แต่ทั้งหมดไม่มีการแสดงตัวตนผู้ส่งสารอย่างชัดเจนว่าเจ้าของxxxเป็นใคร มีหน้าตาอย่างไร และมี แหล่งพ้านักอยู่ที่ใด
2. เนื้อหาของสาร (Message) ส่วนใหญ่น้าเสนอเรื่องราวการดื่มน้้ากระท่อมที่เสมือนเกิด
มาจากประสบการณ์ตรงของเจ้าของxxxเอง สื่อสารผ่านข้อความ รูปภาพและคลิปวิดีโอ ที่เข้ากับ สถานการณ์ปัจจุบันซึ่ง ใช้ส่วนผสมและอุปกรณ์ส้าหรับการดื่มน้้ากระท่อม xxxx ใบกระท่อม ยาแก้xx xxxxโค้ก xxxxxxxx หม้อต้ม และกะละมัง มาใช้เป็นสัญญะหนึ่งในxxxxxxเสนอ ผสมกับวลีหรือแฮชแท็ก เฉพาะ xxxx ยี (การขยี้ใบกระท่อมก่อนต้ม) ยัน (อาการที่เกิดหลังจากการดื่มน้้ากระท่อม) และxxx xxxxx (ชื่อเรียกส้าหรับกลุ่มผู้เสพยาเสพติดที่มีลักษณะใบ xxxx กระท่อม กัญชา) เพื่อให้xxxxxxxเข้าใจ ร่วมกันของผู้ดื่มน้้ากระท่อม ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
2.1 กลุ่มเนื้อหาพลังบวก เป็นการน้าเสนอเรื่องราวxxxxxxxกระท่อมในทางxxxxx สร้าง การรับรู้ของผู้รับสารรู้ว่าการดื่มน้้ากระท่อมเป็นสิ่งxxxxxxผิด โน้มน้าวใจหรือชักจูงใจให้ผู้รับสารมี ความรู้สึกคล้อยตามว่าการดื่มน้้ากระท่อมมีคุณประโยชน์ บางครั้งxxxxxxเสนอในรูปของคติสอนใจ xxxx น ้ำxxxxคือxxxxภำพxxxxxของชีวิต#ไม่ใช่สิ่งเสพติดที่อันตรำยของชีวิต หรือ น ้ำxxxxxxxเคยท้ำใ👉้ใคร เป็นคนเลว คนตัง👉ำกxxxxxxxxนเลวแล้วโทษใส่น ้ำxxxx เป็นต้น
ภาพที่ 4 ตัวอย่างข้อความกลุ่มเนื้อหาพลังบวกที่ปรากฏในเฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อม
2.2 กลุ่มเนื้อหาสร้างกระแส เป็นการน้าเสนอเรื่องราวการด้าเนินชีวิตของผู้ดื่มน้้า กระท่อมให้กลายเป็นกระแสหรือแฟชั่นที่ยอมรับได้ และให้กลุ่มผู้รับสารเห็นxxxxกันว่าควรปฏิบัติตาม วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารส่วนใหญ่ต้องการน้าเสนอเพื่อสร้างความบันเทิงหรือสร้างให้เนื้อหานั้น กลายเป็นไวรัล ที่xxxxxxน้าไปพูดต่อๆ กันxxx xxxน้าเสนอเป็นมุขตลกๆ ภาพหวือหวาของหญิงสาวกับ น้้ากระท่อม หรือค้าคมxxxxxxใจ xxxx ถ้ำอยำกสวยน้องต้องไปยันฮี แต่ถ้ำน้องอยำกยันฟรีน้องต้องขยัน ยีใบ หรือ บุญเเล้วทูน👉ัว มีผัวกินxxxx #วันๆเฝ้ำแต่👉ม้อจะเอำเวลำไ👉นไปนอกใจ ซึ่งส่วนใหญ่สมาชิก จะกดถูกใจและกดแชร์ มากกว่าการแสดงความคิดเห็น
ภาพที่ 5 ตัวอย่างข้อความกลุ่มเนื้อหาสร้างกระแสที่ปรากฏในเฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อม
นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลบางส่วนเป็นการน้าข้อมูลหรือภาพทุติยภูมิจากแหล่งอื่นxxxxxxxx สร้างขึ้นใหม่ให้มีความเกี่ยวโยงเกี่ยวกับดื่มน้้ากระท่อมตามที่ผู้ส่งสารต้องการน้าเสนอ โดยไม่มีอ้างถึง แหล่งที่มาของข้อมูล
3.ผู้รับสาร (Receiver) สมาชิกส่วนใหญ่มีความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์เกี่ยวกับดื่ม น้้ากระท่อมเป็นอย่างดี เนื่องจากการผลการสะท้อนกลับที่ปรากฏในxxx พบว่าผู้รับสารมีการ ตอบxxxxไปในทิศทางเดียวกับเนื้อหาที่เจ้าของxxxน้าเสนอไว้ xxxx “ผ่ำนครับ” “เฉียบ” “ผมก็เคย
เป็น” “มันคือควำมสุข..xxxxxxต้องบรรยำย” เป็นต้น หากเนื้อหาใดเป็นการน้าเสนอแบบตั้งค้าถาม ชวนคิดหรือชวนสงสัย สมาชิกด้วยกันเองจะเป็นผู้เฉลยข้อสงสัยนั้นให้ผู้รับสารคนอื่นๆ ทราบ โดยที่ผู้ xxxxxxxxxต้องมีการสื่อสารซ้้า ซึ่งข้อเฉลยนั้นจะกลายเป็นความรู้ความเข้าใจใหม่ของผู้รับสารคนอื่นๆ และxxxxxxxเป็นเนื้อหาที่ผู้รับสารคนอื่นๆ ได้สร้างขึ้นใหม่ในxxxหรือเฟสบุ๊กส่วนตัวในฐานะเป็นผู้ส่ง สารใหม่ (New Sander) ต่อไป
4.การตอบxxxxกลับ (Feedback) ด้วยxxxxxxxxของสื่อสังคมออนไลน์xxxxxxสร้าง ปฏิสัมพันธ์xxxxกลับระหว่างแบบทันทีทันใด ซึ่งหลังจากน้าเสนอข้อมูลของเจ้าของxxxพบว่าสมาชิก
จะมีการกดถูกใจ (like) กดแชร์ (share) และแสดงความคิดเห็น (comment) ในทันที โดยกลุ่ม เนื้อหาพลังบวกส่วนใหญ่จะได้รับการตอบxxxxกลับในลักษณะกดถูกใจ (like) และแสดงข้อความชื่น ชม ส่วนกลุ่มเนื้อหาสร้างกระแสจะได้รับการตอบxxxxกลับด้วยการกดหัวเราะ แสดงข้อความตลก ขบขัน และการกดแชร์ต่อไปยังหน้าxxxของตนเอง
5. ผู้รับสารขั้นที่สอง (Receiver) มีทั้งสมาชิกที่อยู่ในxxx สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มลับของxxx และเพื่อนของสมาชิกในเฟสบุ๊กxxxxxxได้เป็นสมาชิกxxx ซึ่งกลายเป็นผู้รับสารขั้นที่สองต่อจากผู้รับ
สารxxxxxxxxxxxเป็นผู้ส่งสารใหม่ ซึ่งกลุ่มผู้รับสารขั้นที่สองประเภทสมาชิกที่อยู่ในxxxและเพื่อนของ สมาชิกในเฟสบุ๊กxxxxxxได้เป็นสมาชิกxxx มักน้าเสนอข้อมูลxxxxxxxผู้ส่งสารใหม่น้าเสนอผสมกับข้อความ บางส่วนที่มาจากประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมของตนไปน้าเสนอต่อ แต่สมาชิกที่อยู่ ในกลุ่มลับของxxxพบว่ามีการสร้างเนื้อหาขึ้นใหม่ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มน้้า กระท่อมและกล้าเปิดเผยตัวตนที่xxxxxxxxxxxxxxขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าสมาชิกที่อยู่ในxxxและสมาชิก ที่อยู่ในกลุ่มลับของxxx บางส่วนใช้xxxเป็นช่องทางในประกาศขายใบกระท่อมหรือส่วนผสมในการ ปรุงน้้ากระท่อมกันอย่างเปิดเผย โดยในหน้าxxxจะเป็นการน้าเสนอผ่านข้อเสนอแนะ (Comment) ในลักษณะxxxxxxxxสิ่งดีๆ ให้เหล่าสมาชิกต่อจากเนื้อหาที่เจ้าของxxxน้าเสนอไว้ก่อนหน้า ส่วนใน กลุ่มลับจะประกาศขายกระท่อมแบบตรงๆ แม้ว่าเจ้าของxxxจะระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การสร้างxxx หรือกลุ่มส่วนตัวนี้ สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่มีวัตถุประสงค์สร้างขึ้นมาเพื่อxxxxxxxxการขาย ของแต่อย่างใด
ส้าหรับอัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มน้้ากระท่อมที่ปรากฏบนเฟสบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ น้้ากระท่อมและxxxxxติดตามสูงสุดจ้านวน 10 ผลงาน พิจารณาจากเนื้อหาที่มีการผลิต การบริโภค กฎxxxxxxxและใช้เป็นภาพตัวแทนภายในxxx พบว่าxxxxxxแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.อัตลักษณ์ส่วนบุคคล ผู้ดื่มน้้ากระท่อมมักน้าเสนอความเป็นตัวตนxxxxxเป็นคนอารมณ์ขัน
xxxxxxx ไม่มีพิษภัย เป็นตัวของตัวเอง ผ่านสัญญะและเนื้อหาที่สร้างให้ตลกขบขัน เกิดเสียงหัวเราะ และการตอบxxxxกลับในลักษณะชวนหัว ด้วยความคิดแปลกใหม่ xxxx xxxxxxเสนอมีวิธีการผสม วิธีการต้ม และวิธีการดื่มxxxxxxxxxxxxพบได้ในชีวิตจริง ท้าให้เกิดภาพลักษณ์ของนักดื่มกระท่อมxxx xxxxเป็นคนสนุกสนาน มีความเป็นตัวของตัวเองสูงโดยคิดว่าสิ่งที่ตนเองน้าเสนอนั้นถูกต้องเสมอ แม้ว่าเนื้อหาบางอย่างเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อจารีตและกฎหมายก็ตาม ทั้งนี้เนื้อหาส่วนใหญ่ยังแสดง ให้เห็นว่าผู้ดื่มน้้ากระท่อมxxxxxxมองว่าตนเองเป็นผู้ติดยาเสพติด เพียงแค่มีพฤติกรรมชอบดื่มน้้า กระท่อมที่เป็นเครื่องดื่มอย่างหนึ่งที่สร้างสีสันและความบันเทิงให้กับชีวิตเท่านั้น
2.อัตลักษณ์ทางสังคม เป็นการผลิตเนื้อหาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นตัวบ่งบอกถึงอ้านาจ ทางสังคมว่า กลุ่มผู้ดื่มน้้ากระท่อมเอง มองกลุ่มตนเองเป็นกลุ่มรักxxxxxxx รู้จักแบ่งปัน และให้ ก้าลังใจซึ่งกันและกัน ซึ่งคนภายนอกไม่สามารถเข้าใจได้เท่ากับคนดื่มน้้ากระท่อมด้วยกันเอง พิจารณาได้จากการน้าเสนอเนื้อหาของใดๆ ก็ตามจะมีการตอบสนองกลับด้วยข้อความที่สนับสนุน และชื่นชม แม้ข้อความและภาพบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงโทษที่เกิดจากการดื่มน้้ากระท่อมก็ตาม แต่ เนื้อหานั้นไม่ได้ถูกน้าเสนอในลักษณะด่าทอ ทับถม หรือต้าหนิ กลับถูกน้าเสนอหรือสนองกลับใน ลักษณะหยอกล้อชวนขบขัน และไม่ท้าให้ผู้ดื่มน้้ากระท่อมดูเป็นกลุ่มที่สังคมรังเกียจ ส่งผลท้าให้กลุ่ม สมาชิกในเพจคนอื่นๆ กล้าที่จะโพสต์พฤติกรรมการดื่มน้้ากระท่อมของตนอย่างโจ่งแจ้งตามมา หรือ แม้แต่การโพสต์ขายใบกระท่อมเองไม่ได้เป็นการน้าเสนอขายแบบตรงๆ (Hard sale) เหมือนก้าลัง ขายของอบายมุขหรือสิ่งผิดกฎหมาย แต่จะน้าเสนอแฝงในลักษณะการแนะน้าสิ่งดีๆ ให้กับเหล่า สมาชิก
โดยสรุปรูปแบบการสื่อสารของสื่อสังคมออนไลน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อมด้วยแผนภาพ ที่ 6 ดังนี้
การรับรู้เกี่ยวกับน้้า
กระท่อม
สมาชิกใน เพจ
เจ้าของ เพจ (ผู้ส่ง
สาร)
สมาชิกเพจ
(ผู้ส่งสาร ใหม่)
เพื่อนใน
การ
เข้ารหัส
ถูกใจ/แชร์/แสดงความคิดเห็น
การ
ถอดรหัส
ผู้ติด ตาม
เพื่อน
ประสบการณ์เกี่ยวกับน้้ากระท่อม
ประสบการณ์
ความรู้และความเข้าใจ เกี่ยวกับน้้ากระท่อม
เพื่อน ในกลุ่ม ลับ
สมาชิกใน กลุ่มลับ
เพื่อน
เนื้อหาที่น้าเสนอ ผ่านเพจ
สถานการณ์กระท่อม
ข้อมูล เกี่ยวกับ น้้า กระท่อม
ข้อมูล เกี่ยวกับ น้้า กระท่อม
ภาพที่ 6 รูปแบบการสื่อสารของสื่อสังคมออนไลน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้ากระท่อม
ที่มา ดัดแปลงจาก The Shannon-Weaver communication model for Social Media ของ Alan N. Shapiro (2012)
จากแผนภาพที่ 6 ผู้สร้างเพจมีข้อมูลเกี่ยวกับน้้ากระท่อมที่เกิดจากประสบการณ์ของตนเอง โดยพยายามสร้างความเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดให้เกิดกับผู้รับสาร ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ การดื่มน้้ากระท่อมมาก่อน ด้วยการเข้ารหัสผ่านข้อความ ภาพและคลิปวิดีโอที่โดดเด่น สื่อสารด้วย ภาษาที่เข้าใจง่าย มีเนื้อหาสอดคล้องกับสถานการณ์น้้ากระท่อม ณ ขณะนั้น เช่น บริบทการดื่มน้้า
กระท่อม กฎหมายของกระท่อม และค่านิยมในการดื่มน้้ากระท่อม เป็นต้น อีกทั้งมีสร้างค้าใหม่ๆ และ น้าประเด็นข่าวเกี่ยวกับน้้ากระท่อมมาสร้างเนื้อหาเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ติดตาม โดย แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 รูปแบบคือกลุ่มเนื้อหาพลังบวกและกลุ่มเนื้อหาสร้างกระแส ซึ่งเนื้อหาทั้งหมด สามารถดึงดูดผู้รับสารให้เข้ามามีส่วนร่วมหรือผูกพันในฐานะของสมาชิกกลุ่มตามธรรมชาติของสื่อ สังคมออนไลน์ที่ผู้รับสารสามารถมีปฏิกิริยาสนองกลับผ่านทันที เช่น การกดถูกใจ การแชร์ และการ แสดงความคิดเห็น สมาชิกส่วนใหญ่ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมอยู่แล้ว สามารถ ถอดรหัสเนื้อหาที่เจ้าของเพจน้าเสนอได้โดยง่าย และเนื้อหาที่พวกเขาได้รับจะกลายเป็นข้อมูลที่น้าไป ส่งต่อให้กับสมาชิกคนอื่นๆ เช่น สมาชิกในเพจ เพื่อนในเฟสบุ๊ก และสมาชิกในกลุ่มลับ จนกลายเป็น การขยายผลในลักษณะเครือข่ายผู้ดื่มน้้ากระท่อมต่อไป
2.การแสดงอัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มน้้ากระท่อมที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ มี การแสดงออกทั้งอัตลักษณ์ส่วนบุคคล และอัตลักษณ์ทางสังคม สามารถสรุปได้ตามแผนภาพที่ 7 ดังนี้
กลุ่มลับ
ความถี่ของการ
สื่อสาร
อัตลักษณ์ส่วนบุคคล
(ประโยชน์ดื่มน้้า กระท่อม)
การปฏสิ ัมพันธ์
ผ่าน Facebook
ภาคภูมิใจใน
ตนเอง
อัตลักษณ์ทางสังคม
(ประโยชน์ทาง สัญญาณทางสังคม)
สมาชิกเพจ
เพจ
เจ้าของเพจ
ภาพที่ 7 การแสดงอัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมดื่มน้้ากระท่อมของผู้ใช้สื่อที่ปรากฏในเพจ
จากแผนภาพที่ 7 อัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมดื่มน้้ากระท่อมเกิดมาจากผู้ใช้สื่อสังคม ออนไลน์สองกลุ่มคือเจ้าของเพจและสมาชิกเพจที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันผ่านเพจหรือกลุ่มลับที่ถูกสร้าง ขึ้น โดยเจ้าของเพจจะสร้างเนื้อหาที่ต้องการให้เกิดขึ้นในเพจอย่างต่อเนื่อง เพื่อโน้มน้าวให้เกิดความ ภาคภูมิใจในตัวตนเองของสมาชิกว่าพฤติกรรมดื่มน้้ากระท่อมเป็นสิ่งที่ดี โดยใช้ความถี่ของการสื่อสาร ท้าให้เกิดอัตลักษณ์ที่ชัดเจนและความภาคภูมิใจของเหล่าของสมาชิกนั้นจะไปสู่การผลิตเนื้อหาซ้้าจน กลายเป็นอัตลักษณ์อีกทางหนึ่งเช่นกัน โดยแบ่งอัตลักษณ์ที่เกิดขึ้นออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.อัตลักษณ์ส่วนบุคคล ได้แก่ “อารมณ์ขัน ไม่มีพิษภัย เป็นตัวของตนเองสูง” เป็นอัตลักษณ์ ที่เกิดมาจากประโยชน์ของดื่มน้้ากระท่อม (Functional Benefit) ที่สืบเนื่องมาจากฤทธิ์กดประสาท ของน้้ากระท่อมท้าให้ผู้เสพรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่น มีอาการเคลิ้ม ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว ซึ่งสมาชิกเพจส่วนใหญ่มองว่านั่นคือผลของดีน้้ากระท่อม อีกทั้งโทษการดื่มน้้ากระท่อมที่ไม่
ส่งผลต่อร่างกายในลักษณะทันทีทันใดหลังจากการดื่ม จึงท้าให้ถูกมองว่าเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ส่งผลต่อ สุขภาพ ดื่มแล้วไม่มีพิษภัยและยืนยันความคิดของพวกเขาว่าตนคิดถูกต้องแล้วที่เลือกดื่ม เพราะไม่ได้ เกิดผลร้ายเป็นอย่างที่ใครกล่าวโทษ
2.อัตลักษณ์ทางสังคม ได้แก่ “รักพวกพ้อง รู้จักแบ่งบัน ชื่นชมกันเอง” เป็นอัตลักษณ์ที่เกิด
จากประโยชน์ทางสัญญาณทางสังคม (Social Signaling Benefit) ที่ผู้ดื่มน้้ากระท่อมพยายามหาข้อ โต้แย้งจากการถูกตีตราจากสังคมว่าน้้ากระท่อมเป็นสิ่งไม่ดีทั้งในแง่ของกฎหมายและศีลธรรม โดย เหล่าสมาชิกได้สร้างมุมมองที่แตกต่างให้เห็นว่าการดื่มน้้ากระท่อมสามารถสร้างการรวมกลุ่มของ เพื่อนฝูงที่รักใคร่กลมเกลียว เนื่องจากการปรุงน้้ากระท่อมแต่ละครั้งมีการผลิตครั้งละจ้านวนมากๆ จึง ท้าให้การดื่มจะต้องมีการตั้งกลุ่มแบ่งกันดื่มในคราวเดียว และหากใครมีการดื่มได้จ้านวนมากโดยไม่มี อาการมึนเมาจะได้รับการยกย่อง
ส่วนที่ 2 ผลการวิเคราะห์การประชุมกลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อค้นหาแนวทางการ สร้างสื่อรณรงค์ส้าหรับสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอ เทพา จังหวัดสงขลา ในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยได้แบ่งการเก็บข้อมูล 2 รูปแบบคือ
1.การจัดประชุมกลุ่มขึ้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 เวลา 13.00-16.00 น. ณ โรงเรียน เทพพิทยาภานุมาศ ต้าบลล้าไพล อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา มีผู้เข้าร่วมการประชุมกลุ่ม ( Focus Group) จากผู้ให้ข้อมูลหลัก จ้านวน 36 คน ประกอบไปด้วย กลุ่มนักเรียน กลุ่มผู้ปกครอง ผู้น้าใน ชุมชน ศูนย์บ้าบัดยาเสพติด และนักวิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์
2.การสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มนักเรียนที่เคยดื่มน้้ากระท่อม จ้านวน 3 คน และเจ้าหน้าที่ศูนย์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อ.เทพา ค่ายจันทร์รักษ์ จ้านวน 1 คน
ผู้วิจัยสามารถสรุปประเด็นจากการประชุมกลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึก ได้ดังนี้
1.สถานการณ์น ้ากระท่อมของเยาวชนในพื นที่อ้าเภอเทพา
ปัจจุบันน้้ากระท่อมเป็นสิ่งที่เด็กๆ ในชุมชนรู้จักกันดี ว่าเป็นสารเสพติดประเภทหนึ่ง ที่มีการ ระบาดกันในหมู่ของวัยรุ่น และสามารถหาได้ง่ายที่พื้นที่ เนื่องจากมีการแอบปลูก หรือการลักลอบ น้าเข้ามาจากชายแดนประเทศมาเลเซีย (น้าเข้าทางด่านประกอบ) โดยเด็กๆ มีความรู้ความเข้าใจ และเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับน้้ากระท่อมมาแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเห็น การสัมผัส หรือการได้ กลิ่น เนื่องจากบางครอบครัวภายในชุมชนมีการต้มกระท่อมกันอย่างเปิดเผย และเยาวชนเห็นจนชิน ตา แต่มีเพียงกลุ่มน้้าเท่านั้นที่เข้าไปอยู่ในวงจรของการดื่มน้้ากระท่อม โดยเฉพาะเยาวชนผู้ชาย ที่มี ลักษณะรวมกลุ่มกันในการดื่มน้้ากระท่อม ซึ่งมีพฤติกรรมการแอบต้มและแอบดื่มน้้ากระท่อมในสวน ยางหรือพื้นที่ที่ไม่มีผู้คน เยาวชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มองว่ากระท่อมไม่ได้เป็นสารเสพติดที่อันตราย ส้าหรับเขา เนื่องจากพวกเขาเห็นหรือสัมผัสจนชินตา อีกทั้งสามารถบอกคุณลักษณะของรูป รส และ กลิ่นของน้้ากระท่อมได้อย่างชัดเจน หรือแม้แต่ในเยาวชนบางส่วนสามารถบอกส่วนผสมของสารตั้ง ต้นในการผสมน้้ากระท่อมเป็น สี่คูณร้อย ได้โดยที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ดื่มเลย
นอกจากนี้ในระบบการศึกษาภาคบังคับของชุมชน พบว่า ประเด็นน้้ากระท่อมเป็นสิ่งที่ โรงเรียนค่อนข้างเห็นความส้าคัญ มีการน้าสาระส้าคัญเกี่ยวกับน้้ากระท่อมมาพูดในชั้นเรียนและมีการ สอนถึงพิษภัยของน้้ากระท่อมและยาเสพติดอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในบางชุมชนได้มีกิจกรรมเกี่ยวกับ
เรียนรู้ และสอนให้เด็กๆ เกิดความเข้าใจถึงพิษภัยของน้้ากระท่อม แต่กระนั้นการเสพน้้ากระท่อมก็ยัง สามารถท้าได้ไม่ทั่วถึง เนื่องจากในกลุ่มของเยาวชนบางกลุ่มจะมีการตระหนักรู้ก็จะไม่ได้เข้าไปทดลอง หรือดื่มน้้ากระท่อม แต่ส้าหรับกลุ่มเยาวชนที่เข้าไปอยู่ในวงจรการดื่มน้้ากระท่อมแล้ว มักมีลักษณะวน ซ้้า นั่นคือมีการลด ละ เลิกดื่มน้้ากระท่อมไปได้ซักระยะแล้วกลับมาดื่มน้้ากระท่อมอีกครั้ง ซึ่งเป็น ปัญหาที่ยากในแก้ไข
บางชุมชนพบว่า ผู้น้าชุมชนได้มีการขึ้นทะเบียนของเยาวชนที่เสพน้้ากระท่อมอย่างเป็นระบบ ด้วยมีการท้าฐานข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการด้วยการจดบันทึกและติดตามผล โดยเฉพาะกลุ่มของ เยาวชนที่เคยการเสพติดน้้ากระท่อม และถูกส่งตัวไปบ้าบัดทั้งในอ้าเภอเทพา อ้าเภอจะนะ และ อ้าเภอนาทวี เด็กกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงที่มีโอกาสกลับไปเสพที่ค่อนข้างสูง โดยน้าชุมชนร่วมกับ ผู้ปกครองจะมีการดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดการกลับไปเสพซ้้า
แต่ปัจจุบันกรณีการบ้าบัดการเลิกน้้ากระท่อม ไม่ได้มีขั้นตอนการบ้าบัดเท่ากับยาเสพติด ประเภทอื่นๆ อีกทั้งทางศูนย์บ้าบัดยาเสพติดเองอาจจะน้าไปกักต่อเพียงระยะเวลาสั้นๆ (1-2 สัปดาห์) และปล่อยตัวกลับชุมชน เพื่อหวังให้เยาวชนเกิดจิตส้านึก และเลิกดื่มได้เองในที่สุด เนื่องจากในพื้นที่ อ้าเภอเทพาและบริเวณใกล้เคียงพบว่าปัญหาเสพติดอื่นๆ ที่ค่อนข้างน่ากังวลมากกว่า เช่น กัญชา เฮโรอีน หรือยาบ้า เป็นต้น ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้จะต้องเข้าไปสถานกักกันอย่างเป็นระบบ และใช้ ระยะเวลาในการรักษาที่ค่อนข้างยาวนานมากกว่า ซึ่งจ้าเป็นต้องให้ความส้าคัญกับเยาวชนกลุ่มนี้ มากกว่ากลุ่มที่ติดน้้ากระท่อม อีกทั้งหากให้เยาวชนที่ติดน้้ากระท่อมเข้ามาอยู่ในสถานกักกัน ผู้ปกครองจะต้องรับผิดชอบในส่วนของค่าใช้จ่ายในตลอดระยะเวลาที่อยู่ในสถานกักกันนั้น ซึ่ง ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ได้มีรายได้ที่มากพอส้าหรับส่งให้บุตรหลานเข้าสู่สถานบ้าบัด และผู้ปกครองส่วน ใหญ่มองว่าการติดน้้ากระท่อมของบุตรหลาน เป็นการเสพติดที่ผู้เสพสามารถเลิกดื่มเองได้ โดยไม่ต้อง ใช้การบ้าบัดทางการแพทย์ จึงท้าให้ปัญหาส่วนใหญ่ของการแก้ไขปัญหานี้ ไม่น่าจะเป็นเรื่องของ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทางร่างกาย แต่น่าจะมาจากปัญหาทางสังคมมากกว่า ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ท้าให เยาวชนในพื้นที่ยังคงมีพฤติกรรมวนเวียนอยู่กับการดื่มน้้ากระท่อมอยู่
ส้าหรับในกลุ่มผู้ปกครองเองที่มีความกังวลว่า บุตรหลานของตนเองจะเข้าไปพัวพันกับยาเสพ ติด โดยเฉพาะการรวมกลุ่มกันในช่วงเวลากลางคืน และช่วงของวันหยุด จะมีการป้องกันด้วยการเฝ้า ติดตาม และให้เด็กๆ อยู่บ้านในช่วงเวลาดังกล่าว แต่กลุ่มผู้ปกครองไม่อาจจะรู้ได้ว่าในช่วงเวลานั้น บุตรหลานที่อยู่ในบ้านจะใช้ช่องทางอื่นๆ เช่น โซเซียลมีเดียในการสื่อสารกับเพื่อนๆ เกี่ยวกับเรื่องน้้า กระท่อมหรือไม่ ซึ่งจากการสัมภาษณ์เยาวชนที่ดื่มน้้ากระท่อมบางคนให้ข้อมูลว่า การนัดแนะในการ ดื่มน้้ากระท่อมของตนเอง ส่วนใหญ่เกิดจากการส่งข้อมูลกันในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook หรือ Line ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองไม่สามารถตรวจสอบได้ บางครั้งพวกเขาจะใช้ช่วงเวลาไปโรงเรียน โดดเรียนไปกลุ่มกันในสถานที่นัดแนะเพื่อต้มน้้ากระท่อม โดยสถานที่เหล่านั้นจะอยู่ในหมู่บ้านหรือ พื้นที่ที่ไม่ไกลจากโรงเรียนมาก ซึ่งมีทั้งที่ผู้ปกครองจับได้และจับไม่ได้ หากจับได้ผู้ปกครองก็มาเข้า ท้าลาย และภายหลังเยาวชนเหล่านี้ก็กลับมาใช้สถานที่เดิมอีกครั้งในการรวมกลุ่มต้มน้้ากระท่อม เด็กๆ บางคนบอกว่าตนเองเป็นผู้เสพน้้ากระท่อมที่มีลักษณะการเสพมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง แม้ว่าผู้ปกครองจะส่งไปยังสถานบัดบ้า เมื่อกลับเข้ามาในชุมชน เขาก็เลือกที่จะกลับไปเสพซ้้าอีก ผู้ปกครองบางรายเจอปัญหาเหล่านี้ในลักษณะวนซ้้า จนต้องใช้การแก้ปัญหาด้วยการต้มน้้ากระท่อม
ให้บุตรหลานดื่มเองภายในบ้านเพราะจะได้ไม่ไปสร้างปัญหานอกบ้าน แต่กลับพบว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ การแก้ปัญหาที่แท้จริง เพราะพฤติกรรมการดื่มน้้ากระท่อมของเด็กๆ นั้น พวกเขาไม่ได้ต้องการดื่มน้้า กระท่อมเพียงล้าพัง แต่ต้องการดื่มน้้ากระท่อมในลักษณะการรวมหมู่กับเพื่อนฝูงมากกว่า ซี่งตรงนี้ เป็นปัญหาที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจในกระบวนการคิดของเยาวชนที่ติดน้้ากระท่อม
2.ปัจจัยทางสังคมที่ส่งผลต่อการดื่มน ้ากระท่อม
แม้ว่ากระท่อมจะเป็นยาเสพติดที่ค่อนข้างเบาบางมากที่สุด เมื่อเทียบกับยาเสพติดประเภท อื่นๆ ในพื้นที่ เช่น กัญชา เฮโรอีน หรือยาบ้า แต่ผลของการดื่มน้้ากระท่อมในกลุ่มของเยาวชน กลายเป็นปัญหาที่สะสมมายาวนาน เนื่องจากผู้เสพน้้ากระท่อมส่วนใหญ่ มักมีการเสพแบบเรื้อรัง โดย ไม่สามารถลดปริมาณการดื่มลงได้ หากไม่มีการดื่มน้้ากระท่อม จะท้าให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิด ไม่มี เรี่ยวแรง เซื่องซึม และเกิดอาการปวดหัวในบางราย อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อการด้าเนินชีวิตประจ้าวัน เป็นอย่างมาก เช่น ไม่ยอมไปเรียนหนังสือ ไม่ท้างาน และไม่สนใจสังคมรอบข้าง ในเยาวชนบางคน พบว่า มีการใช้ชีวิตในลักษณะตื่นกลางคืน นอนกลางวัน โดยในเวลากลางคืนเมื่อได้ดื่มน้้ากระท่อม พวกเขาจะมีลักษณะกระปรี้กระเปร่าผิดปกติ หรือที่เรียกกันว่า “ดีด” ซึ่งบางครั้งสร้างความล้าคาญ ให้กับผู้คนรายรอบ โดยเฉพาะคนในครอบครัว เนื่องจากเด็กๆ กลุ่มนี้มีพฤติกรรมเสียงดัง เอะอะ โวยวาย ไม่หลับไม่นอน มีการร้องร้าท้าเพลง จนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านได้
ปัจจัยหลักๆ ที่ท้าให้เกิดการระบาดของน้้ากระท่อมในพื้นที่ของอ้าเภอเทพา ได้แก่ การ ลอกเลียนแบบ ซึ่งเกิดจากการเห็นพฤติกรรมของรุ่นพี่ที่มีพฤติกรรมดื่มน้้ากระท่อมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อ รุ่นพี่เหล่านั้นเข้ามาชักชวน เยาวชนบางส่วนจึงเกิดการหลงเชื่อได้ง่าย อีกส่วนคือการอยากรู้อยาก ลอง จากสิ่งที่พวกเขาเห็นจนชินตา และมองว่ากระท่อมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนไปแล้ว เพราะคนรอบ ข้างไม่ว่าจะเป็นพ่อ ลุง น้า หรืออา มีพฤติกรรมดื่มน้้ากระท่อมอยู่เป็นอาจิณ เมื่อถึงวัยหนึ่งของเขา เขาก็อยากที่ทดลองบ้าง แต่เมื่อลองไปหลายๆ ครั้ง แล้วก็เกิดพฤติกรรมการติดน้้ากระท่อมในที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเข้าไปสู่การรวมกลุ่มผู้ดื่มน้้ากระท่อมด้วยกัน จึงกลายเป็นลักษณะรวมหมู่ของผู้เสพ และขยายผลเป็นเครือข่ายของผู้ดื่มน้้ากระท่อมในที่สุด
อีกปัจจัยที่ท้าให้เยาวชนหลายคนหลงดื่มน้้ากระท่อมนั้น เนื่องจากพวกเขามองว่าน้้ากระท่อม ไม่ใช่สารเสพติดอันตราย เพราะสามารถหาง่ายได้ในชุมชนและผู้ดื่มบางคนไม่ได้มีผลต่อร่างกายที่เห็น ได้ชัดเจน เช่น ร่างกายไม่ทรุดโทรม หรือสุขภาพย้้าแย่ เท่ากับยาเสพติดประเภทอื่นๆ จึงให้พวกเขา เลือกที่ไม่ปฏิเสธเมื่อมีการชักชวนให้ดื่มน้้ากระท่อม
สิ่งที่สังคมมองข้ามอีกอย่างคือ กลุ่มผู้เสพ ณ ปัจจุบันมีอายุที่ค่อนข้างน้อยลงไปเรื่อยๆ จาก เมื่อก่อนจะพบการระบาดของน้้ากระท่อมในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ปัจจุบันผู้ที่เสพติดน้้า กระท่อมย้ายฐานไปยังกลุ่มนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย และเป็นกลุ่มที่ผู้ปกครองไม่ระแคะ ระคาย และไม่ได้สามารถรับรู้ได้ว่านักเรียนเหล่านี้ติดยาเสพติด เพราะการเสพกระท่อมจะไม่แสดง อาการได้เท่ากับยาเสพติดประเภทอื่นๆ จึงยากที่จะเป็นการผิดสังเกตของผู้ปกครอง ส่วนกลุ่ม มัธยมศึกษาที่เคยดื่มน้้ากระท่อมมาก่อนแล้ว จะเปลี่ยนไปทดลองยาเสพติดประเภทอื่นๆ แทน ซึ่งมี ความร้ายแรงกว่าน้้ากระท่อม ดังนั้นจะเห็นได้ว่าน้้ากระท่อมเป็นสารเสพติดเริ่มต้นที่น้าไปสู่การติดยา เสพติดประเภทอื่นๆ ซึ่งในกลุ่มผู้ปกครองที่มองว่าน้้ากระท่อมเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่น กลับมองข้ามไป
ว่าการเสพน้้ากระท่อมที่มีระยะการเสพเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อเยาวชนเหล่านี้โตขึ้น อาจจะน้าไปสู่ ปัญหาการติดสารเสพติดอื่นๆ ที่หนักกว่าเดิม
3.ปัจจัยทางด้านจิตวิทยาที่ท้าให้เยาวชนดื่มน ้ากระท่อม
เยาวชนส่วนหนึ่งที่ดื่มน้้ากระท่อม ให้เหตุผลว่า ความต้องการการยอมรับของกลุ่มเพื่อนท้าให้ เขาเลือกที่ดื่มน้้ากระท่อม จุดเพิ่มเริ่มต้นเกิดมาจากการชักชวนของเพื่อนๆ ในกลุ่ม หากเพื่อนในกลุ่ม ทั้งหมดดื่มน้้ากระท่อม แล้วเขาไม่ดื่มก็จะกลายเป็นคนนอกกลุ่ม ที่เพื่อนๆ ไม่ยอมรับ โดยส่วนใหญ่ กลุ่มเพื่อนที่ชักชวนจะมีอายุที่แก่กว่าตน ซึ่งเขามองว่าบุคคลเหล่านั้นมีความอาวุโส และเป็นพี่ๆ ที่มี ความน่าเชื่อถือมากกว่า อีกทั้งเขายังไม่เห็นหรือรับรู้ปัญหาของน้้ากระท่อมที่เกิดขึ้นในกลุ่มรุ่นพี่ เหล่านั้น จึงท้าให้เขาหลงเชื่ออย่างง่ายดาย ว่าการดื่มน้้ากระท่อมเป็นสิ่งที่ไม่อันตราย
อีกประเด็นคือ การดื่มน้้ากระท่อมช่วยลดอาการตึงเครียดภายในจิตใจได้ โดยเฉพาะใน เยาวชนที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว และปัญหาเกี่ยวกับการเรียน พบว่า น้้ากระท่อมเป็นทางออกที่ดี ที่สุดส้าหรับเขา เพราะเมื่อดื่มน้้ากระท่อมไปแล้ว จะมีความรู้สึกกระปรี้ประเปร่า สนุกสนาน ท้าให้ หัวเราะง่าย และลืมปัญหาไปได้ชั่วขณะ เสมือนมีโลกส่วนตัวเป็นของตนเอง ซึ่งความรู้สึกจะแตกต่าง จากการดื่มสุรา ที่เมื่อดื่มไปแล้วจะมีลักษณะปวดศรีษะมากกว่า และการดื่มสุรามักมีอาการข้างเคียง เช่น อาเจียน และปวดท้อง อย่างเห็นได้ชัด และเมื่อถามถึงความรู้สึกที่มีต่อผู้ปกครอง พบว่า เยาวชน ที่ดื่มน้้ากระท่อมไม่ได้มองว่า การดื่มน้้ากระท่อมของตนเป็นการสร้างปัญหาให้กับผู้ปกครองเลย เพราะเขายังสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ และไม่ได้ไปท้าร้ายใครหลังจากการดื่ม แม้ว่าจะมีอาการซึมไปบ้าง แต่เขากลับมองว่า เป็นผลดีที่ผู้ใหญ่สามารถตามตัวเขาได้ง่ายกว่าไปมั่วสุ่มท้าอย่างอื่น ซึ่งการดุด่าของ ผู้ปกครองนั้นไม่ได้ที่ท้าให้เขาอยากเลิกดื่มน้้ากระท่อม แต่ในทางกลับกันยิ่งมีการตักเตือนว่ากล่าว เขา จะมีพฤติกรรมลักลอบดื่มนักกว่าเดิม เหมือนต้องการเอาชนะ และพยายามท้าให้เห็นว่าการดื่มน้้า กระท่อมไม่ใช่เรื่องเสียหาย
แต่ส้าหรับเยาวชนที่เคยผ่านสถานบ้าบัดมาแล้ว กลับมองว่าถ้าย้อนเวลาได้ เขาจะไม่เข้าไป พัวพันกับสิ่งเหล่านี้อีก เนื่องจากชีวิตของเขาได้ผ่านจุดที่ยากล้าบากในชีวิตมาแล้ว โดยเฉพาะการเข้า ไปสู่ในสถานบ้าบัด ท้าให้เขาเข้าใจชีวิตเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าน้้ากระท่อมจะเป็นสารเสพติดที่ดูไม่ร้ายแรง แต่การเข้าไปสถานบ้าบัดของพวกเขา กลับท้าให้ถูกตีตราทางสังคมว่าเป็นผู้ติดยาไม่ต่างจากยาเสพติด ประเภทอื่นๆ และเมื่อเขากลับไปในชุมชน เพื่อนๆ หรือชาวบ้านที่ค่อนข้างมองเขาในแง่ลบ ท้าให้เขา รู้สึกไม่ดีและต้องการหลีกหนี บางครั้งพวกเขายอมรับว่า ภาวะเหล่านี้ท้าให้พวกเขามีความคิดที่จะ กลับไปดื่มน้้ากระท่อมอีกครั้ง เพื่อต้องการหลีกหนีสังคมที่มองเขาในด้านลบ สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา ทางด้านจิตใจของผู้เคยเสพน้้ากระท่อม ซึ่งทางโรงเรียนเองค่อนข้างให้ความส้าคัญ จะเห็นได้ว่ากลุ่ม นักเรียนที่ติดน้้ากระท่อม โอกาสที่จะกลับมาเรียนในระบบการศึกษาเดิมค่อนข้างมีน้อย เนื่องจาก พบว่า พวกเขามีความอับอายและไม่ต้องการอยู่ในสังคมที่ทุกคนต่างรับรู้ว่า เขาติดน้้ากระท่อมมาก่อน ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาของทางโรงเรียน คือ การเก็บความลับของนักเรียนให้มากที่สุด เพื่อให้เขากลับ เข้าสู่สังคมได้อีกครั้ง โดยที่ไม่ถูกรังเกียจจากเพื่อนๆ หรือคนรอบข้าง แต่กระนั้นก็เป็นการยาก เนื่องจากชุมชนที่พวกเขาอาศัยค่อนข้างแคบ เมื่อเกิดปัญหาน้้ากระท่อมกับเยาวชนคนใด พวกเขาก็ สามารถรู้กันเองแบบปากต่อปากกันอย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงจ้าเป็นต้องสร้างความเข้าใจให้กับนักเรียนคน
อื่นๆ ที่ไม่ได้ติดน้้ากระท่อมแทน เพื่อให้เขาเห็นว่ากลุ่มนักเรียนที่ติดน้้ากระท่อม หรือยาเพสติดอื่นๆ ไม่ได้เป็นผู้ร้ายทางสังคม และเปิดโอกาสให้กลับเข้ามาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้อีกครั้ง
4.ทิศทางการรณรงค์น ้ากระท่อมในพื นที่อ้าเภอเทพา
ในพื้นที่อ้าเภอเทพานั้น มีการรณรงค์เรื่องการเลิกน้้ากระท่อมอย่างต่อเนื่อง โดยหน่วยงาน ภาครัฐค่อนข้างให้ความส้าคัญ ซึ่งในพื้นที่อ้าเภอเทพา และอ้าเภอใกล้เคียง อย่างอ้าเภอจะนะ อ้าเภอ สะบ้าย้อย และอ้าเภอนาทวี จะมีศูนย์บ้าบัดยาเสพติดในเกือบทุกอ้าเภอ อีกทั้งในปี 2563 ในอ้าเภอ เทพามีการเปิดโครงการค่ายพักพิงเพื่อการบ้าบัด (CAMP 35) เพื่อเน้นการบ้าบัดรักษาด้วยระบบ สมัครใจ และหวังจะให้เยาวชนที่ติดยาเสพติดทุกประเภทปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่หวนกลับไปกระท้า ผิดซ้้า ด้วยการใช้มาตรการทางการแพทย์ พร้อมกับการด้าเนินการกดดัน ปราบปรามต่อผู้ค้ายาเสพ ติดรายย่อยและรายส้าคัญในชุมชน พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ให้มียาเสพติดแพร่ระบาด หรือ มีขายในพื้นที่ โดยคาดหวังว่าผู้ผ่านการบ้าบัดจะไม่กลับไปเสพซ้้า
ส้าหรับน้้ากระท่อมเป็นยาเสพติดที่มีโอกาสเลิกดื่มค่อนข้างง่ายกว่ายาเสพติดอื่นๆ แต่ปัญหา ที่พบส่วนใหญ่ มักเกิดกับเยาวชนบางส่วนมีการดื่มแบบเรื้อรังและมีผลกระทบในบั่นทอนการด้าเนิน ชีวิตมากกว่าสุขภาพ เพราะผลที่เกิดต่อสุขภาพจะเป็นไปในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น อีกทั้งการแพร่ ระบาดมักจะเกิดขึ้นกับเยาวชนที่อายุยังน้อย ดังนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบจึงควรเป็นโรงเรียนในระดับ ขั้นพื้นฐานที่มีหน้าที่ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่นักเรียน โดยใช้การสื่อสารในลักษณะการบอก กล่าวหน้าชั้นเรียน การบอกกล่าวหน้าเสาธง และในรายวิชาที่มีความเกี่ยวข้องในรายวิชาสุขศึกษา โดยผู้ที่ท้าหน้าที่ก้ากับดูแล ซึ่งปัจจุบันหลายโรงเรียนยกภาระดังกล่าวให้กับครูฝ่ายปกครอง ซึ่งใน ความคิดของนักเรียนกลับมองว่า ครูฝ่ายปกครองมีหน้าที่ปราบปรามมากกว่าการแก้ไข ปัญหาการดื่ม น้้ากระท่อมเมื่อไปถึงโรงเรียนแล้ว มักเป็นปัญหาที่ค่อนข้างบานปลายเสียส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่เยาวชนที่ ติดน้้ากระท่อมมักเลือกที่จะสื่อสารกับกลุ่มเพื่อนมากกว่า และพร้อมจะบอกความจริงว่าตนเองติดน้้า กระท่อมกับกลุ่มเพื่อนมากกว่าครู หรือผู้ปกครอง ซึ่งครูในโรงเรียนจะได้ข้อมูลเหล่านี้จากเพื่อนๆ ร่วม ชั้นของคนที่ดื่มน้้ากระท่อมอีกที
ส้าหรับในกลุ่มผู้ปกครองพบว่าในพื้นที่อ้าเภอเทพา ผู้ปกครองส่วนใหญ่ต้องการเข้ามามีส่วน ร่วมในการรณรงค์กับหน่วยงานภาครัฐ แต่ส่วนใหญ่ตนมักจะถูกยกให้เป็นผู้แก้ปัญหาเมื่อเกิด เหตุการณ์แล้ว ในส่วนของการร่วมกันป้องกันยังมีน้อยมาก อีกทั้งผู้ปกครองบางส่วนมองว่า ตนเอง จะต้องประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ไม่มีเวลาใส่ใจบุตรหลาน จึงฝากความหวังไว้ว่าโรงเรียน ให้เป็นผู้ดูแลบุตรหลานของตน โดยเฉพาะเมื่อบุตรไปศึกษาเล่าเรียน พวกเขาคิดว่าโรงเรียนสามารถ สื่อสารเรื่องดังกล่าวได้ดีกว่าเขา จนบางครั้งเกิดการปล่อยปละละเลยได้
5.สื่อรณรงค์เกี่ยวกับน ้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนพื นที่อ้าเภอเทพา
โดยปัจจุบันพบว่า เยาวชนในพื้นที่เริ่มสนใจใช้สื่อสังคมออนไลน์เพิ่มมากขึ้น โดยทุกคนมี โทรศัพท์มือถือ และเป็นสมาชิก Facebook กันทั้งหมด ในขณะเดียวกันกลุ่มครู และผู้ปกครองก็นิยม ใช้สื่อสังคมออนไลน์เช่นเดียวกัน แต่กลุ่มเยาวชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ กล่าวว่า พวกเขาไม่ต้องการเป็น เพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ กับคุณครูหรือผู้ปกครอง เนื่องจากเขารู้สึกเหมือนก้าลังถูกจับตามอง
ตลอดเวลา โดยเฉพาะหากท้าอะไรที่ไม่ดีในสื่อสังคมออนไลน์ จะกลายเป็นเป้าสายตาให้ถูกดุด่าว่า กล่าวได้ ในขณะเดียวกันหากกลุ่มสังคมออนไลน์ไหนที่มีเฉพาะกลุ่มพวกเขา พวกเขาจะรู้สึกว่าเป็น พื้นที่ส่วนตัวที่สามารถแสดงความคิดเห็นและกล้าแสดงออกได้มากขึ้น โดยส่วนใหญ่เยาวชนในพื้นที่ จะใช้เวลาในการดูอ่านข้อความ ดูคลิปวิดีโอ หรือหนังสั้น ที่พวกเขาสนใจ และเมื่อมีการชอบก็จะมี การบอกต่อไปยังเพื่อนๆ หรือกลุ่มอื่นๆ อีกครั้ง
ส้าหรับสื่อรณรงค์เกี่ยวกับน้้ากระท่อม ผู้ใหญ่และเยาวชนที่เคยเสพน้้ากระท่อมต่างให้ ความเห็นว่า พวกเขาเจอสื่อรณรงค์เกี่ยวกับน้้ากระท่อมค่อนข้างน้อยมาก โดยเฉพาะสื่อสังคม ออนไลน์ ส่วนใหญ่พวกเขาจะพบเห็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ทางโรงเรียนมาน้าเสนอ ซึ่งสามารถสร้างความ เข้าใจให้พวกเขาได้ แต่ไม่ได้รู้สึกจดจ้าสื่อเหล่านั้น หากมีสื่อที่มีความเป็นพวกเขาเกิดขึ้นจะท้าให้เขา สนใจมากขึ้น ซึ่งพื้นฐานของเด็กๆ ในพื้นที่เทพาต่างมีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับมือถือและสื่อ ออนไลน์เป็นอย่างดี แต่ไม่มีความรู้ในการผลิตสื่อหรือสร้างสรรค์เนื้อหาสื่อออนไลน์ ซึ่งหากมีการตั้ง กลุ่มรณรงค์ที่เป็นพวกเขาเป็นแกนน้า เขาจะรู้สึกยินดีและอยากเข้าร่วมกิจกรรมผลิตสื่อเหล่านั้น โดยเฉพาะการให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต และร่วมสร้างผลงานสื่อนั้นๆ
สรุปผลจากการประชุมกลุ่ม พบว่าการสร้างสื่อรณรงค์ในพื้นที่อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลาต้อง มาจากการสร้างสื่อบนพื้นฐานของความสามารถในการเข้าใจพฤติกรรม และค่านิยมของเยาวชนที่เสพ น้้ากระท่อมในพื้นที่ โดยปัจจุบันเยาวชนทุกคนทั้งผู้ที่เคยดื่มและไม่เคยดื่มน้้ากระท่อม ต่างรู้จักน้้า กระท่อมเป็นอย่างดี (การได้มา การผสม และการดื่ม) ทั้งนี้เมื่อถามถึงโทษของน้้ากระท่อมทุกคนต่าง ให้ความเห็นว่า ทุกคนต่างรู้ดีว่าโทษของน้้ากระท่อมคืออะไร เนื่องจากมีการสื่อสารผ่านระบบ การศึกษาในโรงเรียน และเคยเห็นตัวอย่างเยาวชนที่ได้รับผลเสียจากน้้ากระท่อมในชุมชนอยู่บ้าง แต่ เหตุผลที่ยังมีลักลอบเสพน้้ากระท่อมในพื้นที่อย่างต่อเนื่องอยู่นั้น น่าจะมาจากปัจจัยอื่นๆ มากกว่า เช่น ค่านิยมผิดๆ เกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อม และพฤติกรรมการต่อต้านผู้ใหญ่ของกลุ่มเยาวชนใน ชุมชน เป็นต้น ดังนั้นสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ในครั้งนี้ควรผลิตเนื้อหาที่เกี่ยวกับการสร้างแรงจูงใน เกี่ยวกับลดและเลิกในการดื่มน้้ากระท่อมมากที่สุด เนื่องจากการเสพน้้ากระท่อมของเยาวชนในพื้นที่ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะวนซ้้า โดยเน้นไปที่กลุ่มเยาวชนที่เคยผ่านการบ้าบัดมาแล้ว เพราะกลุ่มนี้มักมี พฤติกรรมกลับมาเสพซ้้า และกลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มที่ชักชวนให้เยาวชนกลุ่มใหม่หันมาดื่มน้้ากระท่อม เหมือนตน ส้าหรับเนื้อหาในสื่อ บุคคลที่ต้องเป็นผู้ส่งสารมากที่สุดได้แก่ กลุ่มเพื่อน รองลงมาเป็นกลุ่ม ผู้ปกครอง ใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสาร ซึ่งเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและเสมือนก้าลังคุยกับกลุ่มของเยาวชน จริงๆ เนื่องจากผ่านมา สื่อรณรงค์ส่วนใหญ่มักใช้การสื่อสารแบบ Top to down ที่เป็นภาษา ราชการ ซึ่งกลุ่มเยาวชนรู้สึกว่าสื่อนั้นก้าลังบอกหรือสั่งให้เขาท้าตาม ไม่ต่างจากการดุด่าของผู้ใหญ่ หลังจากที่รู้ว่าเขาก้าลังมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงในการดื่มน้้ากระท่อม ส่วนการเผยแพร่ ควรเผยแพร่ผ่าน ช่องทางออนไลน์ที่เยาวชนเปิดรับ เช่น เฟสบุ๊ค หรือ Youtube เป็นต้น โดยเน้นที่ปฏิกิริยาการมี ส่วนรวมของเยาวชนในที่พื้นที่ เช่น การโต้ตอบ บอกต่อ และส่งต่อ ไปยังกลุ่มเยาวชนคนอื่นๆ ในพื้นที่ ซึ่งเป้าหมายของการผลิตสื่อครั้งนี้ คือการน้าไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชนที่เคยดื่มน้้า กระท่อม และไม่เคยดื่มน้้ากระท่อม พร้อมทั้งขับเคลื่อนสังคมให้เกิดค่านิยมที่ดีเกี่ยวกับเลิกดื่มน้้า กระท่อม โดยมีเป้าหมายคือการลดการดื่มน้้ากระท่อมของเยาวชนในพื้นที่ (สามารถอธิบายได้ในภาพ ที่ 8)
เลียนแบบ และการ ากรู้อยากลอง
ทิศทางการรณรงค์และสื่อรณรงค์
ผู้ปกครองหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเยาวชนต้องร่วมมือกันในการรณรงค์ โดยให้เยาวชนเป็นผู้ผลิตสื่อ (ไม่ เอาแบบ Top down) เนื้อหาแบบเป็นกันเอง เสมือนคุยกันเอง
สถานการณ์น้้ากระท่อมของเยาวชนในพื้นที่อ้าเภอเทพา
หาง่าย น้าเข้าจากเพื่อนบ้าน คุ้นชิน และมองว่าเป็นเรื่องปกติ (ทั้งการได้มา ผสม และการดื่ม)
ปัจจัยทางสังคม การลอก
อย
เริ่มต้นเสพน้้ากระท่อม
ปัจจัยทางจิตวิทยา แก้ปัญหาปัญหาเกี่ยวกับ ครอบครัว และปัญหาเกี่ยวกบ การเรียน และสร้างสังคมเพื่อน
เสพน้้ากระท่อมแบบวนซ้้า
ภาพที่ 8 แผนภาพสรุปสถานการณ์ปัญหาการเสพน้้ากระท่อมและทิศทางการรณรงค์ในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
ส่วนที่ 3 การออกแบบและพัฒนาสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพ น้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ส้าหรับในส่วนนี้ผู้วิจัยได้น้าข้อมูลการ วิเคราะห์รูปแบบการสื่อสารและการแสดงอัตลักษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มน้้ากระท่อมบนสื่อสังคม ออนไลน์ประเภทเฟสบุ๊กในส่วนที่ 1 และข้อมูลส่วนที่ 2 การประชุมกลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อ ค้นหาแนวทางการสร้างสื่อรณรงค์ส้าหรับสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่ม เยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา มาบรรยายให้กลุ่มนักเรียนอาสาสมัครที่ร่วมกันผลิตสื่อรณรงค์ จากโรงเรียนเทพพิทยาภาณุมาศ จ้านวน 30 คน พร้อมจัดกิจกรรม Workshop ในหัวข้อ เรื่อง “การ ผลิตสื่อเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม” ในระหว่างวันที่ 26 -27 กันยายน 2563 ณ วัดบ้านปริก หมู่ 8 ต้าบลล้าไพล อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ซึ่งนักเรียนทั้งหมดได้ร่วมฟัง บรรยาย ระดมความคิดเห็นร่วมกันเพื่อหาทางออกในการสร้างสรรค์สื่อรณรงค์และร่วมกันออกแบบ และพัฒนาสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอ เทพา จังหวัดสงขลา โดยสามารแยกประเด็นจากการดังนี้
1.การระดมความคิดเห็นในการหาประเด็นของการออกแบบสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความ เข้าใจและลดปัญหาการเสพน ้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ซึ่งสามารถ แยกออกเป็นประเด็นที่ส้าคัญๆ ดังนี้
1.1.ประเด็นด้านเนื อหาสื่อ ส้าหรับเนื้อหาที่จะน้าไปเสนอภายในสื่อรณรงค์เพื่อ
สร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลานั้น กลุ่ม เยาวชนอาสาสมัครจ้านวน 30 คน ได้แสดงความคิดเห็นส้าหรับการสื่อสารผ่านสื่อเพื่อให้ง่ายต่อการ ท้าความเข้าใจให้กับกลุ่มเยาวชนพื้นที่ว่า ควรแบ่งกลุ่มเป้าหมายในการรณรงค์จะมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม เยาวชนที่ยังไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับน้้ากระท่อม แต่อาจจะมีแนวโน้มในการหลงเข้าไปดี่มน้้ากระท่อม กับกลุ่มเยาวชนที่เป็นผู้เสพน้้ากระท่อมอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้จะแก้ไขปัญหาการเลิกดื่มน้้ากระท่อมอย่างไร ซึ่งในกลุ่มนี้พบว่า การแก้ปัญหาของเยาวชนที่ติดน้้ากระท่อมนั้น ตัวเด็กเองไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ อยู่ตนเอง ต้องอาศัยกลุ่มเพื่อนและคนในชุมชน ที่จะท้าให้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ เหมือนเดิม ซึ่งเนื้อหาที่ท้าการสื่อสารแบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้
1.1.1 วิธีการป้องกันตนเองจากการติดน้้ากระท่อม โดยมีหลายวิธีดังนี้ การ ไม่หลงไปกับค้าชักจูงของเพื่อน การไม่ยุ่งกับคนที่ดื่มน้้ากระท่อม การเลือกคบเพื่อนที่ดี การไม่ เลียนแบบคนที่ติดน้้ากระท่อม การหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปในที่ที่มีคนดื่มน้้ากระท่อม ไม่ลองไม่เชื่อค้าพูด คนของคนที่ติดน ำกระท่อม เชื่อค้าฟังสั่งสอนของพ่อแม่ หากิจกรรมยามว่างไปเล่นกีฬา หรือออก ก้าลังกาย คิดนึกโทษของการติดน้้ากระท่อมโดยเฉพาะการติดคุกหรือสถานบ้าบัด
1.1.2 วิธีช่วยเหลือเพื่อนที่ติดน้้ากระท่อม มีดังนี้ การบอกให้เพื่อนไปบ้าบัด พูดหรือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นภายหลัง คอยชักจูงเพื่อนไปในทางที่ดี ไม่สนับสนุนเพื่อนี่กินน้้ากระท่อมอีก แนะน้าหรือห้ามเพื่อนหากเพื่อนเกิดการหลงผิดไปเสพน้้ากระท่อมอีก หากิจกรรมอย่างอื่นที่เป็นการ ท้าให้เลิกสนใจน้้ากระท่อมได้ การให้ความรู้เกี่ยวกับข้อเสียของน้้ากระท่อม พูดถึงอนาคตให้เขาเห็นว่า อนาคตเขาจะเป็นอย่างไร หากยังคงดื่มน้้ากระท่อมอยู่ แนะน้าให้ช่วยพ่อแม่ท้างานบ้านแทนการไปมั่ว สุมต้มน้้ากระท่อม ให้ค้าแนะน้าแก่คนในครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้องในการเลิกดื่มน้้ากระท่อม ให้ โอกาสคนที่เคยติดน้้ากระท่อม และไม่รังเกียจเขาเพื่อเขาต้องกลับมาใช้ชีวิตในสังคม
โดยวิธีการพูดหรือสื่อสารกับผู้ที่ติดน้้ากระท่อมต้องเป็นภาษาที่เป็นกันเอง และเข้าใจง่าย เช่น “อย่าติดตะ คิดถึงหน้าพ่อแม่” “ติดไปก็เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไหลเลย” “ไม่รักตัวเองเหอ” “ไม่เท่เลย นะ!” “ลูกสาวบ้านนู่น เค้าไม่ชอบเด็กกินท่อม” “เลิกตะ เดี่ยวคนอื่นมองว่าพ่อแม่ไม่ดี” “พ่อแม่เกิด มาให้เป็นคนดี อย่าไปมั่วกับของพันนั้นตะ!” เป็นต้น
ภาพที่ 9 แผนภาพความคิด (Mind Map) จากการระดมความคิดเกี่ยวกับประเด็นด้านเนื้อหาสื่อ
2.ประเด็นด้านรูปแบบสื่อ ปัจจุบันเยาวชนในพื้นที่อ้าเภอเทพาส่วนใหญ่นิยมเล่นสื่อ สังคมออนไลน์โดยเฉพาะ Facebook และ Youtube ซึ่งได้รับความนิยมกันหลายแพร่ โดยเยาวชน ส่วนใหญ่นิยมชมสื่อในลักษณะฟีดรูปภาพและคลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่น้าเสนอผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสื่อ
เหล่านี้จะต้องให้พวกเขาสามารถเข้ามีส่วนใหญ่ในการสร้างร่วมด้วย และมีพวกเขาเป็นองค์ประกอบ
ภายในสื่อ เช่น ใช้ตัวของเขาเป็นผู้สื่อสารภายในสื่อ มีเนื้อหาที่เขาสามารถสร้างขึ้นภายในสื่อ และ สามารถแชร์เนื้อหานั้นไปยังกลุ่มเพื่อนๆ หรือคนรู้จัก ทั้งนี้การเป็นสมาชิกภายในสื่อจะต้องให้เขามี ความรู้สึกเป็นเจ้าของสื่อด้วย จึงจะท้าให้พวกเรารู้สึกอยากเข้ามามีส่วนร่วมเพิ่มมากยิ่งขึ้น จากการ ระดมความคิดของอาสาสมัครจ้านวน 30 คน ได้ข้อสรุปว่าควรสร้างเป็น Fan Page ในสื่อ Facebook ซึ่งมีทั้งเนื้อหา รูปภาพ และคลิปวิดีโอ โดยมีกลุ่มเยาวชนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดร่วมกัน ได้ในฐานะสมาชิก และผู้สร้างเนื้อหาเกี่ยวกับการรณรงค์งดดื่มน้้ากระท่อมในแบบฉบับของเขาเอง โดยกลุ่มอาสาสมัครได้ร่วมกับสร้างกันออกแบบเนื้อหาภายในสื่อออกมาเป็น สื่อย่อยๆ 3 ประเภท ดังนี้ 1) ภาพ Feed ภาพนิ่ง จ้านวน 20 ภาพ 2) คลิปวิดีโอสั้นๆ จ้านวน 5 ตอน 3) หนังสั้น 1 เรื่อง
และ 4) มิวสิควิดีโอประกอบหนังสั้น จ้านวน 1 เพลง
2.การร่วมกันออกแบบสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน ้ากระท่อม ในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา โดยมีรายละเอียดดังนี้
สื่อที่กลุ่มเยาวชนอาสาสมัครได้ร่วมกันผลิตขึ้น ได้แก่ สื่อประเภท FanPage โดยใช้ค้าว่า “สี่คูณ รัก” ซึ่งเป็นค้าที่ไปสอดคล้องกับค้าว่า “สี่คูณร้อย” ที่เป็นส่วนผสมของน้้ากระท่อมที่เยาวชนรู้จักกันดี โดยค้าว่า “สี่คูณรัก” หมายถึง พันธมิตรทั้ง 4 ในชุมชนที่จะร่วมกันรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและ ลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ได้แก่ 1) กลุ่มนักเรียน 2) กลุ่มผู้ปกครอง 3) ผู้น้าในชุมชน/โรงเรียน และ 4) ศูนย์บ้าบัดยาเสพติด
ภาพที่ 10 หน้าจอเพจ “สี่คูณรัก” ที่จัดท้าโดยเยาวชนในพื้นที่อ้าเภอเทพา
ส้าหรับการออกแบบตราสัญลักษณ์ของเพจในช่วงแรกกลุ่มเยาวชนและทีมผู้วิจัยได้ร่วมออกแบบ ตราสัญลักษณ์ให้เป็นรูปการ์ตูนที่มีความน่ารัก เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น โดยใช้ตัวคิวบิคถือศรทั้ง 4 เพื่อ สื่อสารความหวังดีไปยังกลุ่มเยาวชนที่ติดน้้ากระท่อม แต่จากการประชุมกลุ่มของเยาวชนที่เป็น อาสาสมัครในการผลิตสื่อ พบว่าพวกเขาต้องการตราสัญลักษณ์ที่สื่อให้เห็นชัดเจนว่าเป็นการรณรงค์ น้้ากระท่อมมากกว่า และสามารถสื่อสารให้เข้าใจง่ายว่าก้าลังพูดถึงโครงการอะไร จากการพัฒนา ร่วมกันจึงได้รูปตราสัญลักษณ์ที่เป็นมือท้าสัญลักษณ์รูปหัวใจวางบนหม้อที่คว่้าไว้ ซึ่งเป็นการบ่งบอก ถึงการเป็นรูปมือร่วมใจในการลด ละ และเลิกการต้มน้้ากระท่อมที่เป็นการเข้าร่วมกันได้ดีของผู้เสพ น้้ากระท่อม
ภาพที่ 11 เปรียบเทียบรูปตราสัญลักษณ์ของเพจ “สี่คูณรัก” ก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลง
ภายในเพจยังประกอบไปด้วยเนื้อหาของสื่อที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของกลุ่มเยาวชนอาสาสมัคร ดังต่อไปนี้
1.สื่อภาพนิ่ง โดยน้าเอาเนื้อหาที่ได้จากการประชุมกลุ่ม มาออกแบบเป็นภาพนิ่งง่ายๆ ที่พวกเขา สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ด้วยกันเอง โดยใช้โปรแกรม CANVA ที่กลุ่มเยาวชนสามารถ ผลิตได้ง่ายด้วยมือถือ ซึ่งทางทีมผู้วิจัยได้มีการอบรมการใช้เครื่องมือในการผลิตสื่อให้กับกลุ่มเยาวชน ก่อนที่จะท้าการผลิต ผลปรากฏว่าเยาวชนทุกคนสามารถผลิตสื่อภาพนิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมี ความหลากหลายทางด้านความคิด โดยภาพที่ผลิตทั้งหมด จ้านวน 20 ภาพ
ภาพที่ 12 ตัวอย่างสื่อภาพนิ่งภายในเพจสี่คูณรักของกลุ่มอาสาสมัคร
2.สื่อคลิปวิดีโอ ในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยได้มีการอบรมการใช้เครื่องมือการเล่าเรื่องผ่านสื่อออนไลน์ VIVA Video โดยให้กลุ่มอาสาสมัครแบ่งกลุ่มเพื่อท้าการผลิตคลิปวิดีโอสั้นๆ จากการน้าเนื้อหาที่ได้ จากการประชุมการสร้างสรรค์วิดีโอ โดยมีทีมพี่เลี้ยงจากมหาวิทยาลัยทักษิณ สอนให้ค้าแนะน้า
ทางด้านเทคนิคในการผลิต และอ้านวยความสะดวกให้สามารถผลิตออกได้มาแผนที่วางไว้ โดยคลิปที่ ผลิตทั้งหมด 5 คลิป
ภาพที่ 13 กระบวนการท้าคลิปวิดีโอภายในเพจสี่คูณรักของกลุ่มอาสาสมัคร
3.หนังสั้นจ้านวน 1 เรื่อง โดยน้าเสนอผ่าน Facebook และ Youtube ส้าหรับการผลิตหนัง สั้นเกิดการความตั้งใจของกลุ่มอาสมัครที่เข้าร่วมกลุ่มร่วมกับชุมชนบ้านปริก โดยใช้นักแสดงที่เป็น ชาวบ้านและเยาวชนทั้งหมดที่อยู่ในชุมชน ยกเว้นนักแสดงที่เป็นผู้เสพน้้ากระท่อม ทางผู้วิจัยเกรงว่า จะเป็นปัญหาให้กับตัวของเยาวชนเอง จึงใช้นักแสดงจากภายนอกมาน้าแสดงแทน โดยให้นักแสดงท้า ความคุ้นเคยกับชาวบ้านและกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ เพื่อท้าความเข้าใจบทและสภาพท้องถิ่นของคนใน ชุมชน เนื่องจากต้องแสดงร่วมกับคนในชุมชนตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งจากการประชุมกลุ่มของอาสาสมัครที่ ร่วมกันผลิตสื่อทั้งหมดได้ลงความเห็นว่า จะตั้งขื่อเรื่องหนังสั้นที่ว่า “คิด เลิก ท่อม ” โดยมีโครงเรื่อง (Plot) การน้าเอาเสี้ยวหนึ่งของชีวิต (Slice of Life) เยาวชนคนหนึ่งเคยติดกระท่อมในชุมชน และมี พฤติกรรมการดื่มน้้ากระท่อม แบบวนซ้้าหลังจากผ่านการบ้าบัด แต่ภายหลังเขาได้คิดได้ และเลิกดื่ม โดยได้รับก้าลังใจจากกลุ่มผู้ใหญ่ในชุมชนของช่วยเหลือ ซึ่งหนังสั้นดังกล่าวใช้แนวการเล่าเรื่องแบบ ฮอลลีวูดคลาสิค (Classic Hollywood Narrative) มีความยาว 10 นาที และมีเรื่องย่อ (Synopsis) คือ หนุ่มน้อยอายุ 14 ปี ที่ชีวิตเคยหลงผิดไปกับของมึนเมาอย่างน้้ากระท่อมเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จนต้องถูก ส่งตัวไปบ้าบัด เมื่อกลับมาเขากลับมาเจอกับสภาพแวดล้อม สังคมและเพื่อนกลุ่มเดิม ซึ่งทุกคนคิดว่า การดื่มน้้ากระท่อมมันไม่ได้ส่งผลเสียอย่างใด แต่ ณ หลังจากวิกฤติทางเศรษฐกิจและสังคม ท้าให้เขา เป็นบุคคลเดียวจะท้าให้ครอบครัวผ่านวิกฤตนี้ได้ ซึ่งวิธีที่จะไปให้ถึงจุดนั้นได้คือการเลิกดื่มน้้ากระท่อม โดยเด็ดขาด และส่งมอบความแนวคิดการด้าเนินชีวิตนี้กลับไปสู่ชุมชนเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เยาวชนคน อื่นๆ
พล็อตเรื่องโดยรวม
ยุติเรื่องรำว สังคม ครอบครัว และ
ศาสนาท้าให้สามารถหาทางออกได
้ บุคลิกของตัวละคร
หนุ่มนักเรียนตอนปลาย ทีมีความเข้าใจผิดๆ
เริ่มเรื่อง
การหลงการดื่ม การเสพน้้า
คลี่คลำย การเลิกน้้ากระท่อม เพื่อ
พัฒนำเ👉ตุกำรณ์ ภำวะวิกฤต เข้ามาเป็นเสาหลักของครอบครัว
เกี่ยวกบการดื่มน้้ากระท่อมตามเพื่อน มีความ
เป็นตัวของตัวเองสูง
น้้ากระท่อม
ของเยาวชน
กระท่อมแบบวน
ซ้้า
ปัญหาครอบครัว
จากภาวะ ยางพารา
มุมภำพและกำรตัดต่อ เน้นการน้าเสนอ
ที่ดูทันสมัย ไม่ดราม่ามาก มีมุมภาพที่ วัยรุ่นชอบ
คิดเลิกท่อม
สถำนที่ถ่ำยท้ำ ชุมชนอา้ เภอ
เทพา จังหวัดสงขลา
บทสนทนำ
ภาษาใต้ (ส้าเนียงสะกอม)
เสียงประกอบ ดนตรที ันสมัย เนน้ ความ สไตล์เพื่อชีวิตภาคใต้ และเสียงบรรยายท
ชวนฟังเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
ภาพที่ 14 แผนที่ความคิด (Mind Map) ของภาพยนตร์สั้นเรื่อง คิดเลิกท่อม
จากแผนภาพ 14 สามารถแจกแจงรายละเอียดให้เห็นว่า หนังสั้นเรื่องคิดเลิกท่อม นั้น พล็อตเรื่องโดยรวมเริ่มจากการหลงการดื่มน้้ากระท่อมของเยาวชนคนหนึ่ง พัฒนาเหตุการณ์ การเสพ น้้ากระท่อมแบบวนซ้้า ภาวะวิกฤต คือปัญหาครอบครัวจากภาวะยางพารา คลี่คลาย คือการเลิกน้้า กระท่อม เพื่อเข้ามาเป็นเสาหลักของครอบครัว ยุติเรื่องราว โดย สังคม ครอบครัว และศาสนาท้าให้ สามารถหาทางออกได้ ส้าหรับมุมภาพและการตัดต่อ เน้นการน้าเสนอที่ดูทันสมัย ไม่ดราม่ามาก มี มุมภาพที่วัยรุ่นชอบ บุคลิกของตัวละคร หนุ่มนักเรียนตอนปลาย ทีมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการดื่ม น้้ากระท่อมตามเพื่อน มีความเป็นตัวของตัวเองสูง บทสนทนาภาษาใต้ (ส้าเนียงสะกอม) สถานที่ถ่าย ท้า คือ ชุมชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา เสียงประกอบ ดนตรีทันสมัย เน้นความสไตล์เพื่อชีวิต ภาคใต้ และเสียงบรรยายที่ชวนฟังเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย โดยสื่อหนังสั้นได้น้าเสนอผ่านเพจและ Youtube ผ่านทางช่องทาง xxxxx://xxxxx.xx/0xXX0Xx-xxx
ภาพที่ 15 ภาพบางส่วนจากสื่อหนังสั้นภายในเพจสี่คูณรักของกลุ่มอาสาสมัคร
4. สื่อมิวสิควิดีโอ ในการระดมความคิดของกลุ่มเยาวชนอาสาสมัครจ้านวน 30 คน พบว่าสื่อ ที่กลุ่มเยาวชนในพื้นที่ ชอบการเปิดรับชมสื่อประเภทมิวสิควิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเพลง ที่มีเนื้อหาท้านองเป็นเพลงเพื่อชีวิตสไตล์ใต้ จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษในกลุ่มของเยาวชนพื้นถิ่น
ดังนั้นจากการประชุมกลุ่มของเยาวชนอาสาสมัคร จึงมีความคิดเห็นร่วมกันว่าควรผลิตสื่อมิวสิควิดีโอ ขึ้นมาจ้านวน หนึ่งเพลง โดยให้เอาเรื่องราวจากหนังสั้นเป็นถอดเป็นค้าร้องที่เข้ากับเหตุการณ์ภายใน เรื่อง ซึ่งในการผลิตเนื้อร้องผู้วิจัยได้รับความร่วมมือจากว่าที่ ร.ต.คุณากรณ์ โรจนรัตน์ ศิลปินและครู สอนดนตรีเป็นผู้เรียบร้องเนื้อหาและท้านองให้ โดยใช้ชื่อเพลงว่า “ไม่ยอมแพ้” ขั้นตอนของการถ่าย ท้ามิวสิควิดีโอนั้น ผู้วิจัยเลือกถ่ายท้าเฉพาะฉากร้องเพลงในพื้นที่อ้าเภอเทพา โดยน้ามาสลับกับภาพ จากหนังสั้นเรื่อง “คิดเลิกท่อม” โดยมีเนื้อหาเพลง ดังนี้
เพลงไม่ยอมแพ้
เดินมาจนไกล แต่ยังไม่เห็นจุดหมายชักที ก้าลังใจที่มี เริ่มท้อแท้ และสิ้นหวัง
แต่มีเพียงหนึ่งเดียว ที่ยังท้าให้มีพลัง ก็ความหวังจากครอบครัว
ก็วันนี้ ได้มีบางสิ่งที่ ที่มาท้าร้ายจิตใจ ฉันนั้นก็กังวล ว่าจะผ่านมันไปไม่ได้ สู้ไป ก็อย่าไปถอย
แม้ว่าฉันต้องเหนื่อยแค่ไหน อ่อนล้า เท่าไหร่ ไม่ถอย ชีวิต ต้องพบกับสิ่งที่รอคอย อย่าไปถอย ยอมแพ้กับสิ่งใด
อดีตจะเป็นอย่างไร อย่าใส่ใจมันผ่านไปแล้ว ก็สิ่งที่ควรท้า ก็ปัจจุบันที่เป็นอยู่ อาจจะมีหลายอย่างที่เรายังไม่เคยรู้ จะขอลองดูสู้ต่อไป
แม้ว่าฉันต้องเหนื่อยแค่ไหน อ่อนล้า เท่าไหร่ ไม่ถอย ชีวิต ต้องพบกับสิ่งที่รอคอย อย่าไปถอย ยอมแพ้กับสิ่งใด
อดีตจะเป็นอย่างไร อย่าใส่ใจมันผ่านไปแล้ว ก็สิ่งที่ควรท้า ก็ปัจจุบันที่เป็นอยู่ อาจจะมีหลายอย่างที่เรายังไม่เคยรู้ จะขอลองดูสู้ต่อไป
@@@@
ภาพที่ 16 ภาพบางส่วนจากสื่อมิวสิควิดีโอภายในเพจสี่คูณรักของกลุ่มอาสาสมัคร
ที่มา : xxxxx://xxx.xxxxxxx.xxx/xxxxx?xxxXxxXX00xxX
หลังจากที่ผลิตสื่อเสร็จสมบูรณ์ผู้วิจัยได้มีการพัฒนาสื่อโดยน้าไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเทศ ศาสตร์ จ้านวน 3 ท่าน ได้พิจารณาการประเมินคุณภาพผลงาน 3 ท่าน คือ
1.อาจารย์ ดร. อัตนันท์ เตโชพิศาลวงศ์ สาขานิเทศศาสตร์ ส้านักวิชาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
2.อาจารย์ ดร.กวิทธิ์ ศรีสัมฤทธิ์ ส้านักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
3.อาจารย์ณัฏฐพงษ์ สายพิณ สาขาวิชานิเทศศาสตร์บูรณาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
โดยใช้แบบสอบถามซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ 1) ข้อมูลเชิงปริมาณ มาตราส่วนประมาณ ค่า (Rating Scale) ความสอดคล้องคุณภาพของสื่อ และ 2) ข้อมูลเชิงคุณภาพ ค้าบรรยาย ข้อเสนอแนะ สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์การประเมินคุณภาพของสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
รายการประเมิน | ค่าเฉลี่ย ( Χ ) | S.D. | แปลค่า |
สื่อเพจสี่คูณรัก | |||
1. ความสวยงาม ในการออกแบบ | 4.33 | .577 | ไม่แก้ไข |
2. เนื้อหามีความเหมาะสมในการน้าเสนอ | 5.00 | .000 | ไม่แก้ไข |
3. ภาพที่ใช้ความสอดคล้องกับเนื้อหา | 4.00 | 1.00 | ไม่แก้ไข |
4. ภาษาที่ใช้เหมาะสม สื่อความหมายเข้าใจง่าย | 5.00 | .000 | ไม่แก้ไข |
5. สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน | 4.33 | .577 | ไม่แก้ไข |
6. มีความเหมาะสมกับธรรมชาติของสื่อ | 4.33 | .577 | ไม่แก้ไข |
7.เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย | 4.33 | .577 | ไม่แก้ไข |
รวม | 4.47 | 0.472 | ไม่แก้ไข |
สื่อหนังสั้น | |||
1. เนื้อหามีความเหมาะสมในการน้าเสนอ | 5.00 | .000 | ไม่แก้ไข |
2. การล้าดับเนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ | 4.00 | .000 | ไม่แก้ไข |
3. ระยะเวลาในการน้าเสนอ | 4.66 | .577 | ไม่แก้ไข |
4. ภาษาที่ใช้เหมาะสม สื่อความหมายเข้าใจง่าย | 4.66 | .577 | ไม่แก้ไข |
5. สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน | 4.00 | .000 | ไม่แก้ไข |
6. มีความเหมาะสมกับธรรมชาติของสื่อ | 5.00 | .000 | ไม่แก้ไข |
7.เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย | 4.66 | .577 | ไม่แก้ไข |
รวม | 4.56 | .247 | ไม่แก้ไข |
สื่อมิวสิควิดีโอ | |||
1. เนื้อร้องมีความเหมาะสมในการน้าเสนอ | 5.00 | .000 | ไม่แก้ไข |
2. การล้าดับเนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ | 4.00 | .000 | ไม่แก้ไข |
3. ระยะเวลาในการน้าเสนอ | 4.66 | .577 | ไม่แก้ไข |
4. ภาษาที่ใช้เหมาะสม สื่อความหมายเข้าใจง่าย | 4.66 | .577 | ไม่แก้ไข |
รวม | 4.58 | 0.288 | ไม่แก้ไข |
ในภาพรวม | 4.53 | 0.335 | ไม่แก้ไข |
จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์การประเมินคุณภาพคุณภาพของสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความ เข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา มีคุณภาพระดับดี ( Χ =4.53) พิจารณารายสื่อ พบว่าสื่อสื่อมิวสิควิดีโอมีคุณภาพระดับดีที่สุด ( Χ =4.58) เมื่อพิจารณา เป็นรายข้อพบว่าเนื้อร้องที่ใช้เหมาะสมที่สุด ( Χ =5.00) รองลงมาคือสื่อหนังสั้น มีคุณภาพระดับดี ( Χ =4.56) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าเนื้อหามีความเหมาะสมในการน้าเสนอและมีความ เหมาะสมกับธรรมชาติของสื่อ มีคะแนนมากที่สุด ( Χ =5.00) และสื่อเพจสี่คูณรักมีคุณภาพระดับดี ( Χ =4.47) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าเนื้อหามีความเหมาะสมในการน้าเสนอ ภาษาที่ใช้ เหมาะสม สื่อความหมายเข้าใจง่ายมีคะแนนมากที่สุด ( Χ =5.00) ซึ่งมีพิจารณาค่าเฉลี่ยของทุก องค์ประกอบพบว่าไม่มีองค์ประกอบใดมีสื่อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยกว่า 3.50 และไม่มีส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานใดที่มีค่าเกิน 1 แต่ส้าหรับค้าแนะเชิงคุณภาพผู้เชี่ยวชาญให้ปรับรูปแบบของสื่อหนังสั้นใน ขั้นตอนของการน้าเสนอ และตัดต่อให้ดูเข้าใจง่ายและเพิ่มค้าบรรยาย ส่วนในสื่อมิวสิควิดีโอให้เพิ่ม เนื้อร้องเพื่อสามารถสื่อถึงความเข้าใจเช่นกัน
โดยข้อเสนอทั้งหมดได้ถูกน้าปรับปรุงและพัฒนาสื่อให้มีความสมบูรณ์อีกครั้ง เมื่อผู้วิจัยแก้ไข
สื่อทั้งหมดให้สมบูรณ์แล้ว จึงน้าสื่อทั้งหมดเผยแพร่สู่สาธารณะ และมีการไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง กับนักเรียนในพื้นที่อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ต่อไป
ส่วนที่ 4 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมของกลุ่มตัวอย่างเยาวชนในอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา หลังจากที่ได้รับการ แก้ไขคุณภาพสื่อกับค้าแนะน้าของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว ผู้วิจัยได้น้าสื่อทั้งหมดไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ใน 5 โรงเรียนได้แก่ โรงเรียนเทพพิทยาภาณุมาศ โรงเรียนเทพา โรงเรียนบ้านพระพุทธ โรงเรียนวัด นิคมประสาทมิตรภาพที่ 149 และโรงเรียนชุมชนนิคมสร้างตนเองเทพา คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจ้านวน 400 คน
โดยใช้แบบสอบถามซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ค้าถามเกี่ยวกับลักษณะประชากร ส่วน ที่ 2 ค้าถามเกี่ยวกับความพึงพอใจเกี่ยวกับ Fanpage “สี่คูณรัก” และการรับรู้ความเข้าใจการดื่มน้้า กระท่อมหลังจากชมเพจ “สี่คูณรัก” และหนังสั้น “คิด เลิก ท่อม”ซึ่งสามารถสรุปผลได้ดังนี้
ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะประชากรของกลุ่มตัวอย่าง
ข้อมูลทั่วไป | จ้านวน | ร้อยละ | |
1. เพศ | |||
ชาย | 176 | 44.0 | |
หญิง | 224 | 56.0 | |
รวม | 400 | 100.0 | |
2. สถาบันการศึกษา | |||
โรงเรียนเทพพิทยาภาณุมาศ | 80 | 20.0 | |
โรงเรียนเทพา | 80 | 20.0 | |
โรงเรียนวัดนิคมประสาทมิตรภาพที่ 149 | 80 | 20.0 | |
โรงเรียนชุมชนนิคมสร้างตนเองเทพา | 80 | 20.0 | |
โรงเรียนบ้านพระพุทธ | 80 | 20.0 | |
รวม | 400 | 100.0 | |
3. ระดับผลการศึกษา | |||
ต่้ากว่า 2.00 | 35 | 8.8 | |
2.01-2.75 | 215 | 53.8 | |
2.76-3.25 | 88 | 22.0 | |
3.26-4.00 | 62 | 15.5 | |
รวม | 400 | 100 | |
4.สถานภาพของครอบครัว อยู่กับพ่อแม่ อยู่กับพ่อหรือแม่อย่างเดียว อยู่กับญาติ (ที่ใช่พ่อแม่) | รวม | 293 | 73.0 |
77 | 19.3 | ||
30 | 7.5 | ||
400 | 100.0 |
5.เคยประวัติเกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมหรือไม่ | ||
เคยดื่ม ไม่เคยดื่ม | 23 377 | 5.8 94.3 |
รวม | 400 | 100 |
จากตารางที่ 3 กลุ่มตัวอย่างมีจ้านวน 400 คน แบ่งเป็นหญิงจ้านวน 224 คน (ร้อยละ 56) ชาย จ้านวน 176 คน (ร้อยละ 44) ศึกษาในโรงเรียนเทพพิทยาภาณุมาศ โรงเรียนเทพา โรงเรียนวัดนิคม ประสาทมิตรภาพที่ 149 โรงเรียนชุมชนนิคมสร้างตนเองเทพา และโรงเรียนบ้านพระพุทธ อย่างละ 80 คน (ร้อยละ 20) มีระดับผลการศึกษา เกรดเฉลี่ยรวม 2.01-2.75 มากที่สุดจ้านวน 215 คน (ร้อย
ละ 53.8) รองลงมาคือ เกรดเฉลี่ยรวม 2.76-3.25 จ้านวน 88 คน (ร้อยละ 22) เกรดเฉลี่ยรวม
3.26-4.00 จ้านวน 62 คน (ร้อยละ 15.5) และเกรดเฉลี่ยรวมต่้ากว่า 2.00 จ้านวน 35 คน (ร้อยละ
8.8) สถานภาพของครอบครัว อยู่กับพ่อแม่มากที่สุด จ้านวน 293 คน (ร้อยละ 73) รองลงมาคืออยู่ กับพ่อหรือแม่อย่างเดียวจ้านวน 77 คน (ร้อยละ 19.3) และอยู่กับญาติ (ที่ใช่พ่อแม่) จ้านวน30 คน (ร้อยละ 7.5) มีประวัติเกี่ยวกับการไม่เคยดื่มน้้ากระท่อมจ้านวน 377 คน (ร้อยละ 94.3) และเคยดื่ม น้้ากระท่อมจ้านวน 23 คน (ร้อยละ 5.8)
ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจเกี่ยวกับสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้า กระท่อมของกลุ่มนักเรียนตัวอย่าง
ตารางที่ 4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความพึงพอใจเกี่ยวกับสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจ และลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม
องค์ประกอบของ Fanpage สี่คูณรัก | ค่าเฉลี่ย | S.D. | การแปล ความหมาย |
1. ชื่อเพจ “สี่คูณรัก” | 4.22 | .674 | พอใจมาก |
2.กราฟิกที่ใช้ในเพจ | 4.16 | .802 | พอใจมาก |
3. การสร้างประเด็น | 4.20 | .845 | พอใจมาก |
4. ภาพ Feed ในเพจ | 4.07 | .816 | พอใจมาก |
5.คลิปวิดีโอ | 4.22 | .834 | พอใจมาก |
6.หนังสั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม” | 4.36 | .770 | พอใจมาก |
7.ข้อคิดที่ได้จากหนังสั้น เรื่อง คิดเลิกท่อม | 4.43 | .715 | พอใจมาก |
8.มิวสิควิดีโอเพลง | 4.35 | .703 | พอใจมาก |
9.การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเพจ | 4.08 | .716 | พอใจมาก |
10.เป็นผู้แขร์เนื้อหาหน้า Page ไปยัง Facebook | 3.90 | .821 | พอใจมาก |
11.ได้สิทธิ์และเห็นคอมเม้นท์ของท่านในเพจ | 4.14 | .794 | พอใจมาก |
รวม | 4.19 | .794 | พอใจมาก |
จากตารางที่ 4 ความพึงพอใจเกี่ยวกับสื่อรณรงค์การรับรู้เกี่ยวกับความเข้าใจการดื่มน้้า กระท่อมของกลุ่มนักเรียนตัวอย่างในระดับพอใจมาก ( Χ =4.19) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อคิด ที่ได้จากหนังสั้น เรื่อง คิดเลิกท่อมมีความพึงพอใจระดับมากมีค่าเฉลี่ย ( Χ =4.43) รองลงมาคือหนัง สั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม” มีค่าเฉลี่ย ( Χ =4.36 ) มิวสิควิดีโอเพลง มีค่าเฉลี่ย ( Χ =4.35) ส่วนเป็นผู้ แชร์เนื้อหาหน้า Page ไปยัง Facebook มีความพึงพอใจระดับน้อยที่สุด มีค่าเฉลี่ย ( Χ =3.90 )
ส้าหรับการรับรู้เกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมหลังจากชมสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลด ปัญหาการเสพน้้ากระท่อม
ตารางที่ 5 การรับรู้เกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมหลังจากชมสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลด ปัญหาการเสพน้้ากระท่อม
ความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม | ค่าเฉลี่ย | S.D. | แปลผล |
1.การดื่มน้้ากระท่อมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย | 4.14 | .923 | มาก |
2.การดื่มกระท่อมไม่ได้ท้าให้ดูเท่ห์หรือมีเสน่ห์ | 4.20 | .910 | มาก |
3.การดื่มกระท่อมอาจท้าให้เสียชีวิตได้ 4.การดื่มน้้ากระท่อมเป็นการเสพติดอย่างหนึ่ง | 3.74 4.22 | .940 .837 | มาก มาก |
5.น้้ากระท่อมเป็นผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว 6.เพื่อนที่ดื่มกระท่อมอาจเป็นสาเหตุในการเริ่มดื่ม กระท่อม 7.คนรอบข้างได้รับผลเสียจากการดื่มน้้ากระท่อม โดยเฉพาะครอบครัว 8.หากท่านดื่มน้้ากระท่อมอยู่ อยากจะเลิกทันที | 3.83 3.39 3.74 3.72 | 1.038 1.392 1.336 1.419 | มาก ปานกลาง มาก มาก |
รวม | 3.87 | 1.099 | มาก |
จากตารางที่ 5 สามารถสรุปการรับรู้เกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมของหลังชมสื่ออยู่ในระดับ มาก ( Χ = 3.87) โดยมีการรับรู้ว่าการดื่มน้้ากระท่อมเป็นการเสพติดอย่างหนึ่งมากที่สุด ( Χ = 4.22) รองลงมาคือการดื่มกระท่อมไม่ได้ท้าให้ดูเท่ห์หรือมีเสน่ห์ ( Χ = 4.20) การดื่มน้้ากระท่อมเป็นสิ่งผิด กฎหมาย ( Χ = 4.14) ส่วนการรับรู้ว่าเพื่อนที่ดื่มกระท่อมอาจเป็นสาเหตุในการเริ่มดื่มกระท่อม เกิดขึ้นน้อยที่สุด ( Χ = 3.39)
ตารางที่ 6 ค่าความสัมพันธ์ของสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม หลังจากชมสื่อของกลุ่มตัวอย่าง
องค์ประกอบของ Fanpage สี่คูณรัก | ค่า ความสัมพันธ์ | Sig. | ค่า ความสัมพันธ์ |
1.ชื่อเพจ “สี่คูณรัก” | .041 | .413 | ต่้ามาก |
2.กราฟิกที่ใช้ในเพจ | -.016 | .742 | ต่้ามาก |
3.การสร้างประเด็น | .103 | .040* | ต่้ามาก |
4.ภาพ Feed ในเพจ | -.014 | .787 | ต่้ามาก |
5.คลิปวิดีโอ | -.034 | .498 | ต่้ามาก |
6.หนังสั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม” 7.ข้อคิดที่ได้จากหนังสั้น เรื่อง คิดเลิกท่อม | .029 .062 | .559 .218 | ต่้ามาก ต่้ามาก |
8.มิวสิควิดีโอเพลง | .082 | .100 | ต่้ามาก |
9.การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเพจ 10.เป็นผู้แชร์เนื้อหาหน้า Page ไปยัง Facebook | .072 -.030 | .151 .545 | ต่้ามาก ต่้ามาก |
11.ได้สิทธิ์และเห็นคอมเม้นท์ของท่านในเพจ | .148 | .003** | ต่้ามาก |
รวม | 0.040 | .036* | ต่้ามาก |
**นัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ .01
*นัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ .05
จากตารางที่ 6 ผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของของสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลด ปัญหาการเสพน้้ากระท่อมความเข้าใจการดื่มน้้ากระท่อมกับการรับรู้หลังจากชมสื่อของกลุ่มตัวอย่างมี นัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็นบวก และเป็นไปในทิศทางเดียวกันใน ระดับต่้ามาก (r =0.040) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ได้สิทธิ์และเห็นคอมเม้นท์ของท่านในเพจมี ความสัมพันธ์อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติกับกลุ่มตัวอย่างมากที่สุด (r =0.148) รองลงมาคือการสร้าง ประเด็น (r =0.103) ส่วนภาพ Feed ในเพจมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติกับกลุ่มตัวอย่าง น้อยที่สุด (r =0.014)
ตารางที่ 7 การทดสอบสมติฐานโดยตรวจสอบค่าความสัมพันธ์ของสื่อ Fanpage กับความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน
องค์ประกอบของ Fanpage สี่คูณรัก | b | β | t | sig | Collinearity Statistics | |
Tolerance | VIF | |||||
1.ชื่อเพจ “สี่คูณรัก” | 1.513 | .164 | 2.071 | .039* | .318 | 2.652 |
2.กราฟิกที่ใช้ในเพจ | -.605 | -.078 | -1.196 | .232 | .563 | 1.775 |
3.การสร้างประเด็น | 1.200 | .163 | 2.617 | .009** | .616 | 1.622 |
4.ภาพ Feed ในเพจ | -.953 | -.125 | -1.864 | .063 | .531 | 1.884 |
5.คลิปวิดีโอ | -.868 | -.116 | -1.864 | .063 | .614 | 1.629 |
6.หนังสั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม” | .122 | .015 | .204 | .839 | .437 | 2.287 |
7.ข้อคิดที่ได้จากหนังสั้น เรื่อง คิดเลิกท่อม | .192 | .022 | .290 | .772 | .413 | 2.419 |
8.มิวสิควิดีโอ เพลง | -.120 | -.014 | -.169 | .866 | .373 | 2.681 |
9.การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเพจ | .229 | .026 | .315 | .753 | .342 | 2.981 |
10.เป็นผู้แขร์เนื้อหาหน้า Page ไปยัง | -1.362 | -.180 | -2.202 | .028* | .358 | 2.790 |
.556 | 1.797 | |||||
11.ได้สิทธิ์และเห็นคอมเม้นท์ของท่านในเพจ | 1.727 | .221 | 3.364 | .001** | ||
ค่าคงที่ | 25.992 | 10.451 | .000** | |||
* นัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 **นัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 |
R Sauare = .071 Adjuste R Square = .045
จากตารางที่ 7 พบว่าค่าสิถิติ t ของความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน แยกตามองค์ประกอบ ดังนี้ ชื่อเพจ “สู่คูณรัก”มีค่า
2.071 ค่า Sing. (2-tailed) มีค่าเท่ากับ .039 การสร้างประเด็น มีค่า 2.617 ค่า Sing. (2-tailed) มีค่าเท่ากับ .009 เป็นผู้แขร์เนื้อหาหน้า Page ไปยัง Facebook มีค่า -2.202 ค่า Sing. (2-tailed) มีค่าเท่ากับ .028 แสดงว่าความสัมพันธ์ของสื่อ Fanpage รณรงค์มีความเกี่ยวข้องกับความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งผลสรุปดังกล่าวสามารถน้าไปร่วมกันท้านายความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมใน กลุ่มเยาวชน หลังจากการรับชมสื่อของกลุ่มตัวอย่างได้เพียงร้อยละ 4.5 (Adjusted R Square = 0.045)
บทที่ 5
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยเรื่องการสร้างสรรค์สื่อรณรงค์แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการ เสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสงขลา เพื่อให้ได้ค้าตอบตรงกับวัตถุประสงค์ที่ วางไว้ ผู้วิจัยขอสรุปเป็นประเด็นที่ส้าคัญ ดังนี้
วัตถุประสงค์ 1 การศึกษาการสร้างสื่อรณรงค์แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลด ปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
วัตถุประสงค์ 2 การผลิตสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมใน กลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
วัตถุประสงค์ 3 การทดสอบประสิทธิภาพสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการ เสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
วัตถุประสงค์ 1 การศึกษาการสร้างสื่อรณรงค์แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลด ปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ผลจากการวิจัยสามารถ สรุปอธิบายได้ตามแผนภาพ ดังนี้
กลุ่มเยาวชน กลุ่มเยาวชน
อาสาสมัครที่ ในพื้นที่
สร้างสื่อ อ้าเภอเทพา
การผลิตและ สร้างสื่อสังคม ออนไลน์รณรงค์ ร่วมกัน
ลดและละ การเสพน้้า กระท่อมของเยาวชนใน พื้นที่เทพา
1.วิธีการป้องกันตนเอง จากการติดน้้ากระท่อม ของกลุ่มเยาวชน 2.วิธีช่วยเหลือเพื่อนที่เคย ติดน้้ากระท่อมให้กลับมา อยู่ในสังคมได้
สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ ปัญหาการเสพน้้า กระท่อม
ผู้ส่งสารหลัก (ผู้ปกครอง ผู้น้าชุมชน สถานบ้าบัด และเยาวชน)
การแชร์ข้อมูลในสื่อ ออกไป
ภาพที่ 17 แนวทางการสื่อสารแบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม ในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา
ที่มา ดัดแปลงจาก A model of effective communication for rural development ของ Rasila and Mudau (2012)
จากภาพที่ 17 การสร้างสื่อรณรงค์แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพ น้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลานั้นต้องเกิดมาจากความร่วมมือร่วมใจของผู้ที่ ส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ 4 ภาคส่วน ได้แก่ ผู้ปกครอง ผู้น้าชุมชน สถานบ้าบัด และเยาวชน โดย ทั้งหมดจะต้องร่วมกันระดมความคิดเพื่อหาประเด็นที่จะสื่อสารในสื่อรณรงค์ ซึ่งสรุปออกมาได้ 2 ประเด็น คือ วิธีการป้องกันตนเองจากการติดน้้ากระท่อมของกลุ่มเยาวชน และวิธีช่วยเหลือเพื่อนที่ เคยติดน้้ากระท่อมให้กลับมาอยู่ในสังคมได้ โดยเนื้อหาที่น้าเสนอจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติ ของผู้รับสาร ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอัตลักษณ์ส่วนบุคคลของผู้ดื่มน้้ากระท่อมให้ตรงกับ สภาพเป็นจริง โดยให้เยาวชนได้เห็นข้อเสียที่เกิดขึ้น และลบล้างอัตลักษณ์ทางสังคมแบบผิดๆ ที่มอง ว่าน้้ากระท่อมให้ประโยชน์มากกว่าโทษ ซึ่งจะมีกลุ่มเยาวชนอาสาสมัครที่สร้างสื่อและกลุ่มเยาวชนใน พื้นที่อ้าเภอเทพาเป็นแกนหลักในการผลิตสื่อ โดยมีผู้ใหญ่เป็นแกนหนุนในการผลิตและสร้างสื่อ ซึ่ง ผู้ใหญ่ที่เข้ามาร่วมกิจกรรมจะมีบทบาทที่แตกต่างกันออกไป โดยกลุ่มเยาวชนจะเป็นคนเลือกเองว่า กลุ่มผู้ใหญ่เหล่านั้นจะมีบทบาทอะไร ซึ่งในที่นี้กลุ่มเยาวชนอาสาสมัครเลือกใช้สื่อ Fanpage เป็นสื่อ หลักและมีสื่อหนังสั้นเป็นสื่อสนับสนุน เนื่องจากเป็นสื่อที่เข้ากับธรรมชาติการใช้สื่อและความนิยม ของกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ โดยใช้ผู้สื่อสารที่เป็นกลุ่มเพื่อนจะมีอิทธิพลและเป็นผู้น้าทางความคิดโดยมี ทั้งที่เป็นเพื่อนที่เคยดื่มน้้ากระท่อม และไม่เคยดื่มน้้ากระท่อมเป็นผู้ส่งสารภายในสื่อ ส้าหรับเนื้อหา ของสื่อควรใช้ภาษาถิ่น ที่เข้าใจง่าย และเสมือนก้าลังคุยกับกลุ่มของเยาวชนจริง อีกวิธีคือการน้ากล ยุทธ์ในการสื่อสารของผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencer) โดยใช้ผู้ที่มีความรู้เข้าใจและมี ประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับน้้ากระท่อม มาสื่อสารรณรงค์เลิกดื่มน้้ากระท่อมในฐานะพวกพ้อง ที่พูดคุย ภาษาเดียวกับผู้ดื่มน้้ากระท่อม หรือการน้าเอาอัตลักษณ์ที่ผู้ดื่มน้้ากระท่อมสร้างขึ้นและอยากให้เป็น ภาพแทนที่ท้าให้สังคมยอมรับพวกเขา มาใช้เป็นแรงจูงใจทางด้านเหตุผลที่แฝงอยู่ในสื่อรณรงค์เพื่อให้ เกิดการยอมรับข่าวสาร โดยทั้งหมดนี้สื่อที่ผลิตขึ้นมานั้น จะต้องสามารถท้าให้เยาวชนสามารถ เชื่อมโยงไปสู่การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการเสพน้้ากระท่อม ในลักษณะการให้ข้อมูล 2 ด้าน เพื่อให้กลุ่มเยาวชนได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเชื่อหรือไม่ นอกจากนี้สื่อสังคมออนไลน์ที่ผลิตขึ้นนั้น ต้องสามารถเข้าเยาวชนที่พื้นที่สามารถโต้ตอบ บอกต่อ และส่งต่อ ไปยังเพื่อนๆ คนอื่นๆ ในพื้นที่ได้ โดยมีเป้าหมายของสื่อคือการเปลี่ยนพฤติกรรมลดและละการเสพน้้ากระท่อมของเยาวชนในพื้นที่ เทพา ซึ่งการผลิตสื่อรณรงค์นี้สามารถสร้างเครือข่ายต่อต้านการดื่มน้้ากระท่อมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้เป็นกระแสตีกลับแบบสองด้านในกลุ่มเยาวชนได้ฉุกคิดเมื่อต้องเจอกับสื่อที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับน้้า กระท่อม
วัตถุประสงค์ 2 การผลิตสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้า กระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา สื่อที่ผลิตขึ้นในครั้งนี้ได้แก่ สื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้กลุ่มเยาวชนอาสาสมัคร จ้านวน 30 คน ที่เป็นแกนน้าในการผลิตสื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้สื่อ สื่อประเภท FanPage โดยใช้ค้าว่า “สี่คูณรัก” ซึ่งเป็นค้าที่ไปสอดคล้องกับค้าว่า “สี่คูณร้อย” โดยค้า ว่า “สี่คูณรัก” หมายถึง พันธมิตรทั้ง 4 ในชุมชนที่จะร่วมกันรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลด ปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ได้แก่ 1) กลุ่มนักเรียน 2) กลุ่ม
ผู้ปกครอง 3) ผู้น้าในชุมชน/โรงเรียน และ 4) ศูนย์บ้าบัดยาเสพติด ซึ่งภายใน FanPage สี่คูณรัก ประกอบไปด้วยสื่อย่อย ๆ ดังนี้
ตารางที่ 8 รูปแบบสื่อย่อยใน FanPage สี่คูณรัก
ประเภทสื่อ | จ้านวน | รูปแบบ | เนื้อหา |
1.ภาพนิ่ง | 20 ภาพ | ภาพถ่ายของเยาวชน ประกอบข้อความสั้นๆ | วิธีการป้องกันตนเองจาก การติดน้้ากระท่อม |
2. คลิปวิดีโอ | 5 คลิป | วิดีโอประกอบเสียงดนตรี และเสียง นักแสดงๆ ในเชิงตลกๆ และบอก เล่า | วิธีการป้องกันตนเองจาก การติดน้้ากระท่อม / วิธี ช่วยเหลือเพื่อนที่ติดน้้า กระท่อม |
3. หนังสั้น | 1 เรื่อง | หนังสั้นแนวดราม่าที่แต่งจากเรื่อง จริง ใช้นักแสดงชุมชนและภาษาถิ่น | วิธีช่วยเหลือเพื่อนที่ติดน้้า กระท่อม |
4. สื่อมิวสิควิดี โอ | 1 เพลง | เพลงเพื่อชีวิตส้าเนียงใต้ ที่แต่งจาก เรื่องสั้น ใช้นักร้องภายในท้องถิ่น | วิธีช่วยเหลือเพื่อนที่ติดน้้า กระท่อม |
ผลการวิเคราะห์การประเมินคุณภาพสื่อจากผู้เชี่ยวชาญพบว่าแต่ละสื่อมีคุณภาพระดับดี ( Χ =4.53) พิจารณารายสื่อ พบว่าสื่อมิวสิควิดีโอมีคุณภาพระดับดีที่สุด ( Χ =4.58) เมื่อพิจารณาเป็น รายข้อพบว่าเนื้อร้องในมิวสิควิดีโอที่ใช้เหมาะสมที่สุด ( Χ =5.00) รองลงมาคือสื่อหนังสั้น มีคุณภาพ ระดับดี ( Χ =4.56) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าเนื้อหามีความเหมาะสมในการน้าเสนอและมีความ เหมาะสมกับธรรมชาติของสื่อ มีคะแนนมากที่สุด ( Χ =5.00) และสื่อเพจสี่คูณรักมีคุณภาพระดับดี ( Χ =4.47) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าเนื้อหามีความเหมาะสมในการน้าเสนอ ภาษาที่ใช้เหมาะสม
สื่อความหมายเข้าใจง่ายมีคะแนนมากที่สุด ( Χ =5.00) ซึ่งมีพิจารณาค่าเฉลี่ยของทุกองค์ประกอบ พบว่าไม่มีองค์ประกอบใดมีสื่อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยกว่า 3.50 และไม่มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานใดที่มีค่า
เกิน 1
วัตถุประสงค์ 3 การทดสอบประสิทธิภาพสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจ เกี่ยวกับสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมพบว่าอยู่ในระดับพอใจมาก ( Χ =4.19) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อคิดที่ได้จากหนังสั้น เรื่อง คิดเลิกท่อมมีความพึงพอใจ ระดับมากมีค่าเฉลี่ย ( Χ =4.43) รองลงมาคือ หนังสั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม” มีค่าเฉลี่ย ( Χ =4.36 )
มิวสิควิดีโอเพลง มีค่าเฉลี่ย ( Χ =4.35) ส่วนเป็นผู้แชร์เนื้อหาหน้า Page ไปยัง Facebook มีความ พึงพอใจระดับน้อยที่สุด มีค่าเฉลี่ย ( Χ =3.90 ) ส่วนการรับรู้เกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมของหลังชม สื่ออยู่ในระดับมาก ( Χ = 3.87) โดยมีการรับรู้ว่าการดื่มน้้ากระท่อมเป็นการเสพติดอย่างหนึ่งมาก ที่สุด ( Χ = 4.22) รองลงมาคือการดื่มกระท่อมไม่ได้ท้าให้ดูเท่ห์หรือมีเสน่ห์ ( Χ = 4.20) การดื่มน้้า
กระท่อมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ( Χ = 4.14) ส่วนการรับรู้ว่าเพื่อนที่ดื่มกระท่อมอาจเป็นสาเหตุในการ เริ่มดื่มกระท่อมเกิดขึ้นน้อยที่สุด ( Χ = 3.39)
ส้าหรับผลการวิเคราะห์สมมติฐานของความสัมพันธ์ของสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและ
ลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมความเข้าใจการดื่มน้้ากระท่อมกับการรับรู้หลังจากชมสื่อมีนัยส้าคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็นบวกและเป็นไปในทิศทางเดียวกันในระดับต่้ามาก
(r =0.040) สามารถแสดงผลได้ดังนี้ (ดังภาพ 18)
0.12
0.1
0.08
0.06
0.04
0.02
0
องคป์ ระกอบ ของ Fanpage สี่คณรก
า น& ¤ '¤ u ' ¤ า า า ¤ & &
า า นา˚ ¤'
& ¤า '¤
ภาพที่ 18 ค่าความสัมพันธ์ของสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้า กระท่อมหลังจากชมสื่อ
จากภาพที่ 18 จะเห็นว่าค่าความสัมพันธ์ของสื่อรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมกับการรับรู้หลังจากชมสื่ออยู่ในระดับต่้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ชื่อเพจ “สี่คูณ รัก” 0.041 กราฟิกที่ใช้ในเพจ 0.016 การสร้างประเด็น 0.103 ภาพ Feed ในเพจ 0.014 คลิป วิดีโอ 0.034 หนังสั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม” 0.029 ข้อคิดที่ได้จากหนังสั้น เรื่อง คิดเลิกท่อม 0.062 มิว สิควิดีโอ เพลง 0.082 การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเพจ 0.072เป็นผู้แขร์เนื้อหาหน้า Page ไปยัง Facebook 0.03 ได้สิทธิ์และเห็นคอมเม้นท์ของท่านในเพจ 0.148 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าอิทธิพลสื่อ รณรงค์ที่มีผลต่อความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมค่อนข้างต่้ามาก ซึ่งสามารถท้านายได้ เพียงร้อยละ 4.5 โดยการได้สิทธิ์และเห็นคอมเม้นท์ของท่านในเพจมีอิทธิสูงสุด (β=.148) รองลงมา คือการสร้างประเด็น (β=.103)
การอภิปรายผล
การผลิตสื่อเพื่อการสร้างสรรค์สื่อรณรงค์แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสงขลานั้น สิ่งส้าคัญที่สุดได้แก่ กระบวนการ สื่อผลิตที่ให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต เพราะผลที่ได้จากโครงการพบว่าชาวบ้านในชุมชนต่าง มีความกระตือรือล้นในการร่วมกันผลิตสื่อรณรงค์เป็นอย่างมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของพวงชมพู
ไชยอาลา แสงรุ่งเรืองโรจน์ (2556) ที่กล่าวว่ากระบวนดังกล่าวนี้เป็นสิ่งเหมาะสมในการท้าสื่อสาร รณรงค์ เพราะเป็นการท้าให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสื่อสาร ในฐานะผู้สนับสนุนกระบวนการ ผลิต ร่วมสื่อและประเมินผลสื่อร่วมกันอย่างเป็นระบบ จึงท้าให้พัฒนาชุมชนนั้นประสบความส้าเร็จได้ ส่วนเนื้อหาที่น้าเสนอในการรณรงค์ในครั้งนี้อาจจะแตกต่างกับเนื้อหาของสื่อรณรงค์ประเภทอื่นๆ แต่ ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสื่อออนไลน์ในการรณรงค์อื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับงานของ นิษฐา หรุ่น เกษม นิศรารัตน์ วิไลลักษณ์ และปรัชญา ทองชุม (2563) ที่กล่าวว่าการน้าเสนอสารเพื่อการรณงค์ใน สื่อสังคออนไลน์นั้น จะต้องการแปลงสารให้เข้ากับช่องทางการสื่อสารออนไลน์แต่ละประเภท และ ต้องน้าเสนอหรือโพสต์ข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นระบบ สม่้าเสมอ และมีความต่อเนื่อง แม้ว่าผลสัมฤทธิ์ จากการเข้ารับชมสื่อจะมีอิทธิพลต่อความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมน้อยมาก แต่ผลวิจัย แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขายังต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตสื่อมากกว่าเป็นผู้รับสื่อเพียงอย่าง เดียว ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีเทคโนโลยีเป็นตัวก้าหนดที่กล่าวว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวก้าหนดรูปแบบ และสามารถบอกได้ว่าควรจะปรับเปลี่ยนการสื่อสารนั้นไปทิศทางใด ซึ่งในงานวิจัยนี้สื่อที่น้ามาใช้ใน การรณรงค์เป็นสื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้นธรรมชาติของสื่อไม่ได้เป็นการน้าเสนอข่าวสารเพียงทางเดียว แต่จะต้องปรับให้ผู้รับสารเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ส่งสาร และสร้างสารใหม่ออกไปยังผู้รับอื่นๆ ใน ลักษณะเครือข่ายต่อไป ซึ่งมีข้อสังเกตที่ชัดเจนแล้วว่ากลุ่มชาวบ้านและเยาวชนอาสาสมัครที่เข้าร่วม โครงการและมีส่วนร่วมในทุกๆ ขั้นตอน กลับกลุ่มเหล่านี้ต่างมีความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้า กระท่อมที่ดีมาก และพร้อมผลักดันให้ปัญหาน้้ากระท่อมหมดไปในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับ รณกฤต จิตต์ธรรม (2563) ว่าการแก้ไขปัญหายาเสพติดนั้น สื่อเป็นแค่เครื่องมือหนึ่งในการสื่อสารเท่านั้น แต่ การที่จะแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนได้นั้น ต้องการส่งเสริมและท้าความเข้าใจให้ประชาชนที่อาศัย ในชุมชนให้เห็นความส้าคัญของปัญหายาเสพติด และตระหนักว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาของ ส่วนรวม ที่ทุกคนต้องช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหา ซึ่งการกระท้าเช่นนี้จะเป็นตัวสร้างภูมิคุ้มกันให้ เด็กและเยาวชนในชุมชนให้มีทัศนคติท่างไกลยาเสพติดได้
ส้าหรับข้อค้นพบที่ปรากฏว่าอิทธิพลของสื่อที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีผลต่อความเข้าใจและลดปัญหา การเสพน้้ากระท่อมได้ค่อนข้างต่้า อาจจะเกิดมาจากกลุ่มเยาวชนที่น้าสื่อไปทดลองนั้น ส่วนใหญ่เป็น กลุ่มเยาวชนที่ไม่เสพน้้ากระท่อมอยู่ก่อนแล้วและรับรู้แล้วว่าน้้ากระท่อมเป็นสิ่งไม่ดี อีกทั้งเยาวชนที่ เป็นผู้รับสารส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ร่วมผลิตสื่อตั้งแต่แรก จึงมองเป็นแค่ปลายทางของสื่อที่เผยแพร่ และ มีการตีความความเข้าใจจากสื่อที่ตนเองรับชม ณ ขณะนั้น จึงเกิดความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึง ปัญหาน้้ากระท่อมค่อนข้างน้อย ผิดกับกลุ่มเยาวชนที่มีส่วนร่วมในการผลิตสื่อรณรงค์ในทุกขั้นตอน พวกเขาต่างมีความตระหนักในปัญหาและพร้อมแก้ไขปัญหาน้้ากระท่อมในชุมชนมากกว่า นอกจาก ยังพบว่ากลุ่มเยาวชนที่ไม่ได้ร่วมผลิตสื่อได้แสดงความคิดว่า หากให้สิทธิ์พวกเขาได้ ได้ร่วมผลิต และ แสดงความคิดเห็นในสื่อ รวมถึงการสร้างประเด็นใหม่ๆ เพื่อส่งต่อไปยังผู้รับสารขั้นที่สอง พวกเขาจะ รู้สึกถึงความเข้าใจและต้องการแก้ไขปัญหาการเสพน้้ากระท่อมเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าเยาวชนใน พื้นที่เอง ล้วนอยากเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตสื่อ มากกว่าที่จะเป็นเพียงผู้รับสื่อปลายทาง ซึ่ง สอดคล้องกับการแนวคิดการสื่อสารเพื่อการพัฒนา คือต้องให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าร่วมในทุก ขั้นตอนของกระบวนการ ตั้งแต่การร่วมตัดสินใจ ร่วมปฏิบัติ ร่วมรับผิดชอบในผลการพัฒนาที่จะ
เกิดขึ้น รวมถึงการร่วมกันประเมินผลการด้าเนินงานโครงการ ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้สื่อในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนอย่างแท้จริง
ดังนั้นหากมีการผลิตสื่อในครั้งต่อไป ควรให้กลุ่มผู้รับสารหรือเยาวชนในพื้นที่เข้ามาส่วนร่วมใน การผลิตเนื้อหาในการรณรงค์ให้มากที่สุด อีกทั้งการท้างานวิจัยนี้เป็นการท้างานวิจัยเฉพาะในพื้นที่ อ้าเภอเทพา และกลุ่มประชากรเฉพาะซึ่งคือเยาวชน ดังนั้น ผลการศึกษาอาจไม่สามารถน้าไปสรุปว่า การสร้างสื่อจะมีอิทธิพลในการรณรงค์ในประชากรกลุ่มอื่นหรือในเยาวชนในพื้นที่อื่นได้ จากความ แตกต่างของลักษณะประชากรในพื้นที่ หากถ้ามีการสร้างสื่อโดยคนในพื้นที่ สื่อที่สร้างจะออกมามี ลักษณะจ้าเพาะเจาะกับคนในพื้นที่นั้นๆ มากขึ้น
ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา
1.การวิจัยดังกล่าวพบว่า กระบวนการผลิตสื่อยังต้องอาศัยความมีส่วนร่วมของเยาวชนเป็น หลัก ซึ่งในการศึกษาครั้งต่อไปอาจจะเพิ่มบทบาทของผู้ใหญ่ ให้เข้ามามีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มี เนื้อหารณรงค์ที่หลากหลายและครอบคลุมกับผู้รับสื่อที่หลากหลายกลุ่มในชุมชน ซึ่งจะส่งผลให้เกิด ความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่มเยาวชนและกลุ่มผู้รับสารอื่นๆ ด้วย
2.น้ากระบวนการวิจัยดังกล่าวไปปรับใช้การรณรงค์ยาเสพติดประเภทอื่นๆ เช่น ยาบ้า เฮ โรฮีน หรือ กัญชา ที่เป็นปัญหาที่ส้าคัญๆ ในชุมชน เพื่อให้ได้ผลที่ขยายวงกว้าง สามารถสร้าง อรรถประโยชน์กับเยาวชนและชุมชนอย่างแท้จริง
3.การวิจัยครั้งนี้มีข้อก้าจัดเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลเยาวชนที่มีการเสพน้้ากระท่อมเรื้อรัง เนื่องจากมีข้อมูลบางส่วนไม่สามารถเผยแพร่ในสื่อได้ เนื่องจากอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ให้ข้อมูล ซึ่ง ผู้วิจัยได้มีการตัดทอนข้อมูลบางส่วนให้เหมาะสม แต่พยายามไม่ให้กระทบต่อวัตถุประสงค์ของการ วิจัยและอยู่ในภายใต้กรอบการวิจัยในมนุษย์
เอกสารอ้างอิง
กนิษฐา ไทยกล้า. (2559). โครงกำรติดตำมควำมเคลื่อนไ👉วด้ำนอุปสงค์อุปทำนสำรเสพติดบนโลก ออนไลน์. กรุงเทพฯ: แผนงานภาคีวิชาการสารเสพติด ส้านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ.
กาญจนา แก้วเทพ. (2541). กำรวิเครำะ👉์สื่อ: แนวคิดและเทคนิค. กรุงเทพฯ: ภาควิชาสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กิตติวงค์ สาสวด และปรีชา ดิลกวุฒิสิทธิ์.(2559). การพัฒนารูปแบบการป้องกันการแพร่ระบาดของ ยาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในเขตพื้นที่เทศบาล อ้าเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา. วำรสำรชุมชนวิจัย. 10(1).116-124.
กิตติกาญจน์ หาญกุล และคณะ. (2556).สนามการต่อรองเชิงอ้านาจของชาวชุมชนแออัดใน จังหวัดอุบลราชธานี. วำรสำรศิลปะศำสตร์ ม👉ำวิทยำลัยอุบลรำชธำนี. 9 (1): 45-73.
กิ่งกาญจน์ จงสุขไกล และคณะ. (2555). รำยงำนสถำนกำรณ์ปัญ👉ำยำเสพติด กำรแพร่ระบำดและ ผลกระทบในกลุ่มเด็กและเยำวชนในพื นที่ท่องเที่ยว : กรณีศึกษำเมืองพัทยำและเกำะล้ำน อ้ำเภอบำงระมุง จัง👉วัดชลบุรี. ชลบุรี: ส้านักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 2
เกศินี จุฑาวิจิตร.(2542). กำรสื่อสำรเพื่อกำรพัฒนำท้องถิ่น. นครปฐม : สถาบันราชภัฏนครปฐม เกศินี จุฑาวิจิตร. (2548). กำรสื่อสำรเพื่อกำรพัฒนำท้องถิ่น.พิมพ์ครั้งที่ 3. นครปฐม : มหาวิทยาลัย
ราชภัฏนครปฐม.
แก้วเกล้า บรรจง. (2561). กำรสื่อสำรรณรงค์บนพื นที่ออนไลน์ Xxxxxx.xxx. วิทยานิพนธ์ นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดารารัตน์ สาธรพันธ์. (11 กันยายน 2562). รำยงำนกำรตรวจรำชกำรระดับจัง👉วัด ปีงบประมำณ พ.ศ. 2562 คณะที่ 2 กำรพัฒนำระบบบริกำร (Service Plan) 👉ัวข้อ ยำเสพติด. สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน 2562. จาก xxx.xxxx.xx.xx › e-insreport › file_report
ทรัมอัพมีเดีย. (2560). แนะกลวิธีสร้ำงสื่อโฆษณำใ👉้โดนใจวัยรุ่น Gen Z จำกงำนวิจัยผบริโภคล่ำสุด AdReaction 2017. สืบค้นเมื่อ 12 มีนาคม 2562. จาก xxxxx://xxx.xxxxxxxx.xx.xx/xxxxxxxxxx-0000
ไทยบีพีเอส. ( 15 กุมภาพันธ์ 2555). “วัยรุ่นกับสื่อ: ภำพสะท้อนผู้ใ👉ญ่ในอนำคต”. สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2562. จาก xxxxx://xxx.xxxxxxxxxxxxxx.xxx/xxxx/00000
นิษฐา หรุ่นเกษม นิศรารัตน์ วิไลลักษณ์ และ ปรัชญา ทองชุม. (2563).การออกแบบสารรณรงค์ผ่าน สื่อออนไลน์เพื่อควบคุมการบริโภคยาสูบ. มนุษยศำสตร์และสังคมศำสตร์ ม👉ำวิทยำลัยรำช ภัฏอุบลรำชธำนี. 11 (2). 50-63.
นันท์ชนก วงษ์สมุทร. (28 พฤษภาคม 2560). ยำเสพติด: อีกภัยร้ำยของคนปลำยด้ำมขวำน. บีบีซี ไทย.สืบค้น 8 กันยายน 2562 จาก xxxx://xxx.xxx.xxx/xxxx/xxxxxxxx-00000000
น้้าทิพย์ ส้าเภาประเสริฐ. (2543) กำรใช้อินเตอร์เน็ตของผู้ใช้ในระยะเริ่มต้นในเขตกรุงเทพม👉ำนคร กับผลกระทบของกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกำรสื่อสำร . วิทยานิพนธ์วารสารศาสตร มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
บุบผา บุญญามณี และคณะ. (2559). เ👉ตุผลของกำรเสพยำเสพติดประเภทสี่คูณร้อยและยำบ้ำ👉รือ กัญชำในผู้ป่วยยำเสพติดที่เข้ำรับกำรบ้ำบัดรักษำในโรงพยำบำลธัญญำรักษ์สงขลำและ ปัตตำนี. สงขลา : โรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา
บุษบา หินเธาว์. (2556). กำรสื่อสำรเพื่อกำรพัฒนำท้องถิ่น. คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราช ภัฏพิบูลสงคราม
บัญญพนต์ พลูสวัสดิ์ (27 สิงหาคม 2555) . Social Design ลับแนวคิดกำรออกแบบสื่อสังคม. สืบค้น เมื่อ 12 มีนาคม 2563. จาก xxxx://xxx.xxxxxx.xxx/xxxxxx-xxxxx-xxxxxxxxx-0/x00- social-network/socialdesign.html
ปรมะ สตะเวทิน. (2546). 👉ลักนิเทศศำสตร์. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.
พวงชมพู ไชยอาลา แสงรุ่งเรืองโรจน์. (2556). การสื่อสารแบบมีส่วนร่วม: กลไกในขับเคลื่อนแนวคิดสู่ การปฏิบัติภายใต้กระบวนทัศน์การพัฒนาแบบทางเลือก. มนุษยศำสตร์ สังคมศำสตร์. 30(2). 23-42
พิชิต วิจัตบุญยรักษ์. (2554).สื่อสังคมออนไลน์: สื่อแห่งอนาคต. วำรสำรนักบริ👉ำรม👉ำวิทยำลัย กรุงเทพ. 31(4). 99-103.
ภิเษก ชัยนิรันดร์. (2554). ปั้นแบรนด์ใ👉้รวยด้วย Facebook. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น
รชดี บินหวัง และเกษตรชัย และหีม. (2559) . สภาพและปัญหาในการจัดการปัญหายาเสพติดในกลุ่ม เยาวชนไทยมุสลิมชุมชนบ้านดอนขี้เหล็ก ต้าบลพะวง อ้าเภอเมือง จังหวัดสงขลา.
วำรสำรพัฒนบริ👉ำรศำสตร์. 56 (1/2559) : 1-33
รณกฤต จิตต์ธรรม (2563). กำรป้องกนและแก้ไขปัญ👉ำยำเสพติดโดยกำรมีส่วนร่วมของประชำชน ในชุมชนปู่เย็น ย่ำค้ำ ยังอยู่ แขวง👉ลักสอง เขตบำงแค กรุงเทพม👉ำนคร. สารนิพนธ์รัฐ ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสยาม
ว้อยซ์ทีวีออนไลน์. (26 พฤษภาคม 2560). ผลส้ำรวจพบเด็กไทยติดสื่อออนไลน์สูงกว่ำค่ำเฉลี่ยโลก 3 ชม. สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2562. จาก xxxxx://xxx.xxxxxxx.xx.xx/xxxx/Xx00xxX0X
วินัย ดะห์ลัน. (2560). อย่ำปล่อยใ👉้น ้ำกระท่อมและสี่คูณร้อยท้ำลำยศำสนำและสังคม. สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2562. จาก xxxxx://xxxxxxxxxxxxxx.xxx/xx/xxxx/00000
สมนึก บุญสุภา. (2 ตุลาคม 2559). กระท่อม .. พืชที่ทุกคนอยำกรู้. สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2562. จาก xxxxx://xxx.xxxxxxxx.xxxxxxx.xx.xx/xx/xxxxxxxxx/xxxxxxx/000/xxxxxxx
สุไหวด๊า บุหลาด, (2558). ประสบการณ์ผู้ติดยาเสพติด 4x100 ของวัยรุ่นในต้าบลแห่งหนึ่งของ จังหวัดกระบี่.พิฆเนศวร์สำร. 11(2).41-49.
เสถียร เชยประทับ. (2540). กำรสื่อสำรกับกำรพัฒนำ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Alvin, Toffler. (1980). The Third Wave. New York: William Marrow.
Bartz, A. E. (1999). Basic statistical concepts (4th ed.). Englewood Clifts, NJ: Prentice- Hall.
Best, J. W. (1986). Research in education. (5th ed). Englewood Clifts, NJ: Prentice – Hall.
Belch, G. E., & Belch, M. A. (2001). Introduction to advertising and promotion: an integrated marketing communication perception (3nd ed.). Chicago, IL: Irwin.
Haley, R. I., & Baldinger, A. I. (1991). The ARF copy research validity project. Journal of Advertising Research, 31(3), 11-32.
Hoyer, W. D., & Maclnnis, D. J. (2000). Consumer behavior (2nd ed.). Boston, MA: Houghton Mifflin.
Jacob Shumway. (2020). 5 social media graphic design tips to boost your brand presence. Retrived May 29, 2019, from xxxxx://xxx.xxxxxxxxxx.xxx/xxxx/xxx- to-create-social-media-posts-that-get-noticed
Jarice Hanson and Uma Narula. (1990). New Communication Technologies in Developing Countries. New York: Lawrence Erelbaum Associates
Mary Shaw. (2017). Social Media Design Tips. Retrived May 29, 2019, from xxxxx://xxx.xxxxxxxxxxxxxxxxxxxx.xxx/xxxxxxxxxxxxxxxx/xxxxxx-xxxxx- marketing/what-is-social-media-design
McQuail, D. (1994). Mass communication theory An introduction. London, Thousand Oaks, New Delhi: SAGE.
Rasila, BN & Mudau, J., (2012). Effective communication as a strategic tool for rural development: A model to take South African Government beyond mobilization and consultation through public participation. Journal of Media and Communication Studies. 4(7), 134-141.
Rogers, Everette M. (1979). Communication Campaign. New York: The Free Press. Ronald E. Rice and Willian J. Paisley (1989). Public Communication Campaign.
Beverlt Hills: Sage.
Shapiro, N.A. (2012). How Can We Redefine Information in the Age of Social Media?. In
BOBCATSSS Amsterdam 2012. Wolf-Fritz Riekert and Ingeborg Simon, pp.19-
23. Germany: Bad Honnef.
ภาคผนวก
แนวทางการสัมภาษณ์ (กลุ่มผู้น้าชาวบ้าน และผู้ปกครอง) ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล.............................................อายุ....................................ปี เพศ........................... ...........
การศึกษา..................................................................อาชีพ.....................................................................
เคยมีบุคคลในครอบครับที่ (เคย) ดื่มน้้ากระท่อมหรือไม่ ...................................................
ตอนที่ 2 ปัญหาและความต้องการสื่อเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่ม เยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
1.คุณคิดว่าปัญหาการเสพติดของเสพน้้ากระท่อมของกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ (หรือครอบครัว) เป็น อย่างไร
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.................................................................................................................................................... ............
2.สื่อที่มีในท้องถิ่นสามารถสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมเพียงพอหรือไม่ อย่างไร
................................................................................................................................... .............................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
3.ประเด็นอะไรบ้างที่ท่านรู้สึกว่าขาดหายไป และอยากให้น้าเสนอในสื่อกลุ่มเยาวชนในท้องถิ่น
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
4.หากให้ท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสื่อท่าน อยากจะมีส่วนร่วมอย่างไร และต้องการน้าเสนอประเด็น ไหนบ้าง
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
5.ลักษณะสื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมแบบใด ที่กลุ่มเยาวชนในท้องถิ่นจะ รับฟัง
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
....................................................................................................................................... .........................
6.หากเยาวชนภายในท้องถิ่นผลิตสื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมขึ้นมาเอง ท่านคิดว่าอย่างไร และควรเป็นแบบไหน (เช่น Fanpage)
............................................................................................................................. ...................................
แนวทางการสัมภาษณ์ (กลุ่มเด็กที่เคยดื่มน้้ากระท่อม) ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัว
เพศ.................................................................
ประวัติการดื่มน้้ากระท่อม จ้านวน ............................เดือน ปี
ตอนที่ 2 ปัญหาและความต้องการสื่อเพื่อสร้างความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อมในกลุ่ม เยาวชน อ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
1.คุณคิดว่า จุดเริ่มต้นหรือแรงจูงใจของการดื่มน้้ากระท่อมของเด็กในที่พื้นที่ เกิดจากอะไร
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
2.คิดว่าในความรู้สึกของตนเองหรือ เด็กในที่พื้นที่ คิดเกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อม (ในลักษณะของ ประโยชน์หรือโทษ) อย่างไรบ้าง
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
3.คุณเคยมีประสบการณ์การไม่ดี เกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมหรือไม่ และแก้ไขอย่างไร
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
4.หากวันนี้คุณต้องรณรงค์ให้เด็กในที่พื้นที่ เลิกการดื่มน้้ากระท่อม คุณจะบอกหรือสื่อสารกับเขา อย่างไร
............................................................................................................................. ...................................
....................................................................................................................................... .........................
...................................................................................................................... ..........................................
5.ในฐานะที่เป็นผู้ที่เคยดื่มน้้ากระท่อม คุณจะบอกให้กับกลุ่มเด็กๆ ที่ไม่เคยดื่มน้้ากระท่อม เห็นโทษ ของน้้ากระท่อมอย่างไร
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
6.หากเยาวชนในพื้นที่จะผลิตสื่อ (หนังสั้น คลิปสั้นๆ หรืออินโฟกราฟิก ) คุณคิดว่าควรจะออกมาใน แบบไหน อย่างไร
....................................................................................................................................... .........................
.................................................................................................................... ............................................
............................................................................................................................. ...................................
แบบสอบถามวัดประสิทธิภาพของสื่อ ในโครงการรณรงค์กับความเข้าใจและลดปัญหาการดื่มน้้า กระท่อมในกลุ่มเยาวชนอ้าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
ค้าชี้แจง แบบประเมินนี้จัดท้าขึ้นเพื่อสอบถามความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดตอบแบบประเมินทุกข้อ ตามความเป็นจริงด้วยตัวท่านเอง
ตอนที่ 1 ค้าถามเกี่ยวกับลักษณะประชากร
ค้าชี้แจงกรุณาท้าเครื่องหมาย ✓ลงในช่องว่างที่ก้าหนดไว้ให้ครบถ้วน
1. เพศ
1. ❑ ชาย 2. ❑ หญิง
2. โรงเรียน............................................................................................................
3. ผลการศึกษา
1. ❑ ต่้ากว่า 2.00 2. ❑ 2.01 - 2.75
3. ❑ 2.76-3.25 4. ❑ 3.26 - 4.00
4. สถานภาพของครอบครัว
1. ❑ อยู่กับพ่อแม่ 2. ❑ อยู่กับพ่อหรือแม่อย่างเดียว
3. ❑ อยู่กับญาติ (ที่ใช่พ่อแม่) 4. ❑ อยู่กับผู้อื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่และญาติ
5. เคยประวัติเกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมหรือไม่
1. ❑ เคย 2. ❑ ไม่เคย
ตอนที่ 2 ความพึงพอใจเกี่ยวกับ Fanpage “สี่คูณรัก” และหนังสั้น “คิด เลิก ท่อม” รณรงค์ การรับรู้เกี่ยวกับความเข้าใจการดื่มน้้ากระท่อม
ค้าชี้แจง กรุณาท้าเครื่องหมาย ✓ลงในช่องว่างที่ก้าหนดไว้ให้ครบถ้วน
องค์ประกอบของ Fanpage | ระดับความพอใจ | ||||
5 พอใจ มาก | 4 พอใจ ดี | 3 พอใจ ปาน กลาง | 2 พอใจ เล็ก น้อย | 1 ไม่ พอใจ เลย | |
1.ชื่อเพจ “สี่คูณรัก” | |||||
2.กราฟิกที่ใช้ในเพจ | |||||
3.การสร้างประเด็น | |||||
4.ภาพ Feed ในเพจ | |||||
5.คลิปวิดีโอ | |||||
6.หนังสั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม” | |||||
7.ข้อคิดที่ได้จากหนังสั้น เรื่อง คิดเลิกท่อม | |||||
8.มิวสิควิดีโอเพลง |
9.การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเพจ | |||||
10.เป็นผู้แขร์เนื้อหาหน้า Page ไปยัง Facebook ของท่าน | |||||
11.ได้สิทธิ์และเห็นคอมเม้นท์ของท่านในเพจ |
ตอนที่ 3 การรับรู้เกี่ยวกับความเข้าใจเกี่ยวกับการดื่มน้้ากระท่อมหลังจากชมเพจ “สี่คูณรัก” และหนังสั้น “คิด เลิก ท่อม”
ค้าชี้แจง กรุณาท้าเครื่องหมาย ✓ลงในช่องว่างที่ก้าหนดไว้ให้ครบถ้วน
ความเข้าใจและลดปัญหาการเสพน้้ากระท่อม | ระดับความรับรู้ | ||||
5 รู้ดี มาก | 4 รู้จักดี | 3 รู้ปาน กลาง | 2 รู้บ้าง เล็กน้อ ย | 1 ไม่รู้จัก เลย | |
1.การดื่มน้้ากระท่อมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย | |||||
2.การดื่มกระท่อมไม่ได้ท้าให้ดูเท่ห์หรือมีเสน่ห์ | |||||
3.การดื่มกระท่อมอาจท้าให้เสียชีวิตได้ | |||||
4.การดื่มน้้ากระท่อมเป็นการเสพติดอย่างหนึ่ง | |||||
5.น้้ากระท่อมเป็นผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว | |||||
6.เพื่อนที่ดื่มกระท่อมอาจเป็นสาเหตุในการเริ่มดื่ม กระท่อมของเรา | |||||
7.คนรอบข้างได้รับผลเสียจากการดื่มน้้ากระท่อม โดยเฉพาะครอบครัว | |||||
8.หากท่านดื่มน้้ากระท่อมอยู่ อยากจะเลิกทันที |
ข้อเสนอแนะ
............................................................................................................ ....................................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
ขอบคุณที่กรุณาให้ความร่วมมือในการกรอกแบบสอบ
บทหนังสั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม”
บทหนังสั้น เรื่อง “คิดเลิกท่อม”
.........................................................................................................................................
Title เปิดเรื่อง
ภาพหม้อกระท่อมที่ถูกคว่้าร้าง / ภาพส่วนผสมของน้้ากระท่อม / ภาพสายฝนที่หยดลงใบกระท่อม ภาพพรกขี้ยางที่ถูกทิ้งร้าง / ภาพบรรยากาศของเทพา
Super : ทำงที่บัง👉ลงผิด คิดว่ำดี และเท่👉์ว่ำเพื่อน สุดท้ำยกะพัง เพรำะบัง อย่ำง👉ลงผิดเ👉มือนบัง เลย
......................................................................................................................................................
ฉาก 1 ฉากเปิดเรื่องกระท่อมในสวนยาง
กระท่อมในสวนยาง มีมอเตอร์ไซด์จอดอยู่ ภายในมีกลุ่มวัยรุ่น นั่งจับกลุ่มโดยมี หม้อน้้าอย่างหนึ่งอยู่ กลางวัน
มีเด็กชาววิ่งมาที่กระท่อมด้วยหน้าตาตื่นตกใจ
น้อง👉มี :เฮ.....ไอ้มีน พ่อเมิงมำ...........
มีน : ตำยโ👉งแล้ววววววววววววว
กลุ่มวัยรุ่นในกระท่อมแตกกระเชิงไปคนละทิศทาง ชายวัยกลางคนวิ่งก้าลังจะจับกลุ่มวัยรุ่น แต่ไม่ สามารถตามทัน และท้าท่าบ่นหัวเสียที่ไม่สามารถจับเด็กๆ เหล่านั้นได้
พ่อมีน : ไอ้มีน เมิงอีไปไ👉น อย่ำ👉นีนะ มีน : อยู่ใ👉้ถูกทับอยู่ไซร้ละ
พ่อมีน : เมิงอย่ำ👉นี...ไอ้มัน กูบอกใ👉้👉ยุด. ไอ้มีน
......................................................................................................................................................
ฉากที่ 2 ฉากโรงเรียน
นักเรียนชายนั่งจับกลุ่มกันอยู่ ( เลาะห์ ชัย นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชนเป็นน้องชายเลาะห์ ) มองหน้าด้วยสีหน้ากังวล
ซักพักมีน เดินก้มหน้ามาหากลุ่มเพื่อด้วยท่าทางคอตก น้องหมีเป็นคนแรกที่มองเห็นและสะกิดให้พี่ๆ ในกลุ่มหันไปดู
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : นู่น พี่มีน เดินมานู่นแล้ว
มีนเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่ม
ชัย: พันพรือมั งเพื่อน
มีน : รอบ👉น้ำนี ถ้ำจะ👉นักอะ
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : อัยยะ …รึงรังไปหลาว
เลำะ👉์ : ท้ำเฒ่ำจริง (ใช้มือตบกะโ👉ลกเด็กน้อยๆ เบำๆ)
ชัย: แล้วไซร้ถึงเมิงยอมเลำำ
มีน : กะป๊ะกูนั นแ👉ละไม่ยอม แถมยังขอร้องใ👉้ครูปรีชำพักกำรเรียนใ👉้กูไปเลิกกัน ชัย: เอ้ำ...ลูกเอำ
เลำะ👉์ : แบบนี โ👉มกู อีโดนกันมั ยอะ
ชัย: ไอ้. ถ้ำโดนเค้ำกะเรียกโ👉มเรำไปพบแล้ว แล้วนี เมิงเ👉็นแม่ เมิงมำโรงเรียน👉ม้ำยละ
เลำะ👉์ : กรูจะรู้มั ย
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : เดี่ยวรับซื อน ้ายางเสร็จ อาจอีมากะได้
เลำะ👉์ : แล้ว👉ลำวนะเมิง. (👉งุด👉งิดใส่เด็กน้อย)
มีน : 👉ม้ำยแ👉ละ. ครูว่ำรอบนี เค้ำจัดกำร👉ัวโจ๊กไปก่อน
เลาะห์ชี้นิ้วไปที่มีน มันพยักหน้าเหมือนเข้าใจในสิ่งที่เลาะห์พยายามบอก
มีน: เออ (ขำนในล้ำคอรับตำมมือของเลำะ👉์) เลำะ👉์ : 👉วำงไปกู
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : กูกัน
ชัย: อำรำยของเมิง ไปนั่งไกลๆ ตีนไป
(ชัยไล่นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชนออกจากลุ่ม)
ชัย : เมิงไม่ถูก👉รอก มะเมิงตำมใจลูกบ่ำวขนำดนั น
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : ขนำดเบี ยซื อของกันแต่ละครั งกะเบี ยที่บังลักจำกม๊ะนั่นแ👉ละ
เลาะห์ : ไอ้นี่. (ดีดหูน้องชาย)
เมื่อทุกคนเงียบชัยตัดบท
ชัย: กูไม่เข้ำใจเลย แค่กินน ้ำท่อม👉ิดๆ นิ ไซร้คนใ👉ญ่ถึงคิดมำกกัน👉นักนำ โ👉มเรำไม่ได้ไม่ท้ำ
อะไรใครที
พ่อของมีนเดินเข้ามา ในขณะที่นักเรียนในกลุ่ม กลุ่มตกใจเสียงป๊ะ ก้าลังจะลุกขึ้นหนี
พ่อมีน : ไม่ท้ำไ👉รใครกะจริง
พ่อมีน : แต่มันกะผิดกฏ👉มำย ถึงวันนี พวกสูไม่เป็นไร แต่ถ้ำกินไปนำนๆ มันอีพำตำยเอำ
เด็กๆ กลุ่มท้าหน้าจ๋อย...
พ่อมีน : ที่กูไม่เอำเรื่องโ👉มสูม ที่ไปสุมกินน ้ำท่อม ไม่ใช่กูไม่อยำกเอำเรื่องนะ
ชายกลางคนเดินไปพร้อมกับลูกชายอย่างหัวเสียพร้อมบ่นไปตลอดทาง
พ่อมีน : ไปไอ้มีน สร้ำงแต่เรื่องปวด👉ัว รอบนี ท่ำไม่เข็ด👉ลำว กูจะยิกเมิงออกจำกบ้ำนละ
หลังจากที่มีนและพ่อ เดินออกไป เลาะห์หันมาล้าพึงกับเพื่อนในกลุ่ม
เลำะ👉์ : เอ้อ ไปแล้ว👉ลำว👉นึ่ง ยังเ👉ลือเรำสองคนแล้ว น้อง👉มี : กูกันแล สำมคนเ👉ลย
ท้าท่าทางจะนับ 1 -2 -3 คนที่ 4 ดันเป็นครูนุ ที่เดินยืนกอดออกอยู่
ครูนุ : นี่ยังคิดกันไม่ได้อีกนะ ไปเข้าเรียน อย่างต้องให้จับเข้าห้องปกครอบ ตามนาย..........
(ชื่อเต็มของมีน)
น้องหมียกมือไหว้ แล้วรีบหนีออกไปปล่อยให้พี่ๆ อีก 3 คน ทุกคนยกมือไหว้และวิ่งหนี ออกไปพร้อมกัน ด้วยเกรงค้าด่าของครูหนุ่ม ที่ยังบ่นตามหลัง
ครูนุ สะบัดหัวให้กับความคิดของเด็กๆกลุ่มนี้
......................................................................................................................................................
ฉากที่ 3 ฉากบ้านของเลาะห์
ร้านขายของในชุมชน เลาะห์งัวเงียขึ้นมา ประมาณตื่นสาย เดินออกมาหน้าร้าน เพื่อมองหาขนมใน ร้านกิน มองไม่เห็นผู้เป็นแม่ แต่ลูกจ้าง
เลำะ👉์ : นิ. ม๊ะไปไ👉น 👉ว่ำ
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : ไม่รู้ ก็มาพร้อมกัน
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : พี่... ม๊ะไปไหน
ลูกจ้ำง: ไปธุระ ข้ำงนอก เดี๋ยว👉ลบ
เดินมาเหมือนจะมองหาอะไรรองท้องในร้าน ลูกจ้างสาวสายตาสอดส่อง เหมือนพยายามจับพิรุธ เลาะห์ตามค้าสั่งของเจ้านาย
พลันได้ยินเสียงมอไซด์เข้ามาจอดหน้าร้าน พร้อมตะโกน โดยยังไม่ทันมองเข้ามาในร้าน
มีน : ป้ำเอำมำม่ำสอง👉่อ ไข่ และกระทิงแดง 1 ขวด
คนงานสาว ขานเสียงมีน พร้อมลุกขึ้นจากงานที่ท้าอยู่ เพื่อไปหยิบตามที่มีนสั่ง
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : สะกิดเลาะห์เมื่อเห็นมีนจอดมาซื อของ
เลำะ👉์ : เอ้ำไอ้มีน 👉ลบมำอยู่บ้ำนตั งแต่เมื่อไ👉ร่ละ มีน: สองวันแล้ว
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : นี่เค้ำใ👉้มึงออกมำได้แล้วรึ เลำะ👉์ : พันพรือมั งอะ
มีน: อืม...(แสดงสี👉น้ำไม่ดีเท่ำไ👉ร่ นอกแนวเบื่อๆ)
จังหวะเดียวกันนั้นมีรถของมอเตอร์ไซด์ของสองแม่ลูก (ฟาเดีย) เข้ามาจอดหน้าร้านพอดี ลูกสาวลง จากรถ เห็นมีนและเลาะห์ยืนคุยบกันก็เลย ทักอย่างสนิทสนม
ฟำเดีย : พมีน 👉ลบมำแล้วเ👉อ
มีนพยักหน้าแทนค้าตอบ สาวเจ้าของเสียงและเลาะห์ก็ดูแปลกใจความพฤติกรรมของมีน ที่ไม่สดใส เหมือนเดิม ขณะเดียวกับที่เจ้าสาวคนงานเอาของที่มีนสั่งออกมาให้พอดี
สำวคนงำน : เอำไ👉รนุ้ย ฟำเดีย : แฟ้บ👉่อกลำง 👉่อนึงค้ำ
สาวคนงานรับเงินจากมีน พร้อมทั้งก้าลังเดินไปหยิบผงซักฟอกให้ฟาเดีย ฟาเดียก็ได้จังหวะ ชวนมีน คุยต่อ
ฟาเดีย : พบำยดีนะ แล้วนี่อี👉ลบมำแล้วเรียน👉ลำว👉ม้ำย
มีนเห็นสายตาที่ดูตื่นเต้นของเด็กสาวที่มองตน แต่พลันหันไปมองเห็นมารดาของฟาเดีย มองตาแข็ง บนรถมอเตอร์ไซด์ที่รออยู่ ก็ไม่ได้ตอบออะไรออกไป เดินหนีทั้งฟาเดีย และเลาะห์เพื่อไปยังมอเตอร์ ไซด์ แต่ยังไม่ทันสตาร์เครื่อง เลาะห์รีบตะโล่หลัง อย่างไว
เลำะ👉์ : บ่ำยนี มันว่ำง👉ม้ำย กูว่ำจะไปบ้ำนอีกีตำร์
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน เดินมาพยักหน้า เหมือนรู้ว่า ก้าลังคุยเรื่องอะไรกันอย
เลำะ👉์ : โ👉มนั นกะคงอยำกเจอเมิง แวะไป👉ิดตะ
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน ท้าหน้าเร้ารบให้มีนไป ตามนัด
มีน: อือ..แลก่อน
มีนตาร์รถออกไป โดยที่ผ่านหน้าแม่ของฟาเดีย โดยพยายามไม่มองสายตาแม่ฟาเดีย ที่มองตนอย่างที่ ไม่ชอบใจนัก
สาวคนงานเอาฝงซักฟอกมาให้ฟาเดีย พร้อมรับเงิน ส่วนฟาเดียรับของเสร็จ มองหน้าเลาะห์แล้วขึ้น มอเตอร์ไซด์แม่ที่สตาร์เครื่องรออยู่
แม่ฟำเดีย : ยังอีไปคุยกับมันเ👉ลยนะ ฟำเดีย : ฮำม๊ะ อย่ำบ่นแรงติ
เลาะห์กับเหตุการณ์เมื่อกี้ แต่ก็ยืนเดินอารณ์ดี หันมาหยิบน้้าโค้กออกจากตู้เย็น แล้วเดินไปหยิบกาแฟ ส้าเร็จรูปจ้านวน 3-4 ซอง เพื่อเดินกลับไปยังห้องตนเอง แอบมองพฤติกรรมตลอด เลาะห์เห็นสายตา สาวใช้ เลยหันไปชี้หน้าด้วยข้อศอก และเอ็ดสาวใช้
เลำะ👉์ : อย่ำเอำไปฟ้องม๊ะ 👉ลำวฮั น
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน เดินมามองสาวขายของ แล้วก็หยิบถุงน ้าแข็งเดินตามพี่ขาย
แล้วหันไปท้านิ วบาดคอใส่สาวคนขายของ
......................................................................................................................................................
ฉากที่ 4 ฉากขน้าร้างในสวนยางใกล้กับสวนของกีต้าร์
เลาะห์ ชัย และน้องของเลาะอีก 1 คน นั่งสุม กึ่งนั่ง กึ่งนอนกัน ส่วนหนึ่งของเล่นมือถือ เปิดเพลงฟัง เล่นเกม พร้อมมีเสียหัวเราะ ตลอดเวลา
มีนเดินสาวเท้าเข้ามาแบบเงียบ เลาะห์มองเห็นจึงร้องทักก
เลาะห์์ : เฮ้ย..👉ลบๆ พระเอกของเรำมำแล้ว
มีนพนักหน้า แต่ไมได้มีอาการดีใจกับการได้เจอเพื่อนแต่อย่างใด
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : ยังมำถูกนะพี่
เลำะ👉์ : นึกว่ำจะไม่คบโ👉มเรำแล้ว ชัย : มำถูกแต่มำช้ำ 👉มด👉ม้อละ
ทุกคนเห็นสีหน้า และน้้าเสียงของมีน ดูนิ่งและเศร้า จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
ชัย : แล้วนี่ เมิงอี👉ลบมำอยู่บ้ำนเลย👉ม้ำย มีน : อืม...ม๊ะ ไม่มีคนช่วย
ชัย : เสียใจด้วยนะเรื่องป๊ะ เมิงอะ มีน : อืม...
เลาะห์เป็นบรรยากาศไม่ดี มองไปในหม้อมีน้้าสีน้้าตาลอยู่นิดหนึ่ง ก็ตัดความเงียบขึ้นมา
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน :อีเ👉ลืออยู่นิดนึง (ตะแคงหม้อดู พร้อมตัก)
เลำะ👉์ : เอำซักแก้ว👉ม้ำย (กระชำกมำจำก นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน )
มีน : เอำเลยเพื่อน กูตั งใจมำ👉ำโ👉มสู มำกกว่ำ
มีนมองบรรยากาศรอบๆ พาลให้นึกถึงภาพที่พ่อเคยมาวิ่งไล่ตนกับเพื่อนๆ ที่นี่
มีน : กูนึกว่ำ กู👉ำยไปนำน นึกว่ำ👉น้ำนี อีถูกรื อไปละ
เลำะ👉์ : เขำ มำรื อไป👉ลำย👉นแล้ว
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : : แต่รื อแล้ว โ👉มเรำก็ซ่อมใ👉ม่👉ลำว รื อๆ ซ่อมๆ
เลำะ👉์ : จนเขำมันขี คร้ำนอีมำรื อละ สุดท้ำยกะใ👉้ครูนุ มำจับไปเลิกนั่นแ👉ละ เลำะ👉์ : นี่กู ก็เพิ่งกลับมำอยู่บ้ำนได้ 2 อำทิตย์แล้ว ก็เลยมำซ่อมใ👉ม่👉ลำว นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : : จน👉นนี เขำขี คร้ำนตำมแล้ว
เลาะห์ท้าหน้าเหมือนก้าชัยชนะ
ชัย : คนเฒ่ำนะ ท้ำเ👉มือนกับไม่เคยเป็นวัยรุ่น โปก็บอกว่ำรุ่นพ่อโ👉มเรำ ก็กินกันแข็ง ชัย : พอยังโ👉มเรำ👉รอก ถึงได้เลิก พอถึงครำวโ👉มเรำท้ำมั ง แต่👉้ำมกันอีตำยนิ
เลำะ👉์ : สู้ม๊ะกูกะไม่ได้ ไม่เคย👉้ำม ชัย : ไม่👉้ำม 👉รือว่ำไม่รู้
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : ไม่รู้
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชนท้าหน้ากวนบาทา ใส่พี่ชาย
เลำะ👉์ : แค่ท่อมนะ ไปได้ท้ำไ👉รใคร ยันแล้วกะนอน ไม่เป็นภำระของสังคมครับผมมมม ชัย : ถ้ำเมิงไม่คิดพันนั น เพรำะ เมิงกะยัง👉ลบมำกินอีก
เลำะ👉์ : กิน ใ👉้นอน👉ลับสบำยยยยย
นักแสดงเด็กที่เพิ่มมาจากชุมชน : : นอนบำยตรงไ👉นเมิงอะ เมิงดีดเปรดอยู่ทั งคืน ไม่👉ลับ ไม่นอน ชัย : 👉มัน บำงคืนกูชวนตีป้อมก็ไม่ตอบกู ไอ้ควำย (👉ันไปด่ำเลำะ👉์)
มีนดูเพื่อนๆ โต้เถียง ด้วยใบหน้าเอือมระอา
มีน : กูว่ำ กู👉ลบก่อนดีกว่ำ
ชัย : อ้ำว เขบจัง เพิ่งมำไม่ใช่เ👉อ
มีน : ตอนเช้ำ กูต้องลุกขึ นตัดยำงตัวรุ่ง👉ลำว
ระหว่างที่จะเดินกลับ มีนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันมาคุยกับเพื่อนๆ
มีน : กูรู้ว่ำกำรกินทอม มันไม่ได้ฆ่ำใครตำย ถ้ำโ👉มเมิง เลิกได้ กะเลิกตั งแต่ตอนนี ดี👉วำนะ จะได้ไม่ เป็นเ👉มือนกู
เพื่อนๆ หันมองหน้ากัน เหมือนจะงงกับพฤติกรรมของมีน แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเค้าเจออะไร มาบ้าง จากที่ห่างออกจากกลุ่มไปเป็นปี แต่ก็กลับไปคุยสนุกๆ สนานๆ กันเหมือนเดิม
.........................................................................................................................................
ฉากที่ 5 ฉากสวนยางของมีน
มีนก้าลังเร่งกรีดยาง เพื่อให้ทันเวลา เพราะเห็นว่าสายมากแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเวลาที่จะเอาน้้ายางไป ส่งให้พ่อค้าคนกลางในหมู่บ้าน เค้ามองแสงแดดที่ส่องรอดใบยางมาที่ตัวเขา จนรู้สึกแสบตา และร้อน
ทันใดก็รู้สึกเหนื่อยล้า และก้าลังหยิบใบไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ขนาดที่มองไปที่ใบไม้ ภาพในอดีตของเค้ากับพ่อก็พลันเข้ามาในหัว
เป็นภาพที่เขาเป็นเด็กน้อย และพ่อก้าลังจะออกจากจากบ้านไปสวน แต่ทันใดพ่อก็หยิบใบไม้อย่าง หนึ่งขึ้นมาเคี้ยว
มีนวัยเด็ก : อะไ👉ล อะพ่อ
พ่อมีน : ยำวิเศษ กินแล้วจะมีก้ำลังวังชำ ท้ำงำนได้ไม่เ👉น็ดไม่เ👉นื่อย มีนวัยเด็ก : ไ👉นมีนกินมั งติ
พ่อมีน : เป็นเด็กเป็นเล็กเค้ำไม่ต้องกิน👉รอก
มีนวัยเด็ก : เอ้ำ...มีนจะได้มีแรงเรียน👉นังสือ แล้วเอำแรงไปสอบท👉ำร พ่อกับแม่ จะได้สบำย
พ่อหันมายิ้มกับความคิดของเด็กน้อย
พ่อมีน : มันของไม่ดี มีนวัยเด็ก : ไม่ดี เ👉็นพ่อยังกิน
พ่อมีน : มันไม่ดี ส้ำ👉รับคนเรียนสูงๆ แต่ส้ำ👉รับโ👉มชำวสวนแบบพ่อ ไม่พรือแ👉ละ เรื่องชั่วๆ ใ👉้👉มด แต่รุ่นพ่อ ตะ อย่ำใ👉้ตกถึงรุ่นลูกเลย
เด็กน้อยมองหน้าพ่อแบบงงๆ ไม่เข้าใจสิ่งที่พ่ออธิบายนัก แต่ผู้เป็นพ่อไม่ปล่อยให้ลูกชายซัก พ่อ ลูบหัวลูก เป็นจังหวะที่แม่ของมีนเดินลงจากเรือนมาพอดี
แม่มีน : ไปพี่
แม่มีน : มีนอยู่บ้ำนเถ นะลูก มีน : ครับแม่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมีน สีหน้ามีนเหมือนจะมีน้้าตาซึมออกมา กลับขย้าใบไม้สีเขียวในมือทิ้ง พร้อมกับฝัง ไว้ในก้อนหินในสวนยาง ขณะที่เขาก้าลังจะก้ามือตัดยาง เพื่อแซะร่อนยางต้นถัดไป เสียงถังน้้ายางของ คนที่อยู่ห่างจากเขาไม่มาก ก็ล้มลง มีหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น
มีน : แม่ (เสียงตกใจ)
มีเดินเข้าไปประคองแม่ของเค้าที่เป็นลม ล้มลงพร้อมทั้งน้้ายาง แต่แม่ของเขาพยายามพยุงตัวเอง ขึ้นมา แล้วรีบไปคว่้าจับถังน้้าแม่ ไปพักก่อนต๊ะ เดี๋ยวมีนจัดกำรเอง
แม่ : แต่มันไม่ทันแ👉ละมีน ป่ำนนี แล้ว
มีน : ไม่พรือ ได้แค่ไ👉นกะแค่นั น ไม่ทันเรำค่อยขำยขี มัน
แม่ท้าทางเหมือนไม่ยอม แต่มีนท้าหน้าดุใส่ แม่เลยยอมท้าตาม ออกไปนั่งพักใต้ร่มไม้ใกล้ๆ มีน หลังจากเก็บถังวาง มีนก็กลับไปกรีดหน้ายางของตนต่อไป พร้อมกับช้าเลืองผู้เป็นมารดา ที่นั่งเหม่อ ท้าให้เขาคิดถึงภาพเมื่อ 1 อาทิตย์ก่อนที่ข้าวของมายืนอยู่ตรงนี้
มารดาไปเยี่ยมเขาดูสีหน้าที่อมทุกข์ สายตาแดงก่้า เหมือนเพิ่งผ่านการร้อนไห้มาทั้งคืน ทันที่ ที่เห็น มีนมารดาก็ถึงกับกลั่นน้้าตาไม่อยู่ แต่ก็พยายามกลั้นไว้ แต่มีนก็มีสีหน้าเรียบเฉยๆ เพราะเคยชินกับ ภาพตรงหน้ามาหลายครั้งละ
มีน : แม่
แม่ : บำยดีไ👉มมีน
มีน : อืม ก็เ👉มือนเดิม
แม่ : ..................................
แม่ : อำทิตย์👉น้ำกะได้ออกแล้ว เดี๋ยวม๊ะค่อยมำรับ
มีน : อืม (เสียงตอบในล้ำคอ โดยไม่ได้มอง👉น้ำผู้เป็นแม่ เพรำะกลัวตัวเองจะกลั นน ้ำตำไว้ไม่ไ👉ว ) มีน : งำนศพพ่อพันพรือมั ง
แม่ : เรียบร้อยดี (แม่ปำดน ้ำตำ ในขณะที่มืออีกข้ำงมือลูกชำยไว้แน่)
มีนไม่มีอาการใดๆ มือที่มือจับนั้น นิ่งเฉย แต่มืออีกข้างกลับก้ามือไว้ และพยายามเก็บอาการ เพื่อ ไม่ให้ผู้เป็นแม่เห็น
มีน : แล้วแม่มำพรือ วันนี
แม่ : ติดรถเค้ำมำ เดี่ยวกะกลับกับเขำนี่แ👉ละ
แม่ยังคงปากน้้าตา นึกถึงสามีที่เพิ่งเสียไปเมื่อครู่ ขณะที่อีกมือพยายามจะพยายามเข้ามาลูบหัวลูก ชายคนเดียวที่มีเหลืออยู่ แต่มันกลัวจะเก็บอาการไม่อยู่ มีขยับตัวออก พร้อมปล่อยมือแม่
มีน : มีนต้องเข้ำไปละ ม๊ะกลับดีๆ นะ มีนรีบลุกขึ้นก่อนที่น้้าตาจะไหลออกมาให้ผู้เป็นแม่เห็น แต่แม่กลับเรียกไล่หลัง แม่ : มีน..........
มีนหยุดชะงักตามเสียงแรก แล้วนิ่งเงียบ
แม่ : ..........
มีน : แม่ไม่ต้อง👉่วง มีนสัญญำ ว่ำเรำจะไม่ได้มำที่นี่อีกแล้ว
ภาพตัดมาที่มีนก้าลังตื่นจากภวังค์จากมองหน้าแม่ของเค้า เค้าคิดได้ ตนจะมามัวทุกข์ เหมือนอย่างแม่ ของเขาไม่ได้ ว่าแล้ว มีก็ต้องกลับไปตัดยางต่อให้ก่อนที่จะสายไปกว่านี้
.........................................................................................................................................
ฉากที่ 6 ภาพที่ประชุมอยู่บ้าน
ภาพชาวบ้านก้าลังนั่งรอการประชุมอยู่ ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาทักทาย พร้อมกับจับไมค์คุยกับ
ชาวบ้าน
ผู้ใ👉ญ่ : เอำมำกันแล้ว กะนั่งๆ ฟัง กันซักนิด วันนี นอกจำกเรื่องประชุมที่ทำงกำรเค้ำใ👉้มำเรียนแจ้ง ผมก็มีเรื่อง จำกมำแ👉ลงกับเรำกันซัก👉ิด
จังหวะเดี่ยวกับที่มีนและแม่เดินเข้ามาใน ที่ประชุม มีนส่งสัญญาณให้แม่เข้าไปนั่งกับกลุ่มชาวบ้าน ชาวบ้านบางส่วนก็มอง บางส่วนก็มีซุบซิบ บางส่วนก็มองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกคนต่างพาสงสัยว่า ผู้ใหญ่จะมีให้มีนมาคุยในฐานะอะไร
ผู้ใหญ่ควักมือเรียกมีนเข้าหน้าสถานประชุม
ผู้ใ👉ญ่ : นี่ไม่ต้องแนะน้ำตัวกันมำกนะ อำมีน ลูก👉ลำนบ้ำนเรำ ลูกบังยี กับแม๊ะยะ เรำก็รู้เรื่องของ บ้ำนนี กันดีนะ
ผู้ใ👉ญ่ : วันนี อำมีนเค้ำมีเรื่องจะมำขอบคุณโ👉มเรำ ที่ช่วยเรื่องงำนศพป๊ะเค้ำ ผู้ใ👉ญ่ : เอำเลยลูกบ่ำว
มีจับไมค์พร้อมทั้งพูดทักทายทุกคน
มีน : ผมและแม่ต้องขอขอบคุณทุกๆ ที่มำช่วยงำนพ่อผม รวมถึงผู้ใ👉ญ่ที่เป็นธุระใ👉้ จริงๆ ผมกับพ่อ กะไม่มีอะไรตอบแทนใ👉้
มีน : ก่อนผมกะคิดนะครับว่ำ แค่กินท่อมมันอีเดือดร้อนอะไร เรำไม่ได้ไปฆ่ำใครตำย ยันแล้วกะ👉ลับ ใครๆ ที่ไ👉นเคำกะกินกัน
มีน : ตอนพ่ออยู่ พ่อผม👉้ำม ผมกะไม่เชื่อ
มีน : เพรำะพ่อจะมำ👉้ำมไ👉รผม ในเมื่อพ่อทั งดื่มทั งเคี ยว
สีหน้าชาวบ้านเริ่มมองและเข้าใจในสิ่งที่มีนพยายามสื่อสาร
มีน : แต่ว่ำวันนี ไม่มีพ่อแล้ว เ👉ลือแต่แม่ ผมเ👉็นแล้วว่ำ ทุกอย่ำงที่ผมท้ำ ท้ำใ👉้พ่อ กับแม่ล้ำบำก
มีนมองหน้าที่นั่งฟังลุกชายด้วยสีหน้าเศร้า
มีน : ถ้ำผมเ👉มือนพ่ออีกคนนึง👉ลำว ผมไม่รู้เลยว่ำแม่ จะอยู่พรือ
มีน : ผมรู้เด็กๆ ใน👉มู่บ้ำนเรำ ไม่ได้อยำกติดท่อม 👉ลำยคนกะอยำกเลิก แต่ผมอยำกใ👉้พ่อๆ แม่ ๆ เข้ำใจ และคุยกับเรำตรงๆ ไม่ใช่ดุ และสั่งใ👉้ท้ำ
มีน : ผู้ใ👉ญ่แต่ละคนกะเคยผ่ำนอำไ👉ร ที่ไม่ดีมำก่อน เ👉มือนป๊ะของผม เลยไม่อยำกใ👉้เรำเป็นแบบ นั น แต่วันนี เพรำะเรำคือเด็ก เรำอำจจะผิดพลำดกันได้ ดังนั นกำรแก้ปัญ👉ำของเรำ จึงจ้ำเป็นต้องใ👉้ ผู้ใ👉ญ่ช่วยกันแก้อย่ำงเข้ำใจ ถ้ำผู้ใ👉ญ่พร้อมใ👉้โอกำส เรำก็พร้อมปรับปรุงตัว
ภาพกล้องอ้อมหลังของมีนไป กลายเป็นหลังของมีน ที่ใส่ชุดนักเรียน ข้างหน้าของมีนเป็นกลุ่ม นักเรียนคนอื่นๆ ที่นั่งฟังเขา
มีน : ถึงแม้ผม ไม่ใช่นักเรียนดีเด่น แต่ขอบขอบคุณ โรงเรียน คุณครู ผู้ใ👉ญ่บ้ำน สถำนบ้ำบัด ทุกคนใน
👉มู่บ้ำน และทั งแม่ เป็นคอยเป็นก้ำลังใจใ👉้ผม ผ่ำนจุดแย่ๆ มำได้ (ส้ำเนียงกลำง)
มีน : ไม่มีใครที่จะไม่รักตัวเอง ถ้ำเรำอยู่มันไม่ได้ท้ำร้ำยตัวเอง แต่ ท้ำมันท้ำร้ำยคนอื่นๆ ด้วย ผมคิด เรำควรรู้ว่ำ ควนท้ำอย่ำงไรกับมัน (ส้ำเนียงกลำง)
มีน : ขอบคุณครับ
ครูนุ : (ปรบมือเพื่อนใ👉้ นร. คนอื่นๆ ปรบมือใ👉้มีน)
นักเรียนคนอื่นๆ พากันปรบมือ สีหน้าของครูนุ และเพื่อนๆ ของมีนดูภูมิใจในตัวมีนมาก มีนหันไป มองหน้าของแม่ที่นั่งอยู่ท้ายห้อง สีหน้าของแม่เหมือนจะร้องไห้ แต่กลับเป็นการร้องไห้ดีใจ ที่ได้ลูก ชายคนใหม่กลับมา