Documentary Research) 2) การวิเคราะห์เน้ือหาสารเชิงคุณภาพ (Qualitative Content Analysis)
สัญญะของเพลงกบ
การสะท้อนอต
ลกษณ์และอต
xxxท
น์ของผู้xxxxxxx
xxxx xxxxxxxxx
วทยาxxxxxxxxเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลกสตู ร
ศิลปศาสตรมหาบัณฑต (นิเทศศาสตร์และนวตกรรม)
คณะนิเทศศาสตร์และนวตกรรมการจดการ สถาบันบัณฑตพฒนบริหารศาสตร์
2559
บทคดย่อ
ชื่อวท
xxxxxxxx xxxxxของเพลงกบ
การสะทอ
นอตลก
ษณ์และอต
xxxทศ
น์ของ
ผxxxxxxx
ชื่อผู้เขียน นางสาวปริณ xxxxxxxxx
xxxxxxxxxx xxxxxxxxxxxxxxxxx (นิเทศศาสตร์และนวตกรรม)
ปี การศึกษา 2559
การศึกษาน้ีมีวต
ถุประสงคเ์ พ่ือ 1) ศึกษารูปแบบการสื่อสารของเน้ือหาเพลงxxxxxxxx
xxโดย
ผูx
xxxx
xxเพลงแบบสมย
xxxxและแบบทางเลือกอน
สะทอ
นถึงอตลก
ษณ์ของผูx
xxxx
xxท้ง
สอง
ท่าน 2) ศึกษาความแตกต่างระหวา่ งอตลก
ษณ์ท่ีถูกคน
พบในรูปแบบการส่ือสารของเพลงกบอต
xxxทัศน์ที่ผูx
xxxx
xxมองตนเอง 3) ศึกษาปัจจัยท่ีส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานเพลงของ
ผูx
xxxxxxx โดยผูว
ิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูล 3 ข้ันตอน คือ 1) การวิจัยเชิงเอกสาร
(Documentary Research) 2) การวิเคราะห์เน้ือหาสารเชิงคุณภาพ (Qualitative Content Analysis)
โดยการวเิ คราะห์เน้ือหาเพลง และ 3) xxxxxxxxxxxxxxxลึก (Indepth-Interview) จากผูx
xxxx
xxxxxx
ผxx
xxxxxร่วมงานกบ
ผปู
ระพน
ธ์เพลง และบุคคลผมู
ีxxxxxxxหรือxxxxxxxxxในxxxxxเพลงไทย
ผลการศึกษาเกี่ยวรูปแบบการส่ือสารผ่านเพลงxxxxxxxx
xxโดยผูx
xxxx
xxxxxxxxx
xxxx
(Q1) พบวา่ เพลงxxxxxร
ับการยอมรับและเป็ xxxxxxxxส่วนใหญ่จะมีแก่นเรื่องเก่ียวกบ
ความรัก ดา˚ เนิน
เรื่องโดยบุรุษที่หน่ึงซ่ึงเป็ นตว
ละครส˚าคญ
ในเรื่องเป็ นผูเ้ ล่า โดยเพลงxxxxxxxxxเรื่องเกี่ยวกบ
ความรัก
ในเชิงบวกจะมีการวางโครงเรื่องครบองคป
ระxxx xxxxxxxxxxxxxxxxxเร่ืองเกี่ยวกบ
ความรักในเชิง
เศร้าจะขาดข้น
ภาวะคล่ีคลาย และเพลงxxxxxxxxxเร่ืองเกี่ยวกบ
ความรักในเชิงสนุกสนานจะขาดข้น
ภาวะคลี่คลายและข้น
ยติเร่ืองราว ซ่ึงกลุ่มคา˚ ที่ถูกนา˚ มาใช่บ่อยที่สุด ไดแ
ก่ รัก หว
ใจ xxxxxx xxxx และ
หวง ในขณะที่รูปแบบการส่ือสารผ่านเพลงxxxxxxxx
xxโดยผูx
xxxx
xxเพลงทางเลือก (Q2) มีการ
ดา˚ เนินเรื่องโดยผูx
xxxx
xxในฐานะเป็ นผูร้ ู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างเป็ นผูเ้ ล่าในเพลงxxxxxxxxxเรื่อง
เก่ียวกับความรัก แนวคิด และการทา˚ งาน และมีการดา˚ เนินเรื่องโดยบุรุษที่หน่ึงซ่ึงเป็ นตวละคร
สาคญ
ในเรื่องเป็ นผxxx xxxในเพลงxxxxxxxxxเร่ืองเกี่ยวกบ
ความรักในฐานะท่ีผxxx xxxเป็ นผกู
ระทา˚ และหรือ
ถูกกระทา˚ เอง ซ่ึงเพลงxxxxxxxxxเร่ืองเก่ียวกบ
(4)
ความรักมีการวางxxxxxxxxxxxxxครบองคป
ระกอบ โดยจะ
ขาดข้น
ภาวะคล่ีคลายในเพลงท่ีปัญหาความขด
แยง้ ต่างๆ ไม่มีการเปิ ดเผยหรือxxxxxxxxxxx และขาด
ข้นพฒ
นาเหตุการณ์ในเพลงท่ีไม่มีการxxxxxปมปัญหาความขด
แยง้ ของตว
ละครให้เขมขน
ข้ึนเพื่อ
พฒนาเหตุการณ์สู่ข้น
ต่อไป ในส่วนของการใชคา
ส˚าหรับเพลงรักคา˚ ท่ีพบบ่อยคือคา˚ วา
“รัก” xxxx
xxxxxxxxxxxxxเรื่องเกี่ยวกบ
แนวคิดและเพลงxxxxxxxxxเรื่องเก่ียวกบ
การทา˚ งาน มีการสอดแทรกคา
ภาษาองั กฤษลงไปในเน้ือร้องและวิจารณ์ส่ิงต่างๆ อยา่ งตรงไปxxxxx ท้งั น้ีรูปแบบการสื่อสารผา่ น
เพลงxxxxxxสะทอ
นอต
ลกษณ์ของผูx
xxxx
xxxxx กล่าวคือ จากเน้ือหาของเพลงxxxxxxxx
xxโดย
ผxxxxxxxเพลงสมยxxxx (Q1) สะทอ
นให้เห็นวา
Q1 เป็ นบุคคลที่มีความxxxxxxเพื่อให้ส˚าเร็จตาม
เป้าหมาย แต่มีxxxxxxเปราะบางในสถานการณ์เคร่งเครียด ชอบการแสดงออก กระหายความ
ตื่นเตน
ชอบxxxส่ิงใหม่ มีความxxxxxxxxxxxคลอ
ยตาม พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และจด
อยู่ในประเภทของบุคคลที่มีแนวคิดแบบสมยใหม่ (Modernism) ในขณะที่เนื้อหาเพลงxxxxxxxxxx
โดยผูx
xxxx
xxเพลงทางเลือก (Q2) สะทอ
นให้เห็นวา
Q2 เป็ นบุคคลที่มีความซาบซ้ึงในศิลปะและ
ความสวยงามของxxxxx เปิ ดเผยความรู้สึก เห็นคุณค่าของxxxxxxดา้ นต่างๆ ชอบความหลากหลาย
ทดลองส่ิงใหม่ๆ มีการแสดงออกตรงไปxxxxx มีความเป็ นตว
ของตว
เองสูง รักxxxxx และมีความ
เป็ นผูนา
ยอมรับการเปลี่ยนแปลง รับฟังความคิดเห็นของผูอ
ื่น และจด
xxxใ่ นประเภทของบุคคลที่มี
แนวคิดแบบหลงั สมยั ใหม่ (Postmodernism) นอกจากน้ีจากผลการศึกษายงั พบว่าปัจจย
ภายในที่ส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่
แตกต่างกน
ของผูx
xxxx
xxxxxxxxx
xxxx (Q1) และผูx
xxxx
xxเพลงทางเลือก (Q2) ไดแ
ก่ 1) ภูมิ
หลง
ครอบครัว 2) ประสบการณ์ การศึกษา และ ความรู้เฉพาะทาง และ 3) ทศ
นคติ และแรงจูงใจ
ในขณะที่ปัจจยั ภายนอก ไดแ
ก่ 1) การสนบ
สนุนเชิงนโยบายของภาครัฐและธุรกิจ 2) ความคาดหวง
ของผบรโภคิ และ 3) ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยและสังคม
ABSTRACT
Title of Thesis The Reflection of Music Semiology toward Songwriters’
Identities and Self-Concepts
Author Miss Xxxxx Xxxxxxxx
Degree Master of Arts (Communication Arts and Innovation)
Year 2016
This study aims to 1) study the formats of communication in lyrics which are composed by popular music songwriter and alternative music songwriter to reflect their identities and self- concepts 2) study the differences between found identities from songwriters’ formats of communication and their self-concepts 3) study factors which effect to songwriters’ creativity of composing. The study conducted by documentary research, qualitative content analysis in lyrics, and indepth-interview with songwriters, their colleagues, and influencers or professionals in Thai music industry. This study could be concluded that;
1) Most famous songs of popular music songwriter are about love song proceeded by leading actor in that story. Positive love songs have complete storyline structure while negative love songs miss falling action stage and joyful love songs miss falling action and ending stage. In addition, the most found words of his love song are “love”, “heart”, “miss”, “concern about someone”, and “jealous”. Unlike popular music songwriter, famous songs of alternative music songwriter are variety. Love, idealism, and power theme are proceeded by observer who are intimate in that story. However, some love song is proceeded by leading actor who are most affected in the story. Moreover, love song contains incomplete storyline structure; miss falling action stage in undiscovered problem story and raising action stage in no adding conflict story. The study still found that the most used word in love song of alternative music song writer is “love” while idealism and power song use both Thai and English in lyrics and criticize everything straightforwardly.
(6)
2) The analysis of lyrics reflected that popular music songwriter sets high goal and strive to achieve it, stays with fragile mood in stressful situations, likes to express, thirsts for excitement, likes to try new things, compromise, readies for change all the time, and be modernism person while alternative music songwriter appreciates the art and beauty of music, reveals feelings, values every emotions and diversity, likes to try new things, express straightforwardly, be independent, acts as leadership style, opens mind, and be postmodernism person
3) Internal factors which effect to songwriters’ creativity of composing are family background, education, experience, specialized knowledge, attitude and motivation while external factors are government and business policy supports, customers’ expectations, and technological and social changes.
กตตกรรมประกาศ
การวิจย
คร้ังน้ีส˚าเร็จลุล่วงไปไดด
วยดี ดว
ยความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ ดร.xxxxxxx ลทธิ
พงศพ
นธ์ อาจารยท
ี่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ซ่ึงท่านไดใ้ ห
า˚ ปรึกษา ช้ีแนะในการทา˚ วิจย
และการแกไข
จุดบกพร่อง อีกท้งั ยงั แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ท่ีนอกเหนือจากการทา˚ วิจย และขอขอบคุณ
ท่านคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ผศ.ดร.อศ
วิน xxxxxxธ์ิแก
และ ผศ.xx.xxxxxxxx xxxxxx
xxxx ในการใหค
า˚ ช้ีแนะ ขอ
ควรปรับปรุงแกไ
ข เพื่อใหไ
ดง้ านวจ
xx xxxxxxxxxxและมีคุณภาพ
ท้งั น้ีงานวจ
ยั xxxxxxxxxxx˚ เร็จมิไดห
ากขาดองคค
วามรู้ทางดา้ นนิเทศศาสตร์และนวต
กรรมจาก
ท่านคณาจารย์ คณะนิเทศศาสตร์และนวตกรรมการจัดการ รวมถึงความช่วยเหลือและแรง
สนบ
สนุนจากครอบครัว เจา้ หนา้ ที่ในคณะนิเทศศาสตร์และนวต
กรรมการจด
การ และเพื่อนๆ ใน
สถาบนบณ
ฑิตพฒ
นบริหารศาสตร์ xxxxxxใหค
า˚ ปรึกษา และเป็ นกา˚ ลงั ใจตลอดมา
xxxx xxxxxxxxx มิถุนายน 2560
สารบัญ | ||
หน้า | ||
กติ ติกรรมประกาศ | (7) | |
สารบัญ | (8) | |
สารบัญตาราง | (10) | |
xxxxxxxxx | (11) | |
1.1 ความเป็ นมาและความสาค | 1 |
1.2 xxxxxxxxxxxx 6
1.3 วตถุประสงคในการวจย 7
1.4 ขอบเขตการวจย 7
1.5 นิยามคา˚ ศพท์ 7
1.6 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับ 8
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวจัยทเกยวของ้ 9
2.1 อตลกษณ์และอตxxxทศน์ของxxxxxxxxxxx 9
2.2 xxxxxxxxxxยั ใหม่และหลงั สมยั ใหม บxxxxxxxxxxxและสังคมมวลชน 19
2.3 การสื่อสารของxxxxxxxxxxx 26
2.4 สัญวทยาและการxxxxxxxxxx 34
2.5 ผปู
ระพน
ธ์เพลงกบ
ความคิดสร้างสรรค์ 40
2.6 งานวจ
ยั ที่เกี่ยวขอ
ง 49
2.7 กรอบแนวคิดการวจย 51
บทที่ 3 วธีด˚าเนนการวิิ จัย 52
3.1 ข้น
ตอนที่ 1 : การวจ
xxxxxxxxxxx (Documentary Research) 52
3.2 ข้น
(9)
ตอนท่ี 2 : การวเิ คราะห์เน้ือหาสารเชิงคุณภาพ (Qualitative Content 53
Analysis)
3.3 ข้นตอนที่ 3 : xxxxxxxxxxxx xxxลึก (Indepth-Interview) 56
4.1 การวเิ คราะห์ส ญะของการเล่าเรองื่ ในเพลง 60
4.2 สรุปรูปแบบการสื่อสารของเพลงxxxxxxxxxxโดยผx
xxxx
xxxxxx 166
สมยxxxx (Q1) และผxxxxxxxเพลงทางเลือก (Q2)
4.3 อตลก
ษณ์ของผปู
ระพน
ธ์ที่สะทอ
นผา่ นรูปแบบการสื่อสารของเน้ือหาเพลง 173
xxxxxxxxxxโดยผปู ระพนธ์เพลงสมยxxxxและเพลงทางเลือก
บทที่ 5 ผลการวจ
ัยปัญหาน˚าวจ
ัยข้อที่ 2 177
5.1 การวเิ คราะห์อต
ลกษณ์จากรูปแบบการสื่อสารผา่ นเพลงกบ
อตxxxทศ
น์ใน 177
การมองตนเองของผปู
ระพน
xxxxxxxxxxxxx (Q1)
5.2 การวเิ คราะห์อต
ลกษณ์จากรูปแบบการส่ือสารผา่ นเพลงกบ
อตxxxทศ
น์ใน 180
การมองตนเองของผปู
ระพน
ธ์เพลงทางเลือก (Q2)
บทที่ 6 ผลการวจ
ัยปัญหาน˚าวจ
ัยข้อที่ 3 184
6.1 ปัจจยั ภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการสร้างสรรคผ
ลงานของผปู
ระพน
xxxxxx 184
6.2 ปัจจยั ภายในที่ส่งผลต่อการสร้างสรรคผ สองท่าน
ลงานของผปู
ระพน
xxxxxxxxx
191
บทที่ 7 สรุปและอภิปรายผลการวจัย ขอ้ เสนอแนะ 195
7.1 สรุปและอภิปรายผลการวิจย 195
7.2 ขอเสนอแนะ 198
บรรณานุกรม 200
ภาคผนวก 208
ภาคผนวก ก ประวต
ิของผใ้ หส
ัมภาษณ์โดยสังเขป 209
ภาคผนวก ข บทxxxxxxxxxxxxลึกผปู
ระพน
ธ์เพลง ผรู้ ่วมงาน และบุคคลที่มี 211
ประวต
xxxxxxxต่อxxxxxเพลงในประเทศไทย
ิผู้เขียน 260
ตารางที่ หน้า
2.1 เปรียบเทียบลก
ษณะความสา˚ คญ
ของวฒ
นxxxxxxx
นา˚ และวฒ
นxxxxxxx
สูง 24
2.2 แสดงประเภทสัญญะตามทศนะของ Peirce 37
3.1 ตารางลงรหส (Coding Sheet) สัญญะของการxxxxxxxxxxในเพลง 55
4.1 การวเิ คราะห์ส ญะของการเล่าเรอง่ื ในเพลงอยเู่ พื่อรกั 62
4.2 การวเิ คราะห์สัญญะของการxxxxxxxxxxในเพลงคา˚ อธิษฐานดวยนา้˚ ตา 69
4.3 การวเิ คราะห์สัญญะของการxxxxxxxxxxในเพลงความผกพนซื้อความรกั xxxxxx 77
4.4 การวเิ คราะห์ส ญะของการเล่าเรอง่ื ในเพลงยงั วา่ ง 88
4.5 การวเิ คราะห์สัญญะของการxxxxxxxxxxในเพลงรักนะคะ 99
4.6 การวเิ คราะห์สญั ญะของการxxxxxxxxxxในเพลงกา˚ แพง 110
4.7 การวเคราะห์สัญญะในเพลงไม่รู้จกฉน
ไม่รู้จก
เธอ 127
4.8 การวเคราะห์สัญญะในเพลงปรากฏการณ์ 137
4.9 การวเคราะห์ส
ญะในเพลงผลิตxx
ฑน้ีรับประกน
100 ปี 146
4.10 การวเคราะห์สัญญะในเพลงสถานีต่อไป 158
4.11 เปรียบเทียบรูปแบบการสื่อสารของเพลงxxxxxxxxxxโดยผูxxxxxxx 166
เพลงสมยxxxx(Q1) และผxxxxxxxเพลงทางเลือก (Q2)
4.12 สัญลกษณ์พิเศษของxxxxxxxxxxความรักในเพลงที่ประพน เพลงสมยxxxx (Q1)
4.13 สัญลกษณ์พิเศษของxxxxxxxxxxความรักในเพลงxxxxxxxx
xxโดยผปู
ธ์โดยผปู
ระพน
ระพน
ธ์ 168
ธ์ 170
เพลงทางเลือก (Q2) ซ่ึงมีแก่นเร่ืองเก่ียวกบความรกั
4.14 ส
ลกษพ
ิเศษของxxxxxxxxxxแนวคิดในเพลงxxxxxxxx
xxโดยผปู
ระพน
ธ์ 171
เพลงทางเลือก (Q2) ซ่ึงมีแก่นเรื่องเกี่ยวกบอา˚ นาจ
4.15 สัญลกษณ์พิเศษของxxxxxxxxxxการทา˚ งานในเพลงxxxxxxxx
xxโดยผปู
ระพน
ธ์ 173
เพลงทางเลือก (Q2) ซ่ึงมีแก่นเรื่องเกี่ยวกบการทา˚ งาน
ภาพที่ หน้า
2.1 ปัจจยั ที่มีปฏิสัมพนั
2.2 กรอบแนวคิดการวจ
xxxx xx
อนส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ 47
51
6.1 ปัจจยั ใดท่ีส่งผลต่อการสร้างสรรคผ
ลงานเพลงของผปู
ระพน
ธ์ 184
บทที่ 1 บทน˚ำ
1.1 ควำมเป็ นมำและควำมส˚ำคญ
บทเพลงถือเป็ นสมบต
ิxx
xxค่าของชาติท่ีสะทอ
นถึงวฒ
นธรรมของผูค
นในสมย
น้น
บทบาท
หxxx xxxของเพลงต่อสังคมน้น
มีxxxด
วยกน
หลายดา้ น ไม่ว่าจะเป็ นการให้ความสนุกสนานและผ่อน
คลายความเครียดให้กับผูค
นในสังคม การใช้เพลงเป็ นสื่อกลางในการช่วยบา
บัดผูป
่ วย หรือ
แมก
ระทง
การใช้เพลงเพื่อเป็ นสื่อในการสร้างพลง
บางอย่างให้กบ
กลุ่มชนต่างๆ เพื่อสร้างความ
ส˚านึกใหเ้ กิดข้ึนกบ
สังคมและxxxxxxxxxx xxxเห็นไดว
า่ เพลงหรือกระบวนกรต่างๆ ที่เกี่ยวขอ
งกบ
xxxxxน้น
เปรียบเสมือนกบ
สถาบน
หน่ึงในโครงสร้างทางสังคมท่ีส˚าคญ
ไม่แพกบ
สถาบน
อื่นๆ ใน
สังคม (xxxxx วxxxxxxxx, 2553)
สาหรับในบริบทของสังคมไทย บทเพลงแสดงใหเ้ ห็นถึงอุปนิสัยใจคอของคนไทยที่วา คน
ไทยเป็ นคนที่มีxxxxxxxxxxxxx มีความxxxxxกล้าหาญอนจะxxxxxxxxxจากศิลปะการxxxxx ซ่ึง
ดา˚ เนินไปดวยความอ่อนโยนและxxxxxxx ความเจริญและความเสื่อมของศิลปะทางxxxxxขึ้นxxxกบ
ความร่มเยนเป็ นสุขของบา้ นเมือง ในเวลาบา้ นเมืองสงบ ศิลปะท้งั ปวงก็xxxxxxxxxxxxxx คา˚ อธิบายถึง
xxxxxxxxxxxxxชด
xxxมีหลายๆช่วงเวลาดงั xxxx xxย
เปล่ียนแปลงการxxxxxx พ.ศ. 2475 ที่คณะ
ผกู ่อการxxxxxxสรา้ งเพลงชาตขึ้ิ นมาใหม่ โดยใหเ้ หตผุ ลวา่ เพลงท่ีเกิดขึ้นมาใหม่เป็ นของประชาชน
เพลงxxxxxxxxxxxxxxxxxxxมีxxxแ
ลวเป็ นเพลงของพระมหากษต
ริย์ ซ่ึงภาพสะทอ
นดงั กล่าวเป็ นการ
สร้างความxxxxxxxให้เห็นความต่างxxxxxxxxxกับการเปลี่ยนแปลงการxxxxxxจากระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็ นระบอบประชาธิปไตย หรืออีกปรากฏการณ์หน่ึงในยุคสมยxxxxx
ป.xxxxxxxxxxxไดข้ึนมาเป็ นนายกรัฐมนตรี โดยมีนโยบายเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามประเทศมา
เป็ นประเทศไทย เมื่อวนที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 และไดท
า˚ การปรับปรุงเพลงชาติเพื่อใหเ้ ขา้ กบ
ชื่อ
ประเทศxxxxxxxxxxxxxx รวมท้งั ยุคดงั กล่าวเป็ นยุคของความxxxxxxสร้างชาติใหม่ ซ่ึงมีหลายปัจจยท่ี
ส่งผลกระทบต่อความเป็ นอยขู
องคนใน สังคมทุกระดบ
xxxx การใหx
xxxxชนทุกคนทา˚ ความเคารพ
เพลงชาติในตอนเชาเวลา 8.00 น. และเยน
เวลา 18.00 น. ทุกคนจะตอ
งหยุดยืนตรง ซ่ึงประชาชนซ่ึง
บางคนก็มีความรู้สึกช่ืนชมแต่บางคนก็รู้สึกขบขน
ต่อสิ่งxxxxxก
ระทา
จากนโยบายดงั กล่าวทา˚ ให้เกิด
เอกลก
ษณ์ใหม่ของสังคมท่ีปฏิบต
ิสืบต่อมาจนถึงปัจจุบน
เป็ นตน
(xxxxxxxx, 2521)
เมื่อกล่าวถึงจุดเริ่มตนของเพลงไทยxxxxในประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2482 เพลงไทย
xxxxเร่ิมเขา้ มามีบทบาทในภาพยนตร์ เป็ นการปฏิวติxxxxxภาพยนตร์จากหนงั เงียบ เริ่มมีการแต่ง
เพลงประกอบละครเวที โดยผูx
xxxx
xxคือ หลวงxxxxxxวาทการ และเมื่อหลง
สงครามโลกคร้ังที่ 2
สงบ ทหารฝ่ ายสัมพนธxxxxยงั xxxใ่ นประเทศไทยจา˚ นวนมาก เป็ นเหตุให้เกิดสถานเริงรมย์ ส˚าหรับ
การพก
ผ่อนหย่อนใจ และไดร
ับความxxxxอย่างมาก จวบจนถึงยุคความเริงรมยข
องสื่อวิทยุ เพลง
ละคร จนถึงเพลงxxxxxxxxxx และแตกแขนงไปสู่เพลงลูกทุ่งและลูกกรุงในลา˚ ดบต่อมา (xxxสิทธ์
ไกรวจิตร, 2552) ต่อมา พ.ศ. 2512 ในยุคxxxx xxxxของเพลงไทยxxxxเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเขา้ มา
ต้ง
ฐานทพ
ในเมืองไทย ทหารอเมxxxน
มีส่วนส˚าคญ
ในการส่งต่อxxxxxxxในการฟังเพลง การxxxx
xxxxx รวมไปถึงแฟช
อ่ืนๆตามมาอีกมากมายนบ
ไม่ถ
น โดยในช่วงน้น
ประเทศไทยมีการจด
ประกวดxxxxxxxในแบบสตริงคอมโบ โดยสมาคมxxxxxแห่งประเทศไทยให้โจทย์ของการ
ประกวดคือ xxxxเพลงxxxxเป็ นเพลงบงคบ 1 เพลง และเพลงพระราชxxxxxx 1 เพลง ผลคือ
วงดิอิมพอสซิเบิ้ล (The Impossible) ควา้ แชมป์ สามสมย
ติดต่อกน
วงดิอิมพอสซิเบิ้ลเริ่มทา˚ เพลง
ประกอบภาพยนตร์ท่ีเป็ นxxxxxxxxxเน้ือไทย จากการที่ผูก
า˚ กบ
ภาพยนตร์ (เปี๊ ยก โปสเตอร์) กา˚ กบ
ภาพยนตร์เรื่อง “โทน” เป็ นผูชก
ชวนให้ทา˚ เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องน้ี และไดร
ับความxxxx
อย่างxxxxxxxx เพลงไทยxxxxxxxไดร
ับความxxxxอีกคร้ัง ไปพร้อมๆกบ
การxxxxxxxxxxอาชีพxxxx
เพลงxxxxตามสถานบน
เทิงต่างๆ (โชคชย
xxxxxxxxxx, 2557)
เพลงเกิดจากความคิดสร้างสรรคข
องมนุษยใ์ นxxxxxxxxถ่ายทอดเน้ือหาสารดว
ยถอ
ยคา˚ ที่
มีความหมายและแฝงไปดว
ยสัญญะต่างๆ มาร้อยเรียงให้มีความคลอ
งจองต่อเน่ืองกน
เป็ นเรื่องเดียว
มีความครบxx
xxxxxxxxตามเน้ือหาท่ีตx
xxxxจะส่ือภายใตข
อบเขตของระยะเวลาที่จา˚ กด
แค่เพียง
xxxxxxนาที ทา˚ ให้ผูฟ
ังxxxxxxจินตนาการออกมาเป็ นภาพและเกิดxxxxxxร่วมได้ ดว
ยองค์ประกอบ
ต่างๆ ของเพลงไม่ว่าจะเป็ นเน้ือร้อง เสียง จงั หวะ ทา˚ นอง คีตลก
ษณ์ และองคป
ระกอบอื่นๆ ทา˚ ให
เพลงกลายเป็ นวิธีการสื่อสารทางวจนภาษาและอวจนภาษาอย่างหนึ่งที่มีxxxxxxxในกระบวนการ
ส่ือสาร ซ่ึงเสน่ห์ของการสื่อสารดว
ยเพลงอยู่ที่ความxxxxxxของผูx
xxxx
xxในการใช้ถอ
ยคา˚ ที่มี
ความลึกซ้ึง และกลน
ตรงออกมาจากคา˚ พูดท่ีมีอยใู่ นความคิดไดอ
ยา่ งตรึงใจในผูฟ
ังจา˚ นวนมาก ท้งั น้
รูปแบบการสื่อสารผ่านเพลงของผูx
xxxx
xxมก
จะแตกต่างกน
ไปตามอตลก
ษณ์และอต
xxxทศน์
ของศิลปิ น กล่าวคือ สังคมและวฒ
นธรรม ประสบการณ์ ค่าxxxx ทศ
นคติ และองคป
ระกอบอื่นๆ
ทางความคิดท่ีแตกต่างกน
ของผูx
xxxx
xx จะสะทอ
นตว
ตนของตนเองผา่ นการxxxxxxxxxxดว
ยเพลงที่
แตกต่างกน
ไป (xxxxทยา วงศก
า˚ xxxxxx, 2557)
เพลงจะเกิดข้ึนxxxxxxหากไร้ซ่ึงผูx
xxxx
xx xxxxxxxxxไทยฉบับเยาวชนโดยพระราช
xxxxxxxในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ให้ความหมายของนักxxxxx
xxxxx
่า เป็ นผูท
ี่มี
ความxxxxxxในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงโดยการคิดเน้ือเพลง (Lyrics) และท่วงทา˚ นอง (Melody) มีความคิดสร้างสรรคท์ ี่จะนา˚ ความรู้สึก หรือเหตุการณ์ต่างๆมาถ่ายทอดเป็ นxxxxxxxxxมี
ความหมาย และประทบ
ใจผูฟ
ัง ซ่ึงเพลงxxxxx
xบความxxxxในปัจจุบน
เรียกว่า “เพลงสมย
xxxx”
(Popular Song) ในขณะเดียวกนก็มีเพลงทางเลือกท่ีฉีกกรอบทางxxxxxหรือให้ความแปลกใหม่แก่
ผูฟังเกิดขึ้นมากมาย เรียกเพลงเหล่าน้ีว่า “เพลงทางเลือก” (Alternative Song) หรือ “เพลงxxxxxx”
(Indie Song) เพลงxxxxxยxxxxหรือเพลงป๊ อบ (Popular Song) หมายถึง เพลงซ่ึงเป็ xxxxxxxx
xxชอบของคนส่วนใหญ่ในสังคมหน่ึง และยุคหน่ึงๆ ซ่ึงผูป
ระกอบธุรกิจเทปเพลงตอ
งคา˚ นึงxxx
เสมอว่าจะทา˚ อย่างไรให้คนส่วนใหญ่ชอบส่ิงที่ตนสร้างข้ึนมา โดยใช้ประสบการณ์xxxxxและ
ศาสตร์แห่งxxxxxผนวกกบความคิดสร้างสรรค์เพ่ือสร้างงานเพลงส˚าหรับคนส่วนใหญ่ (xxxxxxxx
xxxxxxสูร, 2534) การมองสุนทรียะของเพลงสมยxxxxxxxเกิดขึ้นทางสังคมxxxxxxx xเป็ นรูปแบบของ
xxxxxxxxxxxxxxx xxxxxxxxxxxxx
นไปในการใช้แผนพฒ
นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติxxx
xxx 1
(พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2509) เป็ นตน
มา ไดก
่อให้xxxxxxxเปล่ียนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการ
เมืองไทย ดงั น้น
เพลงสมย
xxxxมก
ตองอาศย
การปรับเปล่ียนไปในเชิงธุรกิจxxxxกน
ซ่ึงหมายxxxxxx
ทา˚ ศิลปะให้เป็ นสินคา
โดยการใช
ลxxxxxหรือวิธีการต่างๆ ในการผลกดน
ศิลปะธุรกิจให้มีxxxxxx
และในบางคร้ังอาจตอ
งลดทอนคุณค่าของศิลปะไปบา้ ง กลุ่มเป้าหมายหลก
ของผูฟ
xxxxxxxxx
xxxx
มกจะเป็ นกลุ่มวยั รุ่น ระดบของการส่ือคุณค่าทางสุนทรียะสู่มวลชนกลุ่มน้ีเป็ นเพียงการส่ือในระดบ
การรับรู้ของความพึงxxxx xxxถึงระดบความซาบซ้ึงในxxxxxยี ภาพของบทเพลง มุ่งสร้างค่าxxxxใน
บริบทอื่นๆ มาบดบงั คุณค่าทางศิลปะ xxxx นา˚ เสนอความเป็ นบุคคลโดยใหน
กร้องเป็ นตวนา
เป็ นตน
xxxxxx xxxxxxxxxxxxxxxxxx xxxxจา˚ เป็ นตอ
งหน
มองพลงั ของสังคมในระดบ
มวลชนเป็ นหลก
เพ่ืxxxxจะสร้างงานท่ีส่งผลต่อความพึงxxxxแก่คนในสังคมให้มากที่สุด ถ้าประสบผลส˚าเร็จก
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx xxxxxxxxxxxx
การขบ
เคล่ือนของสังคมที่มีปฏิกิริยาตอบxxxxต่อ
เพลงสมย
xxxx จะเห็นไดว
่ากระแสความxxxxจะxxxxxใ่ นช่วงระยะเวลาหน่ึงเท่าน้น
จะค่อยๆเสื่อม
ความxxxxไปxxxxxxเวลา เพลงสมย
xxxxxxxเปรียบเสมือนเป็ นประวต
ิศาสตร์หน้าหน่ึงของการ
ขบเคลื่อนสังคมในอีกมิติหน่ึงของสังคมไทยที่มีการปรับเปล่ียนตว
ตนให้เขา้ กบ
ความเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดข้ึนของสังคมโลก ซ่ึงเพลงxxxxxxสะทอ
นสภาพวิถีชีวิตของผูค
นในขณะน้น
ตลอดจนการ
มองเห็นภาพมิติเชิงซอ
นในการเปลี่ยนแปลงของส
คมในดา้ นต่างๆ
เพลงทางเลือก (Alternative Song) หรือ เพลงxxxxxx (Indy Song) เกิดในช่วงxxxxxxxxx 1960
เป็ นแนวเพลงที่แตกต่างไปจากเพลงสมย
xxxx มีลก
ษณะเด่นคือไม่ตามใจตลาด และไม่ตx
xxxxxxx
ในกระแสพาณิชย์ มีแหล่งกา˚ เนิดจากประเทศองั กฤษก่อนท่ีจะxxxxxxxxไปยงั ทวโลกในช่วงปลาย
ยุค 80 และเขา้ มาในประเทศไทยxxxxxxxxยุค 90 ซ่ึงในยุคน้ีวฒนธรรมเพลงไทยถูกแบ่งออกเป็ น 2
ส่วนคือ เพลงป๊ อป (Pop Song) จากทางฝ่ังอเมริกา และกลุ่มเพลงทางเลือกใหม่จากฝ่ังประเทศ องั กฤษ เม่ือเพลงนอกกระแสจากฝ่ังประเทศองั กฤษเริ่มเขา้ มามีxxxxxxxในกลุ่มคนฟังชาวไทยทา˚ ให้
เกิดxxxxxxxxxxxxxxxxไดร
ับความสนใจเป็ นอย่างยิ่งในขณะน้น
คือวง “โมเดิร์นด๊อก” (Moderndog)
อยา่ งไรก็ตาม ในขณะน้น
ยงั ไม่มีการใชค
า˚ วา
“xxxxxx” ในxxxxxเพลงไทย แต่จะเรียกวา
“อล
เทอร์เน
ทีฟ” (Alternative) หรือเพลงทางเลือก (xxxxxx xxxxxxxxxxx, 2548)
ววฒนาการของเพลงอนดxxxx นประเทศไทยมีจุดกา˚ เนิดในปี พ.ศ. 2537 เนื่องจากเพลงไทยใน
ตลาดส่วนใหญ่ในเวลาน้นเป็ นแนวเพลงป๊ อป (Pop Song) ท่ีเกิดจากค่ายเพลงขนาดใหญ่สองค่ายคือ
ค่ายเพลง Grammy และค่ายเพลง RS จึงเกิดความจา˚ เจในเรื่องของแนวxxxxx ทา˚ ให้เกิดค่ายเพลง
ใหม่ๆที่มีขนาดxxxx xxความเป็ นxxxxxในการทา˚ เพลง และไม่เนนแนวทางการตลาด
เพชรภี xxx xxxx
(2552) กล่าวว่า ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2537 ประเทศไทยจะใชค
า˚ วา
“อล
เทอร์
เนทีฟ” มีxxxxxxxหลายวงท่ีเป็ xxxxรู้จก
และมีช่ือเสียงในยุคน้น
ไดแ
ก่ โมเดิร์นด็อก xxxx พารา
ด็อกซ์ พอส ฯลฯ รวมถึงค่ายเพลงอยา่ งxxxxxxxรี่มิวสิค หลงั จากน้นเพียงxxxxxxปี ความxxxxในเพลงอล
เทอร์เนทีฟก็เร่ิมxxxหาย และกลายมาเป็ นยค
ของเพลงxxxxxx โดยที่คนในยุคอล
เทอร์เนทีฟมีความเชื่อ
วา “อล
เทอร์เนทีฟ” น้น
ไดฟ
้ื นกลบ
มากลายเป็ น “อินดิเพนเดนซ์” (Independence) ซ่ึงนก
วิชาการ
ในองั กฤษใช
า˚ ยอวา
“Indie” ส่วนทางฝ่ังอเมริกาใชค
า˚ วา
“Indy” แต่ในเม่ือไทยน้น
รับมาท้ง
2 คา
นกวิชาการในช่วงน้น
มกจะเอาคา˚ ว่าxxxxxxมาตีความผิด เนื่องจาก คา˚ ว่า “เพลงxxxxxx” แทจ
ริงแล้ว
ไม่ใช่แนวเพลงแต่หมายถึงรูปแบบการทา˚ เพลง ดงั น้น
ไม่วา่ ศิลปิ นน้น
จะทา˚ เพลงแนวใดก็เป็ นเพลง
xxxxxxxxท
้งั หมด ถา้ เพลงน้น
เกิดจากการความคิด และการลงมือทา˚ ดว
ยตนเองของศิลปิ น อยา่ งxxxxx
xxxข้ึนกบค่ายเพลง” บางคร้ังคา˚ ว่า “xxxxxx” ก็อาจถูกเจาะจงไปที่ประเภท หรือเสียงxxxxxxxxมีความ
แปลก และหลากหลายมิติทางวฒ
นธรรมท่ีมีความสัมพน
ธ์กบ
โครงสร้างและบริบททางเศรษฐกิจ
สังคม มีส่วนช่วยสร้างความเขา้ ใจความหมายทางอุดมการณ์จากผลผลิตของเพลงxxxxxx xxxxxx
xxx
xxx (2544) กล่าววา วฒ
นธรรมมีความสัมพน
ธ์อยา่ งแยกกน
xxxxxกบ
“อุดมการณ์” และ“การ
สื่อสาร” ในดา้ นหน่ึงวฒนธรรมเป็ นวิถีของการผลิตซ้า˚ และครอบงา˚ ทางอุดมการณ์ แต่อีกดา้ นหนึ่ง
ในปริมณฑลทางวฒนธรรมxxxxxxxxxจะเป็ นแหล่งผลิตซ้า˚ อุดมการณ์ของการต่อตา้ นระบบทุนนิยม
โดยแหล่งต่อตา้ นน้
มาจากวฒ
นธรรมระดบ
ล่างในสังคม ในขณะที่มีขอคน
พบหน่ึงที่ มานนท
เอพาณิช (2546) ได้ทา
การศึกษาเกี่ยวกับxxxxxทา
เอง พบว่า xxxxxท˚าเอง หรื อเพลงxxxxxx
เปรียบเสมือนเป็ นบทบาทของวฒ
นธรรมย่อยในxxxxxกระแสxxxx เพราะวฒ
นธรรมย่อย เกิดข้ึน
เพื่อสะทอ
นค่าxxxxหลก
ของสังคม ซ่ึงมาxxxxxxxxช่องว่างท่ีขาดหายไป แต่ดว
ยxxxxxxxxxxxเป็ นแนว
xxxxxxxxเปิ ดกวา้ งxxxxxการรวมตว
เป็ นกลุ่มกอ
xxxxเกิดข้ึนทา˚ ใหเ้ ราเห็นภาพสะทอ
นของสังคมโดยไม
มีสิ่งใดปิ ดกน
ทา˚ ใหx
xxxxxxxxxxกลายเป็ นxxxxxxxxอยใู่ นกระแสxxxx จากความแตกต่างของเพลงสมย
xxxxและเพลงทางเลือก ทาใหผ
วู้ จ
ยมีความสนใจที่จะศึกษารูปแบบการสื่อสารของเพลงxxxxxxxxxx
โดยผูx
xxxx
xxxxxxxxx
แบบสมย
xxxxและแบบทางเลือกท่ีสะทอ
นถึงอตลก
ษณ์และหรืออต
xxx
ทศน์ของผูx
xxxx
xx โดยทา˚ การศึกษาผูx
xxxx
xxเพลง 2 ท่าน ท่านแรกเป็ นผูx
xxxx
xxxxxxxxx
xxxx (Popular Song) มีผลงานเพลงมากมายxxxxxร
ับการยอมรับ ได
ก่ เพลงรักเธอคนเดียวของ
xxx ศก
ดาทร เพลงคา˚ อธิษฐานด้วยน้˚าตา ของ โดมxxxxวฒ
น์ xxxxxxxxxxx เพลงรักนะคะ ของ บ้ี-
สุกฤษฎ์ ิ xxxxxxxx
เป็ นตน
และท่านที่สอง เป็ นผูx
xxxx
xxเพลงทางเลือก (Alternative Song) มี
ผลงานเพลงxxxxxร้ ับการยอมรับมากมายในกลุ่มผูxxxxเพลงทางเลือก xxxx เพลงกา˚ แพง เพลงไม่รู้จก
ฉนไม่รู้จก
เธอ เพลงxxxxxการณ์ เพลงสถานีต่อไป ผลิตxx
ฑน้ีรับประกน
100 ปี เป็ นตน
นอกจากการศึกษาบทเพลงอน
สะทอ
นถึงตว
ตนของxxxxxxxxxxxแลว
ผูว
ิจย
ยงั ไดต
ระหนก
ถึงบริบทสังคมโดยรวมที่ถูกสะทอนผ่านเพลงอีกด้วย xxxxxxxx xxxxxxสูร (2534) กล่าวว่า การ
วิเคราะห์แนวคิดทางxxxxxxxxxxxxxต่อxxxxxxxxxเกิดข้ึนในแต่ละยุคสมย xxxxxxวิเคราะห์ได้ 2
ประการ คือ 1) การวิเคราะห์ตว
ตนทางxxxxxxxxxxxxxทางxxxxx หรือความเป็ นอต
วิสัยและกรอบ
มาตรฐานแนวคิดวต
ถุxxxxxxxของผูส
ร้างงาน 2) การวิเคราะห์ตว
ตนของxxxxxxxxxxxxxxxxมีต่อ
สังคม ซ่ึงมีความเช่ือมโยงกบ
ส่วนของอต
วิสัย เพราะจิตส˚านึกในตว
ตนจะสะทอ
นผ่านโครงสร้าง
ทางสังคม ท้ โครงสร้างหน้าที่xxxxxxxx และโครงสร้างหน้าท่ีแฝง ในภาพรวมท่ีเป็ นวิถีชีวิต
ประเพณี สังคม วัฒนธรรม ศาสนาความเชื่อ การเมืองการxxxxxx ตลอดจนกระแสการ
เปลี่ยนแปลงของโลก เป็ นตน
ภาพรวมที่เกิดข้ึนจะสะทอ
นการเกิดพลงั ทางสังคมท่ีเรียกวา
“สังคม
มวลชน” (Mass Society) ในยุคของสังคมมวลชน สมาชิกมีสภาพต่างคนต่างอยู่ และใน
ขณะเดียวกน
จิตใจก็มีความรู้สึกแปลกแยกกบ
สภาวะสังคมที่ตนดา˚ รงอยู่ (Alienation) พวกเขาตอง
กลายมาเป็ นฟันเฟื องตวหนึ่งของระบบเศรษฐกิจและสังคมท่ีปราศจากเสรีภาพทางความคิด ขาด
ความxxxxxxxในการดา˚ รงชีวิต และปราศจากการมีส่วนร่วมของระบอบการเมืองน้นๆ มวลชนจึง
ถูกควบคุมด้วยกลุ่มxxxxxxxxxมีอ˚านาจทางเศรษฐกิจ และกลุ่มที่มีอ˚านาจทางการเมืองซ่ึงใช
สื่อมวลชนเป็ นส่วนหน่ึงของเครื่องมือในการควบคุมและครอบงา˚ สังคม ดง
น้น
ส่ือมวลชนจึงถูก
ผนวกเขา้ กบส่วนหนึ่งของกลไกอา˚ นาจ เนื้อหาสาระxxxxx˚ เสนอจึงมีเป้าหมายในทางการเมืองและ
การคา้ ของกลุ่มคนที่มีอา˚ นาจทางส
คม (ยศ สันตสมบต
ิ, 2540)
วฒนธรรมมวลชนเกิดจากการแบ่งแยกวฒนธรรมชาวบา้ น (Low Culture) ออกจาก
วฒนธรรมของชนช้น
นา (High Culture) โดยวฒ
นธรรมของชนช้น
นา˚ ถูกผลิตข้ึนภายใตศ
ิลปะและ
วรรณคดีช้น
สูง ไม่ข้ึนกบ
มาตรฐานของผูบ
ริโภค แต่จะข้ึนxxxกบ
มาตรฐานของฝ่ ายผูผ
ลิตเป็ นหลก
ในขณะที่สื่อมวลชนจะทา˚ หน้าที่ตอบxxxxวฒ
นธรรมมวลชนโดยการผลิตสินคา้ ทางวฒ
นธรรม
หรือสื่อตรงตามความตx
xxxxของตลาดมวลชน (Mass Market) ซ่ึงตอ
งมีมาตรฐานเดียวกน
เพื่อ
สะดวกต่อการผลิต และมีแบบแผนที่เป็ นมาตรฐานเดียวของมวลชน (Standardized) (Adorno &
Xxxxxxxxxx , 1973, อา้ งถึงใน xxxxxxxxx ศิริยวศกxxx, 2547 น. 23)
ต่อมาเม่ือสื่อมวลชนเขา้ มามีบทบาทต่อสังคมสมย
ใหม่ การถ่ายทอดวฒ
นธรรมผา่ นเน้ือหา
สื่อมวลชนในรูปแบบการผลิตแบบมวลรวม (Mass Production) ทา˚ ให้วฒ
นxxxxxxx
สูง และ
แม ระทงวฒ
นธรรมxxxxx
xถูกน
มาเผยแพร่สู่ประชาชนอย่างกวา้ งขวางทุกระดบั ไม่ว่าคน
ระดบ
สูงหรือระดบ
ล่างในสังคมก็xxxxxxสัมผสกบวฒ
นxxxxxxx
สูงxxxx xxxxxxxxกน
ทวทุกหนทุก
แห่ง ส่วนวฒนธรรมพ้ืนบ้านก็xxxxxxเป็ นสิ่ งที่เสพกันเฉพาะในชุมชนของตนเองอีกต่อไป
สื่อมวลชนนา˚ มาถ่ายทอดผลิตซ้า˚ จนกลายเป็ นวฒนธรรมมวลชน (Mass Culture) ซ่ึงผลกระทบจาก
การสร้างวฒ
นธรรมมวลชนของสื่อมวลชน ทา˚ ให้เกิดวฒ
นxxxxxxxxxxxxx (Popular Culture)
ตามมา สร้างความxxxx คลง่ั ไคล้ หลงใหล ข้ึนในกลุ่มสังคมต่างๆ เพื่อประโยชน์ดา้ นธุรกิจ xxxx
การคลง
ไคลพ
ฤติกรรมการแต่งxxx การแสดง การขบ
ร้องของศิลปิ นต่างๆ การxxxxพูดหรือเขียน
ดวยภาษาวยั รุ่นท่ีเบี่ยงxxxไปจากวฒนธรรมภาษาดง้ั เดมิ เป็ นตน
เนื่องจากเพลงเป็ นส่ิงท่ีถูกหล่อหลอมกลมกลืนอยู่ในชีวิตประจา˚ วน
ของผูค
น สร้างความ
บนเทิง ปลุกเร้าxxxxxxร่วมแก่ผฟู ัง อกี ท้งั ยงั เป็ นเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการส่ือสารเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก
ต่างๆ การศึกษาเก่ียวกบเพลงจึงเป็ นสิ่งxxxxxxสนใจเพราะเป็ นผลผลิตทางxxxxxxxxxxxมีxxxxxxxต่อ
สภาวะจิตใจและxxxxxxความรู้สึกของผูฟ
ัง เป็ นสิ่งท่ีสะทอ
นถึงวิธีคิดอน
เก่ียวโยงกบ
อตลก
ษณ์
และอต
xxxทศ
น์ของผปู
ระพน
xx xxxถึงสะทอ
นภาพรวมของบริบทสังคมในขณะน้น
ดวย
1.2 ปัญหำน˚ำวจัย
1) ศึกษารูปแบบการสื่อสารของเน้ือหาเพลงxxxxxxxx
xxโดยผปู
ระพน
ธ์เพลงแบบสมย
xxxx
และแบบทางเลือกวา่ เป็ นอยา่ งไร และxxxxxxสะทอ
นอตลก
ษณ์ของผปู
ระพน
ธ์ท้งั สองท่านอยา่ งไร
2) อตลก
ษณ์ที่ถูกคน
พบในรูปแบบการสื่อสารของเพลงมีความเหมือนหรือแตกต่างกบ
อตxxxทศน
ี่ผปู
ระพน
ธ์มองตนเองอยา่ งไร
3) ปัจจยั ใดที่ส่งผลต่อการสร้างสรรคผ
ลงานเพลงของผปู
ระพนธ์
1.3 วตถุxxxxxxxในกำรวจ
1) เพ่ือศึกษารูปแบบการสื่อสารของเน้ือหาเพลงxxxxxxxx
xxโดยผูx
xxxx
xxเพลงแบบสมย
xxxxและแบบทางเลือกอน
สะทอ
นถึงอตลก
ษณ์ของผปู
ระพน
ธ์ท้งั สองท่าน
2) เพื่อศึกษาความแตกต่างระหวา่ งอตลก
ษณ์ที่ถูกคน
พบในรูปแบบการสื่อสารของเพลง
กบอต
xxxทศ
น์ที่ผx
xxxxxxมองตนเอง
3) เพื่อศึกษาปัจจยั ท่ีส่งผลต่อการสร้างสรรคผ
ลงานเพลงของผปู
ระพนธ์
1.4 ขอบเขตกำรวจัย
xxxxxx
น้ีจะศึกษาถึงสัญญะของเพลงกับการสะท้อนอ
ลักษณ์และอต
xxxทศ
น์ของ
ผxxxxxxxเพลง โดยจะทา˚ การศึกษาจากตว
บุคคลและผลxxxxxxxxxxx
xxเพลงของศิลปิ นสองท่าน
โดยท่านแรกเป็ นผูเ้ ป็ นน
xxxxx
xxxxxมีชื่อเสียง มีแนวทางการxxxxx
xxเพลงเป็ นแบบสมย
xxxx
(Popular Song) และท่านท่ีสองผูเ้ ป็ นท้งั นก
ร้องและนก
xxxxx
xxในสายเพลงทางเลือก (Alternative
Song) โดยผูว
ิจย
xxxxx xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
xxxx
xxท้งั สองท่าน ผูร้ ่วมงาน และบุคคลผูม
ีอา˚ นาจ
หรือผูxx xxxxxxxxในxxxxxเพลง เพื่อศึกษาเกี่ยวกบ
อตลก
ษณ์และอต
xxxทศ
น์ของผูx
xxxx
xx และ
ปัจจย
ท่ีส่งผลต่อการสร้างสรรคผ
ลงานเพลง รวมถึงศึกษาตว
xxxxxxxxxผูx
xxxx
xxxxx
xxxx
xxท้ง
เน้ือร้องและหรือทา˚ นอง โดยการวิเคราะห์เน้ือหาสาร (Qualitative Content Analysis) เพื่อศึกษาถึง
รูปแบบการสื่อสารผา่ นเพลงอน
สะทอ
นถึงอตลก
ษณ์ท่ีแตกต่างกน
ของผปู
ระพน
ธ์เพลงท้งั สองท่าน
1.5 นิยำมคำศัพท์
1) เพลง หมายถึง ถ้อยคา˚ ท่ีผูx
xxxx
xxเรียงร้อยข้ึน ถูกสร้างข้ึนมาจากความคิด ซ่ึง
ประกอบดว
ย เน้ือร้อง ทา˚ นอง จงั หวะ โดยเพลงสร้างสรรคxx xกเครื่องดนตรีหรือการขบ
ร้อง มีการ
เรียบเรียงเสียงxxxxxของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ เขา้ ด้วยกน 1988)
เพื่อให้เกิดความไพเราะ (Braheny,
2) เพลงสมยxxxx หมายถึง เพลงซ่ึงเป็ xxxxxxxxxxชอบของคนส่วนใหญ่ในสังคมหน่ึง และ
ยุค โดยใช้ประสบการณ์xxxxxและศาสตร์แห่งxxxxxผนวกกบ เพลงสา˚ หรับคนส่วนใหญ่ (xxxxxxxx xxxxxxสูร, 2534)
ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างงาน
3) เพลงทางเลือก หมายถึง แนวทางการทา˚ เพลงท่ีมีลก ตองการอยใู่ นกระแสพาณิชย์ (xxxxxx xxxxxxxxxxx, 2548)
ษณะเด่นคือไม่ตามใจตลาด และไม
4) ผูx
xxxx
xxxxxx xมายถึง ผูท
่ีมีความxxxxxxในการคิดท่วงทา˚ นอง และเน้ือเพลง มี
ความคิดสร้างสรรคที่จะนา˚ ความรู้สึกหรือเหตุการณ์ต่างๆ มาถ่ายทอดเป็ นxxxxxxxxxมีความหมาย
และประทบใจผฟู ัง
5) อต
ลักษณ์ของผูx
xxxx
xx xxxxxxx xxxxxxxxxxฉพาะตว
ซ่ึงเป็ นตวั บ่งช้ีของ
ลกษณะเฉพาะของบุคล ส
คม ชุมชน หรือประเทศน้น
ๆ xxxx เช้ือชาติ ภาษา วฒ
นxxxxxx
xถิ่น และ
ศาสนา ฯลฯ ซ่ึงมีคุณลก อื่นๆ
ษณะxxxxxxทว
ไปหรือxxxxกบ
สังคม หรือมีลก
ษณะxxxxxxเหมือนกบ
ของคน
6) อตxxxทศน์ของผxxxxxxx หมายถึง ความเขา้ ใจตนเองในดา้ นตา่ งๆ วา่ ตนเป็ นอยา่ งไร
ตามที่ตนประเมินซ่ึงเป็ นผลมาจากปัจจย
ต่างๆ xxxx การปฏิสัมพน
ธ์กบ
ผูอ
ื่น การเปรียบเทียบตนเอง
กบผูอ
ื่นการรับขอ
มูลยอ
นกลบ
จากผูอ
ื่น การสังเกตความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของตนเอง
เป็ นตน
ร้อง
7) สัญญะของเพลง หมายถึง ตว
หมายและความหมายในxxxx
xxxxxxxxเพลง xxxx เน้ือ
8) รูปแบบการสื่อสาร หมายถึง วธ
ีที่ผปู
ระพน
ธ์ไดถ
่ายทอดความคิด ความเขา้ ใจ ตลอดจน
xxxxxxxxของตนที่มีต่อปรากฏการณ์ หรือเร่ืองราวใดๆ ให้ปรากฏในลกษณะของการส่ือสารของ
บทเพลง ซ่ึงxxxxxxสะทอ
นถึงอตลกษณ์ของผx
xxxxxxxx
1.6 ประโยชน์ทคำดว่ำจะได้รับ
เพ่ือทราบถึงกระบวนการและแนวคิดในการสร้างสรรคผ
ลงานเพลงของผูx
xxxx
xxท้งั แบบ
สมยั xxxxและแบบทางเลือกที่เก่ียวพน
xxxxxxสะทอ
นอตลก
ษณ์ของผูx
xxxx
xx การต่อรองกบ
บริบท
และอา˚ นาจทางสังคมเพ่ือให้ไดม
าซ่ึงผลงานท่ีตรงตามจุดมุ่งหมายของผูx
xxxx
xxเองและหรือเพื่อ
ผลประxxxx xงธุรกิจ
บทที่ 2
แนวคด
ทฤษฎี และงานวจ
ยที่เกยวข้อง
แนวคิด ทฤษฎี และงานวจ
ยั ที่เกี่ยวขอ
งxxxxx˚ มาอธิบายการวิจย
เรื่อง สัญญะของเพลงกบ
การ
สะทอ
นอตลกษณ์และอตxxxทศน์ของผx
xxxxxx xxxxxxแบ่งไดด
งั น้
2.1 อตลกษณ์และอตxxxทศน์ของxxxxxxxxxxx
2.2 สุนทรียะหลงั สมยั ใหม่กบxxxxxxxxxxx
2.3 การสื่อสารของxxxxxxxxxxx
2.4 สัญวทยาและการเล่าเรองื่
2.5 ผปู
ระพน
ธ์เพลงกบ
ความคิดสร้างสรรค
2.6 งานวจยั ที่เก่ียวของ
2.7 กรอบแนวคิดการวจย
2.1 อต
ลกษณ์และอต
xxxทศ
น์ของxxxxxxxxxxx
2.1.1 อตลกษณ์
Rosenau (1992) ได้กล่าวไวว่า ยุคสมัยใหม่เป็ นยุคท่ียึดม่ันในลัทธิปัจเจกxxxx
(Individualism) วิธีคิดกระแสหลกของยุคมีความเชื่อในแนวคิด “สารัตถะxxxx” (Essentialism) คือ
เช่ือว่าxxxxxxxxของสังคมหรือมนุษยม
ีxxxxxบต
ิบางอย่างที่เป็ นแก่นแกนหรือสารัตถะ เป็ นสิ่งxxx
xxxxแฝงxxxลึกๆ และกา˚ หนดทิศทางของพฤติกรรมที่เห็นจากภายนอกอีกทีหนึ่ง มีความเช่ือมนใน
อุดมคติแห่งการใชความรเพืู้ ่อปลดปล่อยมนษุ ยชาตใิ ห้เป็ นxxxxxจากความงมงายไร้เหตุผล และเป็ น
xxxxจากxxxxxxxxดานมืดในตวของมนุษยเอง
2.1.1.1 ปัจเจกภาพจากมุมมองทางxxxxxx Xxxxxxxxx (1897, อา้ งถึงใน Lorraine, 1990) กล่าววา
“เหตุผล” เป็ นแก่นxxxxxxเป็ น
xxxxซ่ึงxxxxxxมนุษยอ
อกจากสัตว์ เป็ นxxxxxบต
ิที่มีอยู่ในxxxxxxxxของมนุษยท
ุกคน แมแ
ต่ละ
คนจะมีความxxxxxxในการใชมน
ไม่เท่ากน
ซ่ึงวธ
ีการหาความรู้ที่เป็ นเเก่นแทห
รือการเขา้ ถึงความ
จริงของส่ิงหน่ึงจะทา˚ xxx
xยการดึงสิ่งน้น
ๆ ออกจากส่ิงอื่นๆ ที่แวดลอ
มมน
เพื่อศึกษาเฉพาะเจาะจง
แต่ส่ิงน้ัน วิธีน้ีจะทา˚ ให้เขา้ ถึงxxxxxบต
ิแก่นแท
องส่ิงน้ันได้ การเขา้ ถึงแก่นแทข
องมนุษยก
็ใช
วิธีการเดียวกน
เราตอ
งตด
ตวเองออกจากโลกแวดล้อมท้ง
หมด ดึงตว
เองออกจากความรับรู้ทาง
xxxxxxส
ผสท้งั มวล และค่อยๆ กา้ วเขา้ สู่ความรู้xxxxxxxxxxยงิ่ ข้ึนเกี่ยวกบ
ตวเอง
ในทศ
นะของ Hume (1888, อา้ งถึงใน Selby-Bigge, 2014) มองวา
ความเช่ือมx
xxxวา
มีตว
เราเองเป็ นแก่นxxxxxxเป็ นxxxxxxน้น
เป็ นเพียงxxxxxxxxxxxxเกิดจากความทรงจา˚ ซ่ึงเชื่อมโยง
การรับรู้ไวด
วยกน
ท้งั น้ีความทรงจา˚ ก็ไม่ใช่ส่ิงxxxxxxxxxตรงแม่นยา˚ เสมอไป ความเป็ นเหตุเป็ นผลที่
เป็ นxxxxxบต
ิพิเศษของมนุษย
้ัน มิได้เป็ นส่ิงที่กา˚ หนดมาให้อยู่ก่อนแล้ว (Innate) หรือเป็ น
xxxxxบต
ิภายใน (Intrinsic) ที่ฝังลึกเป็ นแก่นแกนมาแต่เดิม ความเป็ นเหตุเป็ นผลจึงเป็ นxxxxxบต
ิxxx
xxxxx เรียนรู้ฝึ กฝนพฒ
นาข้ึนมา ในขณะที่ Kant (1781, อา้ งถึงใน Suxxxxxx, 1989) มองวา
xxxxxx
สัมผส
จะเป็ นประตูเปิ ดออกสู่โลกและเป็ นฐานที่มาของความรู้ โดยมีศก
ยภาพที่เป็ นแก่นxxxxxx
จิตท่ีxxxxxxสร้างxxxทศน์และกรอบความคิดทุกชนิดให้เป็ นxxxxxxx xxxx กรอบของมิติเวลา
สถานท่ี หรือการเช่ือมโยงความเป็ นเหตุเป็ นผลของส่ิงต่างๆ เป็ นตน้ ต่อมา Kant (1781, อา้ งถึงใน Sullivan, 1989) ไดน
า˚ เสนอ “โลกของสิ่งที่มีxxxจ
ริง”
(Noumena) เป็ นโลกท่ีเป็ xxxxอยขู
อง “ตวตน” (Self) xxxxxxรับรู้หรือเขา้ ใจxxx
xยxxxxxxสัมผส
แต่
xxxxxxรับรู้หรือเขา้ ใจไดด
วยเหตุผล เป็ นสิ่งท่ีxxxน
อกเหนือประสบการณ์ เรียกตว
ตนน้ีวา
“ตวตน
เหนือโลกเชิงประจก
ษ์” (Transcendenal Self) ซ่ึงมีความเชื่อมโยงกบ
ความเป็ นมาของศก
xxxxxx xxx
รากฐานทางศีลธรรม Kant (1781, อางถึงใน Sullivan, 1989) ยงั กล่าวต่อไปอีกวา
มนุษยม
ีศก
ยภาพที่
จะกา˚ หนดทิศทางของตนเองในเชิงจริยธรรม มีxxxxxxxxxxจะเลือกกระทา˚ ส่ิงต่างๆ โดยปราศจากแรง
บีบของส
คม แรงกดดน
ของxxxxxxxx หรือแมแต
ิทธิพลความเชื่อทางศาสนา โดยพลงั แห่งเหตุผล
จะกา˚ หนดหxxx xxxทางจริยธรรมของมนุษย์ ซ่ึงจิตส˚านึกทางศีลธรรมจะเป็ นแก่นxxxxxxความรู้สึก
อนเป็ นตว
ตนของบุคคลน้นั
Willhelm (2003) xxx
xxงทศ
นะท่ีแตกต่างไปจาก Descartes โดยกล่าวว่า โลก
ภายนอกมีส่วนจา˚ เป็ นในกระบวนการสร้างและนิยามของจิตส˚านึก ตวตนxxxxxxxxxxขึ้นเร่ือยๆ ตอง
ปฏิเสธการจา˚ กด
กรอบที่หยุดนิ่ง และตอ
งอาศย
การตระหนก
และนา˚ พาโลกภายนอกให้เขา้ มาเป็ น
ส่วนหน่ึงของตนเองเสมอ โลกภายนอกจึงเป็ นเงื่อนไขจา˚ เป็ นของการทา˚ ให้ตว จริงข้ึนมา
ตนของเราปรากฏ
2.1.1.2 xxxทศบุคลิกภาพในทฤษฎีจิตวทยา
1) จิตวเคราะห์ (Psychoanalysis)
Freud (1961) ไดเ้ สนอแนวคิดการก่อรูปของอตลก ดาเนินไปภายในโครงสร้าง 3 ระดบของจิตใจคือ
ษณ์ของxxxxxxxxxxxโดย
(1) ระดบ
Id เป็ นระดบ
ที่มีความxxxxxxxเป็ นแรงขบ
เคลื่อน มีการ
ทางานภายใตกฎแหง่ การxxxxความพึงxxxx (Pressure Principle) ความพึงxxxxดงั กล่าวประกอบ
ไปด้วยทุกสิ่งxxxxxร
ับการถ่ายทอดมาจากพน
ธุกรรมด้ง
เดิมและแรงกระตุน
ท่ีมีมาต้งั แต่กา˚ เนิด สิ่ง
เหล่าน้ีหมายรวมถึงความตx
xxxxของร่างกาย ความxxxxxxxทางเพศ และแรงกระตุน
ความxxx xxxxx
xxxx˚ งานในแนวทางท่ีไม่มีเหตุผลและไม่มีศีลธรรม
(2) ระดบ
Ego ทา˚ งานภายใตก
ฎของความเป็ นจริง (Reality Principle)
ดา้ นหน่ึงก็เพื่อxxxxความตx
xxxxของ Id และเนื่องจากเป้าหมายของ Ego คือมิให้บุคคลน้น
เสีย
xxxxxทางกายภาพและจิตใจ ดง
น้น
Ego จึงxxxxxxทา˚ งานขด
แยง้ กบ
ความตx
xxxxของ Id ได
นอกจากน้ี Ego ยงั มีขีดความxxxxxxในการพิจารณาตด
สินใจโดยอาศย
หลก
การและเหตุผล และ
xxxxxxxxxxxนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาแลว
อนเป็ นส่วนช่วยช้ีนา˚ พฤติกรรมให้xxx
xxxxxxxxx
สูงสุดและขจด ของ Id
ความxxxxxxxให้ไดม
ากที่สุด โดยเลือกแนวทางที่เหมาะสมเพื่อxxxxความตx
xxxx
(3) ระดบ Superego คือพลังของค่าxxxxและศีลธรรมของสังคมซ่ึง
ถ่ายทอดแก่บุคคลในกระบวนการขด
เกลา (Socialization) ผา่ นกลไกการใหร
างวล
และการลงโทษ มี
หxxx xxxควบคุมการแสวงหาความสุขของ Id ท้งั น้ี Superego จะกา˚ หนดวา่ การกระทา˚ ใดถูกหรือผิด
และจะยอมให้แรงกระตุน
ของ Id ไดร
ับการตอบxxxxเฉพาะการกระทา˚ ที่ถูกตอ
งทางดา้ นศีลธรรม
ซ่ึงต่างกบ Ego ที่ยนยอมให้ Id กระทา˚ ไดเ้ ม่ือเป็ นสิ่งท่ีปลอดภยั หรอxxx ความเป็ นไปได้ Superego เป็ น
สิ่งที่เกิดจากการมีประสบการณ์ โดยไดร ของสถานศึกษา (Norms) และการปฏิบตั
ับการอบรมส่ังสอนจากพ่อแม่ การสอนทางดา้ นศีลธรรม
ิของบุคคลในสังคม
Frxxx (1961) มองว่า ความxxxxxxxทางxxxxxxxxxxxxxxxxxxรับการ
ตอบxxxxหรือการถูกลงโทษทางสังคมxxxxxหายไปจากความทรงจา˚ ของxxxxxxxxxxx แต่จะถูก
แปรรูปในxxxxxxxxxxxxเรียกว่า “กลไกการxxxxxxตนเอง” (Defense Mechanism) ซ่ึงเป็ นการ
ปรับตว
ของ Egoให้xxx
นสภาพxxxxxxทา˚ ลายความxxxxxทางจิต อน
ไดแ
ก่ การเก็บกด (Repression)
การxxxxx (Displacement) หรือการชดเชย (Compensation) เป็ นตน อยา่ งไรก็ตามพลงั งานท่ีถูก
เก็บกดก็จะแสดงออกมาในรูปแบบหรือสัญลก
ษณ์ต่างๆ xxxx ความฝัน ความกลว
หรืออาการย้า˚ คิด
ย้า˚ ทา
ซ่ึงกลไกดงั กล่าวจะก่อให้xxxxxxxต่อรองระหว่างxxxxxxxxxxxxxxใตส
˚านึกกบ
แห่งเหตุผล
และแรงกดดน 1991)
จากสังคมอน
ส่งผลต่อการพฒ
นาการของบุคลิกภาพของปัจเจก (Smxxx &Vexxxx,
2) Ego Theory
Erxxxxx (1963, อา้ งถึงใน Frxxxxxx & Scxxxxxxx, 1999) มองวา่ การก่อรูป
ของอตลก
ษณ์เป็ นกระบวนการตลอดท้ง
ชีวิต และคนเราxxxxxxxxxxxxนแปลงลก
ษณะส˚าคญ
ของ
ตนเองได้ เขาเช่ือวา่ ชีวิตคนประกอบดว
ย 8 ข้น
ตอนของการพฒ
นาอตลก
ษณ์ ซ่ึงในแต่ละข้น
จะเกิด
สิ่งที่เรียกกวา
Ego Crisis ผลลพ
ธ์ของแต่ละข้น
จะx
xxxxกบ
ข้น
ก่อนหนา
ดงั น้
(1) ข้น
ท่ี 1 การเป็ นทารก เป็ นข้น
ท่ีมีความสับสนต่อความไวว
างใจ
ตองการการเอาใจใส่จากมารดา หากxxxxxร้ ับการตอบxxxxจะเกิดความรู้สึกถูกทอดทิ้งและนา˚ ไปสู่
ความกงั วล xxxxxxxxx และxxxx xxxxxxต่อโลกภายนอก ซ่ึงส่งผลใหเ้ ขาอยากจะสร้างความสัมพนธ์ท่ี
ยงั่ ยน
กบผอู
ื่นในภายหลง
(2) ข้น
ท 2 เป็ นวย
เด็กราว 2-4 ขวบ เป็ นข้น
ท่ีเกิดวิกฤตของ Ego คือ
วิกฤตระหว่างความรู้สึกมน
xxกบ
ความxxxxx สงสัย หรือxxxxxxxxx เด็กเร่ิมถูกสอนให้ควบคุม
ร่างกายของตน xxxx การขบ
ถ่ายเป็ xxxxเป็ นทางและเป็ นเวลา พ่อแม่xxxxxx
xxxเกินไปและใช้การ
ลงโทษบ่อยๆ จะทาใหเด็กๆ รู้สึกผิดและขาดความเช่ือมนในตนเอง
(3) ข้น
ท่ี 3 เป็ นวิกฤติระหวา่ งความxxxxxxจะพฒ
นาความคิดริเริ่มและ
ความรู้สึกผิด การปรับสัมพน
ธ์กบ
คนส˚าคญ
รอบตว
เป็ นปัจจย
ให้เด็กพฒ
นาความรู้สึกให้เป็ นxxxxx
และมีความมน
xxทางความรู้สึกได
(4) ข้นั
ท่ี 4 เป็ นความขด
แยง้ ระหว่างความขยนขน
แข็งและความรู้สึก
ด้อย เด็กในวยน้ีจะมีความxxxxxxxx xxxxในการทา˚ งานxxxxxxรับมอบหมายจากครูและพ่อแม่ ถ้า
ความรู้สึกน้ีถูกบน
ทอนก็จะเกิดพฒ
นาการของxxxx
xข้ึนแทน
(5) ข้น
ท่ี 5 ในช่วงวยั รุ่น เป็ นข้น
xxxxx˚ คญ
ที่สุดเป็ นช่วงวิกฤติระหวา่ งการ
มีอตลก
ษณ์ที่ลงตวกบ
การเกิดความสับสนในบทบาท วยั รุ่นตอ
งxxxxxกบ
การสวมหมวกทางสังคม
หลากหลายใบxxxxxxขด
แยง้ กน
ได้ หากพฒ
นาการในข้น
น้ีเป็ นไปไดด
วยxx xxxxxxxxxxxจะxxxxxx
บูรณาการบทบาทท่ีหลากหลายใหเ้ ขา้ มาอยู่ภายใตอตลก
ษณ์เพียงหน่ึงเดียวได้ หากลม
เหลวจะเกิด
ภาวะ “วิกฤติของอตลก
ษณ์” (Identity Crisis) คือการคน
หาตนเองไม่พบ ไม่มน
ใจในความxxxxxx
ของตน และไม่รู้จก
วางตนในความสัมพน
ธ์กบ
ผอู
ื่น
(6) ข้ันที่ 6 คือทางเลือกระหว่างxxxxxxxxxxxxxxxxxxพัฒนา
ความสัมพน
ธ์xxxxxxxxxxกบ
ผอู
ื่นกบ
xxxxxxxxxxxxชอบโดดเดี่ยวตนเอง
(7) ข้น
ที่ 7 เป็ นช่วงอายุของการมีครอบครัว ผูท
ี่ลม
เหลวจะรู้สึกวา่ ชีวิต
ไร้คุณค่าและความหมายแมอาจจะประสบความสา˚ เรจใ็ นการงานก็ตาม
(8) ข้น
ท่ี 8 คือช่วงวย
ชรา ผูม
ีอต
ลกษณ์ที่มีดุลยภาพจะมีxxxxxxxxxที่
สะทอ
นถึงความสัมพน
ธ์xxxxxกบ
อดีตของตน ส่วนคนที่หาอตลก
ษณ์ตนเองไม่พบหรือมีอตลก
ษณ์ที่
แตกสลาย ก็จะรู้สึกวา่ ชีวต
คือความสิ้นหวงั และxxxxxxแกไ
ขใหx
xxxอีก
ลกษณะส˚าคญ
ของคนที่หาเอกลก
ษณ์ของตนได้คือ รู้ว่าตนเองคือใคร มีความ
ตองการอะไร มีจุดมุ่งหมายอยา่ งไร โดยที่ตระหนกถึงความxxxxxxของตนเอง ซ่ึง Erxxxxx (1963)
เชื่อวา่ การแสดงพฤติกรรมของคนเป็ นไปเพ่ือการหาเอกลกษณ์ของตนเอง สังคมจะมีxxxxxxxต่อการ
หาเอกลก
ษณ์ของบุคคล และช่วงวย
รุ่นเป็ นช่วงที่ส˚าคญ
ที่สุดในการหาเอกลก
ษณ์ ถา้ บุคคลใด
xxxxxxหาเอกลกษณ์ของตนเองไดจะxxxxxxพฒนาตนเองใหประสบความสาเรจใ็ นxxxxxxx
2.1.1.3 xxxทศน์ปัจเจกภาพในทฤษฎีสังคมวทยา
Cooley (1902) มองว่า อตลก
ษณ์เกิดข้ึนจากกระบวนการปฏิสัมพน
ธ์กบ
สังคม
ความรู้สึกเกี่ยวกบ
ภาพลก
ษณ์ของเราและxxxxxxการณ์เกี่ยวกบ
การตด
สินของผูอ
ื่นต่อภาพลก
ษณ์
น้ัน เกิดข้ึนมาจากปฏิกิริ ยาของเราต่อความเห็นของผู้อื่นที่มีต่อตัวเรา เรี ยกตัวตนที่เกิดจาก
กระบวนการน้ีว่า “ตว
ตนในกระจกเงา” (The Looking Glass Self) วฒ
นธรรมจึงมีส่วนหล่อ
หลอมอตลก
ษณ์ของxxxxxxxxxxxเป็ นอยา่ งมาก Mead (1934) ไดเ้ สนxxxxxxxxxxวา่ ตว
ตน (Self) น้น
มี 2 ดา้ นซ่ึงปฏิสัมพน
ธ์กน
เอง
ตลอดเวลา ดา้ นหน่ึงคือ “Me” เป็ นตว
ตนที่เกิดจากความเห็นและการปฏิสัมพน
ธ์กบ
ผูอ
่ืน เรียกว่า
“อตลก
ษณ์” และ “I” เป็ นลก
ษณะเฉพาะอน
เป็ นทศ
นะxxxxxxxxxxxxxxมีต่อตนเอง เรียกวา
“อต
xxx
ทศน์” Mexx (2003) ยงั ช้ีให้เห็นอีกวา ตวตนไม่ใช่หุ่นเชิดของสังคม ขอบเขตของการสร้างตวตน
xxxxxxขยายยืดออกตามขอบเขตแห่งความสัมพนธ์ (Ego Involvement) xxxxxxxxxxxxxxมีต่อส่ิงอ่ืน
ซ่ึงข้ึนอยู่กับตัวแปรทางสังคม xxxx อายุ เพศ อาชีพ ชนช้ันทางสังคม กลุ่มชาติพนธ์ุ เป็ นต้น
นอกจากน้ี “เวลา” ก็เป็ นปัจจย
ส˚าคญ
อีกอยา่ งหน่ึงของความรู้สึกต่อเน่ืองของอตลก
ษณ์ เวลาเป็ นตว
หล่อหลอมและพฒ
นาการกระทา˚ ต่างๆของxxxxxxxxxxxให้เช่ือมต่อกน
อยา่ งมีความxxxx xxการทา
สิ่งหน่ึงส่ิงใด ตามดว
ยการทา˚ อีกส่ิงหน่ึงเพื่อให้xxxxxส่ิงอื่นๆ ในxxxxx xx˚ ดบ
ความต่อเน่ืองของ
เวลาทา˚ ใหเ้ รามองยอนอดตxxxx xxxxx และทา˚ ใหร้ ู้สึกถึงความตอเนองื่่ ของความเป็ นเรา
จากการศึกษาเรื่องอตลก
ษณ์ของศิลปิ นผูท
า˚ เพลงxxxxxxในประเทศไทยของ xxxxxกข
ศิรินนท์ (2554) พบวา
จุดเริ่มตน
ของเพลงxxxxxxมาจากความเบื่อหน่ายเพลงในกระแสหลก
จนนา˚ มา
สู่การxxxxxxxงานที่เป็ นxxxxxของศิลปิ น การกา˚ หนดอตลกษณ์ท้งั ดา้ นแนวเพลง เนื้อเพลง การแต่ง
xxx xxxxxxแยกออกไดเป็ นปัจจยภายในซ่ึงประกอบดวยรสนิยม และทศนะคติ และปัจจยภายนอก
ซ่ึงประกอบดว ของศิลปิ น
ยนโยบายของค่ายเพลง ปัจจย
ทางเศรษฐกิจ และทางสังคมที่มีผลในการสร้างตวตน
แนวคิดเก่ียวกับอัตลักษณ์จะน˚าไปสู่ข้อบ่งช้ีเก่ียวกับกระบวนการก่อตัวของ
อตลก
ษณ์ในตว
ผูx
xxxx
xxเพลง อน
เกิดจากปัจจย
ท่ีแตกต่างต่างกน
เพ่ือวิเคราะห์ว่าความแตกต่าง
ทางอตลก
ษณ์ดงั กล่าวจะสะทอ
นผา่ นผลxxxxxxxxxxx
xxเพลงไดแ
ตกต่างกน
อยา่ งไร
2.1.2 อตxxxทศน์
อตxxxทศน์ (Self-Concept) เป็ นxxxxxxxxxถูกนามาใชอธิบายพฤตกรรมแลิ ะบุคลิกภาพของ
มนุษย์ เนื่องจากความรู้สึกนึกคิดต่อตว
เองน้น
มีxxxxxxxโดยตรงต่อการแสดงออกของxxxxxxxxxxx
นกวช
าการหลายท่านไดใ้ หค
วามหมายเก่ียวกบ
อตxxxทศ
น์ไวอ
ยา่ งหลากหลาย ดงั น้
Xxxxxx (1959) กล่าวว่า อต
xxxทศ
น์เป็ นโครงสร้างจากการรับรู้เก่ียวกบ
บุคลิกลก
ษณะ
ความxxxxxx ตลอดจนความสัมพน
ธ์ระหวา่ งตนเอง ผอู
่ืน และสิ่งแวดลอ
ม ท้งั xxx xxxและดา้ นxxxxxxxx
xxxxxxxxxxxมีต่อตนเอง เป็ นความรู้สึกนึกคิดเก่ียวกบ
“ตว
ตน” (Self) วา่ ตนเป็ นใคร ควรทา˚ อยา่ งไร
และอยากเป็ นxxxxไร เป็ นการสะทอ
นถึงลกั ษณะเฉพาะต่างๆ ท่ีบุคคลรับรู้เก่ียวกบ
ตนเองท้งใน
ความรู้สึกนึกคิดและบทบาทในชีวิต อต
xxxทศ
น์ของบุคคลมีความหลากหลายและxxxxxxxxxx
xxxxข้ึนตามวุฒิภาวะและประสบการณ์ท่ีxxxxxข้ึน ซ่ึงส่งผลต่อการรับรู้และพฤติกรรมการแสดงออก
ต่างๆ ของบุคคล กล่าวไดว
า่ อต
xxxทศ
นเ์ ป็ นผลผลิตจากการหล่อหลอมทางสังคม
Xxxxxx (1959) ไดแบ่งโครงสรา้ งของบุคลิกภาพไว้ 3 ประการ ไดแก่
1) ประสบการณ์ บุคคลแต่ละคนมีชีวิตอยู่ในโลกของประสบการณ์ โดยมีตนเอง เป็ นศูนย์กลาง โลกแห่งประสบการณ์น้ีคือความจริ งส˚าหรับบุคคลน้ัน บุคคลมิได้มีปฏิกิริ ยา
ตอบxxxxต่อความจริงที่แทจ
ริง แต่จะมีปฏิกิริยาต่อความจริงท่ีเขารับรู้ ซ่ึงมีเพียงบุคคลผูน้น
ผูเ้ ดียว
ที่จะรู้อยา่ งถ่องแท้ ผอู
ื่นมิอาจxxxxxxxxxอ
ยา่ งxxxxxxx
2) อต
xxxทศ
น์ด้วยxxxxxxxของสิ่งแวดล
ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งxxxxxxxของบิดา
มารดาและผูใ้ กลช
ิด ส่วนหน่ึงของประสบการณ์จะค่อยๆ ก่อตว
ข้ึนเป็ นอต
xxxทศ
น์ ซ่ึงมีลก
ษณะ
เป็ นหน่วยรวม (Gestalt) ที่มีระบบอน
ประกอบดว
ยการรับxxxxxxลก
ษณะของส่ิงท่ีเป็ น “ตวฉน
” (I) ที่
มีกบ
ผอู
่ืนหรือส่ิงอื่น รวมท้งั ค่าxxxxต่างๆ ท่ีเก่ียวขอ
งกบ
อตxxxทศ
นเ์ หล่าน้
3) ความสอดคล้องและไม่สอดคล้องระหว่างอต
xxxทศ
น์และประสบการณ์ของ
ตนเอง เม่ือประสบการณ์ซ่ึงผ่านการรับรู้และถูกจด
ให้เป็ นส่วนหน่ึงของอต
xxxทศ
น์น้ันตรงกบ
ประสบการณ์ที่เกิดข้ึน บุคคลจะมีการปรับต xxxxx มีวุฒิภาวะและมีประสิทธิภาพเต็มที่ (Fully
Functioning) บุคคลจะยอมรับประสบการณ์ท้งั มวลท่ีเกิดข้ึนโดยปราศจากความหวาดหวนหรือวิตก
กังวล xxxxxxxxxจะคิดอ่านได้ตรงตามความเป็ นจริง ในทางตรงกันข้ามหากอัตxxxทัศน์ไม
สอดxxx
xกบ
ประสบการณ์ บุคคลจะวิตกกงั วล ความคิดอ่านของเขาจะถูกจา˚ กด
ขาดความยืดหยุน
และมีพฤติกรรมxxxxxxตนเองดว
ยวธ
ีการบางอยา่ ง กล่าวคือ เพื่อปฏิเสธประสบการณ์ที่ตนเองมีxxx
หรือบิดเบือนประสบการณ์เหล่าน้
ให้สอดคล
งกบ
สิ่งที่คิดว่าเป็ นตนเอง ทา˚ ให้ประสบการณ์ที่
แทจ
ริงxxxxxถ
ูกจด
รวมเขา้ สู่โครงสร้างของ “ตว
ตน” (Self) ส่ิงท่ีเกิดข้ึนจึงเป็ นความตึงเครียดทางจิต
(Psychological Tensions) อน
เป็ นภาวะของการปรับตว
ที่xxxxx
นอกจากน้ี Xxxxxx (1959) ไดก บวกและแง่ลบ ดงั น้ี
ล่าวไววา
ความนึกคิดเกี่ยวกบ
ตนเองน้น
จะมีลก
ษณะในแง่
1) ลกษณะในแง่บวก คือ เป็ นบุคคลท่ีมีความรู้สึกxxxxxxxxxเกิดจากการรับรู้เกี่ยวกบ
ตนเอง และเป็ นผxx
xxxxxxxxเขา้ ใจและยอมรับขอ
มูลในxxx xxxxแตกต่างกน
ได้ การมีแนวคิดเก่ียวกบ
ตนเองในแง่บวก จะเอ้ือต่อประสบการณ์ทางจิตใจของxxxxxxxxxxxใหxxxxxxประเมินตนเองในแง่
xxxxxได้ xxxxxxยอมรับในส่ิงที่ตนเองเป็ น ในขณะเดียวกน
ก็ยอมรับในส่ิงที่บุคคลอ่ืนเป็ นไดด
้วย
ท้งั น้ีผxx
xxมีความรู้สึกนึกคิดกบ
ตนเองในแง่บวกจะต้งั เป้าหมายไดอ
ยา่ งเหมาะสมและมีความเป็ นจริง
มีเน้ือหาที่xxxxxxทา˚ สา˚ เร็จได้ ซ่ึงความสา˚ เร็จน้น
จะก่อใหxx xxxxxxxxxx
xนบ
ถือตนเอง
2) ลก
ษณะในแง่ลบ บุคคลน้นั จะมองตนเองในลก
ษณะผิดxxxx ขาดความxxxxx
ขาดซ่ึงความรู้สึกมน
xxและความเป็ นxxxxxxในตว
เอง ถือเป็ นส่ิงท่ีแสดงxxxxxxปรับตว
ที่xxxxx
บุคคลจะมองตว
ตนในลก
ษณะตายตว
xxxxxxxxxxx สาเหตุเน่ืองจากการขาดความรัก การเล้ียงดูxxx
xxx
xxx และจากการที่บุคคลน้
ไดส
ร้างภาพพจน์ของตนเองตามลก
ษณะท่ีเขานึกคิดและเห็นว่า
ถูกตอ
งxxxxx
อา˚ ไพ ศิริพฒ
น์ (2515) ให
วามหมายเก่ียวกบ
อตxxxทศ
น์ ไววา
เป็ นความคิดความเชื่อท้ง
มวลxxxxxxxxxxxxxxมีต่อตนเองเกี่ยวกบบุคลิกภาพ เกิดเป็ นรูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละ
สถานการณ์ อน
เป็ นไปตามความรู้สึกที่ประเมินจากการสังเกตประสบการณ์ดว
ยตนเอง นอกจากน้
พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนยงั ไดร
ับxxxxxxxจากความคิดเห็นท่ีบุคคลอื่นมีต่อตว
เราดว
ย ซ่ึงมองว่าเราเป็ น
อยา่ งไรจากการส
เกตพฤติกรรมท่ีเราแสดง ก่อเป็ นความคิดที่x
xxxxกบ
บุคลิกภาพและเชื่อมโยงสู่
ตวเรา นา˚ ใหต
วเราเองก็เชื่อวา่ มีลก
ษณะxxxxน้น
Fitts (1971) ไดใ
ห้ความหมายไวว
่า อต
xxxทศ
น์ คือความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ ค่าxxxx
และการรับรู้เกี่ยวกบตนเองท้งั ทางร่างกาย xxxxxx และสังคม โดยได้แบ่งเกณฑ์โครงสร้างของ
อตxxxทศน์ออกเป็ น 2 ประเภท คือ การพิจารณาโดยใช้ตนเองเป็ นเกณฑ์ (Internal Frame of
Reference) และการพิจารณาโดยใชผอู ื่นเป็ นเกณฑ์ (Eternal Frame of Reference) ดงั น้
1) การพิจารณาโดยใชตนเองเป็ นเกณฑ์ (Internal Frame of Reference) แบ่งเป็ น
(1) อต
xxxทศ
น์ดา้ นความxxx xxxxลก
ษณ์ (Identity) เป็ นความรู้สึกนึกคิดของ
บุคคลเกี่ยวกบ am)
ตนเองวา่ เป็ นอย่างไร เป็ นการพิจารณาเพ่ือตอบคา˚ ถามวา
“ฉน
เป็ นอะไร” (What I
(2) อตxxxทศน์ดา้ นความพึงxxxxในตนเอง (Self-Satisfaction) เป็ นความรู้สึก
นึกคิดของบุคคลเกี่ยวกบความพึงxxxxในตนเอง เป็ นการพิจารณาเพื่อตอบคา˚ ถามว่า “ฉันรู้สึก
เก่ียวกบตนเองอยา่ งไร” (How I feel about myself)
(3) อต
xxxทศ
น์ด้านพฤติกรรม (Behavior) เป็ นความรู้สึกนึกคิดของบุคคล
เก่ียวกบการประพฤติของตนเองในเร่ืองต่างๆ เป็ นการพิจารณาเพ่ือตอบคา˚ ถามว่า “ฉันประพฤติ
หรือกระทา˚ อยา่ งไร” (What I do or the way I am)
2) การพิจารณาโดยผอู ื่นเป็ นเกณฑ์ (Eternal Frame of Reference) แบ่งออกเป็ น
(1) อต
xxxทศ
น์ดา้ นกายภาพ (Physical Self) เป็ นความรู้สึกนึกคิดของบุคคล
เก่ียวกบ
การรับรู้วา่ บุคคลอ่ืนมีความคิดเกี่ยวกบ
รูปร่าง ลก
ษณะร่างกาย สุขภาพ ความxxxxxx และ
ทกษะของตนอยา่ งไร
(2) อตลกษณ์ดานศีลธรรมxxxxx (Moral Self) โดยเปรียบเทียบกบ
มาตรฐานใน
สังคมที่ตนอาศย ถือ
อยู่ อต
xxxทศ
น์ดา้ นน้ีไดร
ับxxxxxxxจากค่าxxxx วฒ
นธรรม ตลอดจนศาสนาที่นบ
(3) อต
xxxทศ
น์ความเป็ นส่วนตว
(Personal Self) เป็ นความรู้สึกนึกคิดของ
บุคคลเกี่ยวกบ
คุณค่าของตนเอง ความคาดหวง
ด้านอุดมคติต่างๆ การประเมินบุคลิกภาพ และ
ความรู้สึกมน
ใจในตนเอง
(4) อตั
xxxทศ
น์ด้านครอบครัว (Family Self) เป็ นความรู้สึกนึกของบุคคล
เก่ียวกบคุณค่าและความพึงxxxxในฐานะท่ีตนเป็ นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว รวมxxxxxxรับรู้วา
ตนเองใกลชิดหรอxxxx งเหนจาิ กครอบครวั
(5) อต
xxxทศ
น์ด้านสังคม (Social Self) เป็ นความรู้สึกนึกคิดของบุคคล
เก่ียวกบ
ความเช่ือมน
ในการสร้างส
พนธภาพ และการมีปฏิx
xxxxกบ
ผอู
ื่น
xxxxxx xxxxxx (2541) กล่าวว่า อต
xxxทศ
น์ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด ทศ
นคติ ค่าxxxx
ความเช่ืxxxxบุคคลมีต่อตนเองท้งั xxx xxxและดา้ นxxxxx ท้งั ดา้ นรางxxx จิตใจ และสังคม อนเป็ นผลมา
จากการรับรู้เก่ียวกบ
ตนเอง ซ่ึงความรู้สึกนึกคิด ทศ
นคติ ค่าxxxx และความเชื่อต่างๆเหล่าน้ีจะเป็ น
ตวกา˚ หนดการแสดงออกของบุคคล โดยอต
xxxทศ
น์น้น
xxxxxxเปลี่ยนแปลงไดต
ามวุฒิภาวะและ
สิ่งแวดลอ
มที่เก่ียวขอ
งกบ
บุคคล
อตxxxท
น์ส่วนบุคคล เป็ นความเช่ือ ค่าxxxx ความคาดหวง
ท นคติ xxxxxxต่างๆ
เก่ียวกบ
ตนเองที่บุคคลยด
ถืออยู่ ซ่ึงแบ่งออกเป็ น 4 ดานคือ (Gross & Alder, 1970)
1) อต
xxxทศ
น์ทางด้านศีลธรรมxxxxx (Moral-Ethical Self-Concept) คือการ
กา˚ หนดกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมxxxxx และส่ิงที่เขาคิดว่ามีคุณค่าตามความส˚านึกแห่งตนโดยเฉพาะ ดานศาสนา
2) อต
xxxทศ
น์xxxxxxxxxxxxxxxxxxx (Consistency) หมายxxx xxxที่บุคคล
xxxxxxต่อสู้ฝ่ าฟันเพื่อรักษาความมน
xxในการจด
xxxxxxxตนเองใหม
ีความหนก
แน่นxxxxxx
xxxx
xxxx หรือเป็ นการรักษาความมนxxของxxxxxxแหง่ ตน (Self-Image) ไว
3) อต
xxxทศ
น์ดา้ นอุดมการณ์และความคาดหวง
(Self-Ideal and Self-Expectancy)
เป็ นความคาดหวงั ของบุคคลวา่ ตนอยากจะเป็ นอะไร อยากจะทา˚ อะไรบา้ ง นนคือความส˚านึกของ
บุคคลต่ออุดมคติและเป้าหมายในชีวต
โดยรับรู้ความคาดหวงั ของบุคคลอื่นท่ีมีต่อตนเองดว
ย ความ
คาดหวงั และความxxxxxxxตามxxxxxxxxxจะเป็ นแนวทางในการวางแผนการดา˚ เนินชีวิตให้ส˚าเร็จ ตามความมุ่งหมาย แต่ถา้ เขาไม่สา˚ เร็จตามความมุ่งหมาย เขาจะรู้สึกหมดกา˚ ลงั ใจ
4) อต
xxxทศ
น์ด้านการxxxxxxนบ
ถือตนเอง (Self-Esteem) เป็ นการรับรู้ถึงคุณค่า
ของตน รู้สึกวา่ ตนเองมีค่าxxxxxxxร
ับการxxxx
xนบ
ถือก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ บุคคลที่มีความ
มนxxในตนเองเท่าน้นั จึงจะให้คุณค่าแก่ตนเอง กล่าวคือ ความภาคภูมิใจในตนเอง จะรวมอยู่ใน
ทุกๆ xxxx
xxxxxxxxอต
xxxทศ
น์ ดงั น้น
ความxxxxxxในการควบคุมการทา˚ หxxx xxxของร่างกาย
การพิจารณาตด
สินเกี่ยวกบ
ศีลธรรมxxxxxของตนเองไดx
x xxxมีผลให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
และเกิดความภาคภูมิใจ นอกจากน้ีความหวงั ในxxxxxxและความคาดหวงั ของบุคคลยงั มีxxxxxxx
โดยตรงต่อความรู้สึกภาคภูมิใจของเขา และในทางกลบกน
ความรู้สึกดอ
ยค่าไร้ความส˚าคญ จะ
เปลี่ยนแปลงอต
xxxทศน
่างๆ ดว
ยxxxxกน
Sulivan (1953) ได้ให้ทศ
นคติเกี่ยวกบ
อตxxxทศ
น์ว่า อต
xxxทศ
น์เป็ นแนวความคิด
เกี่ยวกบ
ตนเองxxxxxxxxxนแปลงได้ โดยเกิดข้ึนจากการสรุปตีความหมายจากความสัมพน
ธ์ระหว่าง
บุคคล การถ่ายทอดจากรุ่นหน่ึงไปสู่อีกรุ่นหน่ึง กระบวนการอบรมสั่งสอน การให อมูลต่างๆ ซ่ึง
เกิดข้ึนตลอดระยะเวลาของช่วงชีวิต แต่จะเห็นเด่นชด
หรือมีความส˚าคญ
มากในช่วงวย
รุ่น เพราะ
เป็ นช่วงที่บุคคลสร้างระบบความเป็ นตว
ของตว
เอง ภาพท่ีแต่ละคนมองตนเอง xxxx ฉน
ดี ฉน
xxxxx
xxxแต่เกิดข้ึนจากประสบการณ์xxxxxรับ เริ่มต้งั แต่การเลี้ยงดูในวยั ทารก ความรู้สึกที่ทารกมีต่อบิดา
xxxxx xxxx การมีภาพตนเองวา่ เป็ นคนxx xxxxจากประสบการณ์xxxxxรับความพึงxxxxจากการเลี้ยงดู
ของxxxxxxxxแสดงความอ่อนโยน ให้ความรักและการเอาใจใส่ แต่หากถูกทอดทิ้ง xxxxxxรับการ
ตอบxxxx มก
xxxxxxxวต
กกงั วล เกิดภาพวา่ ฉน
xxxxx ไม่มีใครรัก ทา˚ ให้เกิดความกลว
ความตึงเครียด
และความวิตกกงั วลอยา่ งรุนแรง บุคคลเหล่าน้ีจะขาดวิธีขจด
ประสบการณ์xxxxxxกลว
เหล่าน้น
ทา˚ ให
ไม่xxxxxxxxxจะรวบรวมและคน
หาความจริงที่เกี่ยวกบ
ตนเองได
อตxxxทศ
น์ในทศ
นะของ Combs and Snygg (1959) คือ ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลมีผล
ต่อการรับรู้ บุคคลจะเลือกรับรู้ในส่ิงที่สอดคล
งกบ
อตxxxทศ
น์ของตนเอง เป็ นสิ่งxxxxxxตายตว
xxxxxxxxxxxxนแปลงxxx
xxxxxเวลาและบทบาทในแต่ละส
คม แต่จะไม่xxxxxxxxxxxxนแปลงข้ึนๆ
ลงๆ ไดบ
่อยๆ ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลxxxxxxผน
แปรไปตามการรับรู้ ซ่ึงข้ึนxxxกบ
แรงจูงใจ
(Motivation) ความรู้ (Knowledge) และประสบการณ์ (Experience)
XxXxxxx and Harari (1968) ไดก
ล่าวถึง อต
xxxทศ
น์ของบุคคลวา
เป็ นโครงสร้างของการ
รับรู้xxxxxร้ ับจากการจด
xxxxxxx ซ่ึงข้ึนxxxกบ
ประสบการณ์ของปัจเจกแต่ละบุคคล การรับรู้ที่เกิดข้ึน
อาจไม่ถูกตอ
งหรือบิดเบือนจากความเป็ นจริงได้ เน่ืองจากมีการประเมินภาพลก
ษณ์ของตนเองที่
เกินจริงหรือไม่ใช่สิ่งที่ตนเองเป็ นxxxx xxxถึงอาจมีการปฏิเสธความเป็ นจริงของตน อต
xxxทศ
น์ที่
บุคคลมีxxxx
xเป็ นตว
กา˚ หนดกรอบความคิด การตีความ และประสบการณ์ใหม่ของบุคคลน้น
ๆ หาก
ขอxxxxxxเขา้ มาสอดxxx
xกบ
อตxxxทศ
น์ที่ตนเองมีอยู่ บุคคลจะรับประสบการณ์น้น
ไว้ ส่วนสิ่งxxxxx
สอดxxx
xจะถูกคด
ออกและปฏิเสธไม่ใหเ้ ขา้ มาอยใู่ นอต
xxxทศ
น์หรือความรู้สึกท่ีมีต่อตนเอง
xxxxxx xxxxxx (2541) xxx
xxงทศ
นะเกี่ยวกบพฒ
นาการของอต
xxxทศ
น์ไววา
อตxxx
ทศน์เป็ นส่ิงxxxxxxxx พฒ
นา บุคคลxxxxxเ้ กิดมาพร้อมกบ
ความนึกคิดเก่ียวกบ
ตนเอง ท้ง
น้ีบุคคล
ส˚าคญ
(Significant Others) ก็มีxxxxxxxต่อพฒ
นาการของอต
xxxทศ
น์โดยเฉพาะอย่างยิ่งxxxxxxx
จากบิดามารดาและสมาชิกในครอบครัว ความสัมพน
ธ์ของเด็กต่อบุคคลส˚าคญ
น้น
จะทา˚ ให้บุคคล
เรี ยนรู้ว่าตนเองชอบหรือไม่ชอบ ยอมรับหรือไม่ยอมรับในเกียรติหรือxxxxxxxต่อตัวเขา ซ่ึง
ความรู้สึกเหล่าน้ีมีผลอย่างมากต่อการพฒ
นาอต
xxxทศ
น์ของเขา ท้งั น้ีบุคคลมี “ตนทางสังคม”
(Social Selves) ซ่ึงเกิดจากการเรียนรู้วา่ กลุ่มและบทบาททางส
คมท่ีแตกต่างกน
จะคาดหวงั สิ่งต่างๆ
จากบุคคลต่างกน
บุคคลจะปฏิบต
ิและแสดงตว
ตนตามสภาพการณ์ xxxx เด็กวยั รุ่นจะแสดงออกต่อ
ครอบครัว ครู เพ่ือน และคู่รักแตกต่างกนั
xxxxxxx xxxxxxxxxx (2527) อธิบายว่ามีปัจจย
หลายประการที่ทา˚ ให้อต
xxxทศ
น์มีการ
เปลี่ยนแปลงโดยมีประสบการณ์เขา้ มาเกี่ยวขอ
ง หน่ึงในน้น
คือการเปลี่ยนแปลงจากxxxxxxxxxxxxx
บุคคลได้ประสบ xxxx ความสูญเสีย ความเจ็บป่ วย อุบต
ิเหตุ หรือภย
xxxxxxxx ฯลฯ ซ่ึงเป็ นแรง
กดดx
xxxเกิดข้ึนอยา่ งรวดเร็ว ทา˚ ใหอ
ตxxxทศ
นเ์ ปxxxยนแปลงไปจากเดิม ท้งั น้ีข้ึนxxxกบ
ความxxxxxx
ของแต่ละบุคคลและความรุนแรงของสถานการณ์น้นดวย
จากแนวคิดเก่ียวกบ
อตxxxทศ
น์ดง
ท่ีไดก
ล่าวมาขา้ งตน
สามารถสรุปได
่า อต
มโนทศน์
เป็ นความรู้สึกเก่ียวกบ
ตนที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมของบุคคล เนื่องจากอต
มโนทศ
น์เป็ น
องคป
ระกอบหน่ึงของบุคลิกภาพซ่ึงเกิดจากการท่ีบุคคลมีปฏิสัมพน
ธ์ระหวา่ งกน
และอต
มโนทศน์
เป็ นการรับรู้เก่ียวกบ
ตนเองที่อาจไม่ตรงกบ
ความเป็ นจริงได้ บุคคลจะหลีกเล่ียงการรับรู้ที่บิดเบือน
ไปจาก อต
มโนทศ
น์ของตนเอง แต่ถึงอย่างไรก็ตามอต
มโนทศ
น์ของแต่ละบุคคลสามารถที่จะ
พฒนาและเปล่ียนแปลงไดตามประสบการณ์ แรงจงู ใจ เวลา และบทบาทในแตล่ ะสังคม
2.2 สุนทรียะสมย
ใหม่และหลง
สมย
ใหม่กบ
ปัจเจกบุคคลและสังคมมวลชน
2.2.1 สุนทรียะสมยั ใหม่และหลงสม
ใหม่กบ
ปัจเจกบุคคล
แนวคิดสมย
ใหม่ (Modernity) มีลก
ษณะส˚าคญ
คือ 1) ในดา้ นวฒ
นธรรมจะใชร
ะบบเหตุผล
และประสบการณ์ของมนุษยแทนความเชื่อที่งมงาย ความศรัทธาถูกแทนที่ดวยความรู้และความจริง
จะตองได้รับการพิสูจน์ด้วยการทดลอง มีการใช้ความรู้ความเขา้ ใจแบบวิทยาศาสตร์ นา˚ ไปสู่
ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีและการพฒ
นาของโลกวต
ถุ เครื่องจก
รและการผลิตอุตสาหกรรม 2)
ในดา้ นเศรษฐกิจ มีการปฏิวต
ิทางพาณิชยแ
ละอุตสาหกรรม ทา˚ ให้ตลาดขยายตว
กวา้ งขวาง การ
สะสมทุนขยายตว
ใชเ้ ครื่องจก
รแทนแรงงานมนุษย์ การผลิตมีการขยายตว
ในปริมาณที่มาก เกิดเป็ น
โรงงานและเมืองขนาดใหญ่ 3) ในดา้ นสังคม เกิดระบบทุนนิยม (Capitalism) สังคมแบ่งเป็ นชนช้น
นายทุนและชนช้นั แรงงานซ่ึงมีความแตกต่างกนอย่างมาก องค์กรในสังคมเกิดเป็ นรูปแบบใหม
หน่วยการผลิตมีขนาดใหญ่ ใชแ
รงานรับจา้ งและผลิตเพื่อขาย องคก
รมีการรวมตว
อยา่ งเป็ นทางการ
และด้วยผลประโยชน์เฉพาะด้าน สมาชิกเป็ นเอกเทศต่อกันในชีวิต มีความเป็ นปัจเจกชนสูง
(Individualism) อยา่ งไรก็ตามการเกิดข้ึนของสงครามไดพ
ิสูจน์ใหเ้ ห็นแลววา
แนวคิดแบบสมย
ใหม
มีความผิดพลาด ผลของสงครามท้ง
สองคร้ังทา˚ ให้ความเช่ือความศรัทธาท่ีชาวตะวน
ตกเคยมีต่อ
ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยีวา่ ท่ีจะทา˚ ใหช้ ีวิตดีข้ึนเร่ิมเสื่อมถอยลง ความเช่ือมนและความศรัทธา
ต่อความคิดแบบสมย
ใหม่จึงเร่ิมถูกทา้ ทาย สังคมตะวน
ตกต้งั คา˚ ถามและต่อตา้ นต่อระบบแนวคิด
แบบสมย
ใหม่ซ่ึงมีรากฐานมาจากมนุษยนิยมท้งั หมดตอนปลายคริสตศ
ตวรรษท่ี 20 จึงนบ
เป็ นการ
สิ้นสุดของลัทธิสม ใหม่ กระแสต่อต้านและกระบวนการตรวจสอบระบบความคิดของลัทธิ
สมยั ใหม่ที่เกิดข้ึนตามมา คือลทธิหลงั สมยั ใหม่ (Postmodernism) (ฉตรทิพ นาถสุภา, 2553)
การเกิดกระบวนการหลงั สมย
ใหม่ (Postmodernization) น้น
ประกอบไปดว
ยการพฒ
นาใน
การผลิตสินคา้ สารสนเทศ อน
นา˚ ไปสู่ความดกด่ืนของวฒ
นธรรมเชิงสัญลก
ษณ์ที่เปล่ียนแปลงอยู
ตลอดเวลา (จน
ทนี เจริญศรี, 2554, น. 13) โดย จิรโชค วีระสย (2550) ไดเ้ สนอลก
ษณะ 4 ประการ
ของยุคหลงั สมย
ใหม่ที่แตกต่างไปจากยุคสมย
ใหม่ คือ 1) มีมิติทางดา้ นสังคมที่ชนช้น
ทางสังคมมี
ความส˚าคญ
ลดลง แต่โครงสร้างทางสังคมมีลก
ษณะแบ่งแยกและมีความสลบ
ซับซ้อนโดยที่การ
จา˚ แนกแตกต่าง (Differentiation) ทางสถานเพศ (Gender) ชาติพน
ธุ์และอายุมีบทบาทส˚าคญ
มาก
ยง่ิ ข้ึน 2) มิติดา้ นวฒนธรรม มีการเปล่ียนแปลงในเรื่องรสนิยม ค่านิยม ความมีศรัทธา ความสุนทรีย
ชีวิตมนุษยเ์ กี่ยวขอ
งกบ
เรื่องราวทางศิลปวฒ
นธรรมมากยิ่งข้ึน 3) มิติดา้ นเศรษฐกิจ จากเศรษฐกิจถูก
ครอบงา˚ โดยวิธีการแบบเฮนรี ฟอร์ด ท่ีมุ่งประสิทธิภาพเป็ นเกณฑ์โดยถือประโยชน์สูงประหยดสุด
มาสู่ระบบเศรษฐกิจที่เน
ผลิตชิ้นส่วนเฉพาะอย่างตามความตอ
งการของตลาดมากข้ึน (จิรโชค
วระสย, 2550)
ความลม
เหลว ความหายนะ และความสิ้นหวงั ท่ีคนเคยมีต่อวิทยาศาสตร์ในยุคสมย
ใหม่ได
ทา˚ ให้คนในยุคหลงั สมย
ใหม่หนั มาสู่วิธีคิดและมุมมองในการดา˚ รงชีวิตอย่างมีสัมพน
ธภาพกบ
สิ่ง
ต่างๆ ท่ีเคยถูกละเลยและหลงลืมไปมากย่ิงข้ึน ไม่ว่าจะเป็ นคุณค่าทางมรดก ขนบจารีตทางด้าน
วฒนธรรม และศิลปะที่คนในยุคสมย
ใหม่เคยมองว่าเป็ นความลา้ หลง
ความงดงามของธรรมชาติ
สัตว์ และสิ่งแวดลอ
ม ที่เคยถูกมองว่า เป็ นเพียงวต
ถุดิบที่มนุษยส
ามารถใช้ประโยชน์ครอบครอง
รวมไปถึงวฒ
นธรรมชุมชนชายขอบที่แตกต่างกน
ของคนจากหลากมุมโลกที่เคยถูกมองว่ามีคุณค่า
ดอยกวา่ วฒ
นธรรมของคนผิวขาวจากซีกโลกตะวน
ตก กล่าวไดว
า่ แนวคิดหลงั สมย
ใหม่เป็ นการให
คุณค่ากบ
ความแตกต่างหลากหลายทางวฒ
นธรรมมากข้ึน และเช่ือในคุณค่าซ่ึงมีความเชื่อมโยงกบ
บริบทวฒนธรรมชุมชนพื้นถิ่น (สมเกียรติ ตง้ั นโม, 2552)
ยคหลงั สมย
ใหม่ (Postmodern) เป็ นยุคท่ีปฏิเสธส่ิงเดิมๆ ในยุคสมย
ใหม่ โดยบริบทของยุค
หลง
สมย
ใหม่น้น
เป็ นภาพของความหลากหลาย (Diversity) หลากมิติ หลากมุมมอง สุนทรียภาพ
ความงามหลงั สมยใหม่ (Postmodern Aesthetic) เป็ นการรับรู้ความงามและความรู้สึกทางคุณค่า
เฉพาะ แต่ไม่ไดย
ึดติดต่อการมองความงามเพียงดา้ นเดียวหรือตอ
งมองเพียงเฉพาะแนวความคิดใน
การสร้างสรรคผ
ลงานเท่าน้น
หากแต่สุนทรียะความงามแบบหลงั สมยั ใหม่เปิ ดโอกาส เปิ ดวิสัยทศน์
ท่ีมีต่อความงามที่เต็มไปดวยความหลากหลาย (Multiplicity) ตามจิตนาการของแต่ละบุคคลหรือผู
เสพรวมท้งั แตกต่างไปตามการรับรู้ เกิดการทลายของเส้นก้นแบ่งของความงาม ประสบการณ์ หรือ
อารมณ์ ดงั น้น
การเสพสุนทรียะความงามในบริบทหลงั สมย
ใหม่จึงไม่มีกรอบของความงามหรือไม
งาม การวิเคราะห์วิพากษว
ิจารณ์น้น
ไม่ใช่เป็ นท่ีสุด แต่ถือเป็ นการนา˚ เสนอประเด็นสุนทรียภาพ
ความงามของตนต่อชุมชนหรือสังคมน้นๆ (Sands & Nuccio, 1992)
Bell (1960) นก
สังคมวิทยาชาวอเมริกน
กล่าวว่า เมื่อกลุ่มความคิดแบบหลงั สมย
ใหม่ให
ความส˚าคญ
กบการเหลื่อมซ้อนทางวฒ
นธรรม ธรรมชาติ สิ่งแวดลอ
ม ชุมชนสังคม การอยูร่ ่วมกน
ดวยความต่างทางเช้ือชาติอย่างเป็ นปกติสุข การเรียนรู้ที่เช่ือมโยงส่ิงต่างๆ เขา้ ดว
ยกน
กระแส
ความคิดแบบหลังสมัยใหม่จึงเป็ นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกันท้งในด้านการเมือง
เศรษฐกิจ การศึกษา สิ่งแวดลอ
มรวมท้งั ศิลปวฒ
นธรรม ศิลปะไม่ไดอ
ยูอ
ยา่ งโดดเดี่ยวดงั อดีตท่ีผา่ น
มา ศิลปิ นไม่จา˚ เป็ นตอ
งมีทก
ษะฝี มือ แต่ศิลปิ นตอ
งเน้นหนก
ในเรื่องของกระบวนการคิด พ้ืนที่
ทางดา้ นศิลปะไม่ไดอ
ยู่แค่ระนาบสองมิติ ศิลปิ นไดข
ยายพ้ืนที่ไปสู่สิ่งแวดลอ
มที่มีมิติสัมพน
ธ์กบ
เวลาและสถานการณ์ ซ่ึงกลุ่มความคิดของศิลปิ นหลงั สมยั ใหม่ไดเ้ สนอแนวคิดแบบองครวมไม่เห็น
ดวยกบ
ศิลปะแบบถาวร ไม่เก่ียวขอ
งกบ
กาลเวลาในอดีต ไม่จา˚ เป็ นตอ
งอยูใ่ นหอศิลป์ อาคาร หรือ
การนา˚ เสนอนิทรรศการตามแบบแผนเดิม ศิลปะอาจจะหลอมรวมเขา้ กบธรรมชาติ ส่ิงแวดลอม
ชุมชน สังคม ศิลปะหลงั สมย
ใหม่ไดเ้ สนอแนวความคิดท่ีหลากหลายราวกบ
การปฏิวต
ิทางศิลปะ
ศิลปิ นได้แสดงบทบาททางศิลปะที่อยู่บนฐานของทฤษฎี แนวคิด โดยได้ละทิ้งสิ่งที่เป็ น
กระบวนการแบบให
วามส˚าคญ
เรื่องพ้ืนที่ เวลา ธรรมชาติ วิถีวฒ
นธรรม ดว
ยการเชื่อมโยงในเชิง
บริบทและมีลก
ษณะเป็ นวาทกรรมปรากฏการณ์ดงั กล่าวน้ีเป็ นเร่ืองของมโนทศ
น์ท่ีสัมพน
ธ์กบ
พ้ืนที่
ในช่วงปลายศตวรรษท่ี 1960-1970 และตน
ศตวรรษที่ 1980 อน
ส่งผลต่องานศิลปะหลงั สมย
หลาย
รูปแบบ เช่น งานสังกป ตน้
ศิลป์ (Conceptual Art) เอิร์ธเวิร์ค (Eartwork) ศิลปะร่างกาย (Body Art) เป็ น
Featherstone (1991) ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นวฒ
นธรรมและสังคมหลง
สมย
ใหม่ไดอ
ธิบายไวว่า
ความเป็ นหลงั สมยั ใหม่ คือการกา˚ จด
เส้นแบ่งระหวา่ งงานศิลปะและชีวต
ประจา˚ วน
เป็ นการพงั ทลาย
ของความแตกต่างตามลา˚ ดบ
ช้น
ระหว่างวฒ
นธรรมท่ีสูงส่งกบวฒ
นธรรมมวลชน เป็ นการสรรหา
ลกษณะท่ีปนเปกน
และผสมผสานของรหส
รวม ท้งั ในเรื่องเชิงล่อเลียนแบบ เยาะเยย
ละเล่น และยง
เป็ นการเฉลิมฉลองของการปราศจากความลึกทางวฒ
นธรรม ตลอดจนเป็ นการเสื่อมถอยของผูผ
ลิต
ท่ีมีการยึดถือความงามทางศิลปะแบบด้งั เดิม และยงั มีสมมุติฐานว่าศิลปะเป็ นเพียงแค่การผลิตซ้า
เท่าน้น
ในขณะที่วริ ุณ ต้งั เจริญ (2547)ไดอ
ธิบายเก่ียวกบลท
ธิหลงั สมย
ใหม่ไววา
ลทธิหลงั สมย
ใหม
ประกาศอิสรภาพทางความคิด มีความเป็ นตว
ของตว
เอง ไม่เห็นดว
ยกบ
วิถีคิดเก่า ไม่เห็นดว
ยกบ
แนวคิดและแนวทางของลท
ธิสมย
ใหม่ ศิลปะมีความหลากหลายต้ง
แต่การแสดงแนวคิดอย่าง
บริสุทธ์
ไปจนถึงการแสดงภาพลก
ษณ์ของความคิดที่ไม่ไดม
องเชิงประโยชน์เพียงอยา่ งเดียว มุ่ง
พฒนามาสู่การสร้างงานในเชิงความคิดมากข้ึน พฒนาไปสู่การบูรณาการความรู้ความคิด
ประสบการณ์ ความคิด และการสร้างสรรค์ดง
กล่าวก่อเกิดพลวต
การสร้างเสรีภาพและสร้าง
สุนทรียภาพหนา้ ใหม่ ความคิดในเรื่องศิลปะ ทกษะและความงามแปรเปลี่ยนไปเป็ นการสร้างสรรค
ศิลปะที่หลากหลายเปิ ดกวา้ งข้ึน ลท
ธิสมยั ใหม่น้น
เติบโตมาพร้อมกบ
บทบาทและอา˚ นาจของชนช้น
กลาง ระบบทุนนิยม และระบบโรงเรียนที่มีกรอบความคิดและหลก
สูตรที่ผลิตคนในลก
ษณะ
มวลชน ต่อมาลท
ธิหลงั สมยั ใหม่ก่อตว
และแสดงตว
อยา่ งเป็ นสากล เป็ นปรากฏการณ์ร่วมในกระแส
วฒนธรรมร่วมสมยั ในปัจจุบน
ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคตมีแต่ปัจจุบน
ที่ไม่สิ้นสุด รู้สึกต่อความเป็ นจริง
วา่ ชีวตเป็ นเพียงจนตภิ าพ (Image) และมีความหมายในเชิงกระบวนการมากกวา่ ปรากฏการณ์
จากการศึกษาศิลปะก่อนจะเขา้ สู่ยุคหลง
สมย
ใหม่พบว่า ศิลปะในยุคสมย
ใหม่จะเน้นใน
เรื่องความเป็ นด้งั เดิม (Originality) ท่ีใหค
วามสา˚ คญ
เกี่ยวกบ
ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และไม่เหมือน
ใคร มีความเป็ นเอกภาพ รูปแบบของศิลปะเนนความเป็ นสากล (Universal) ศิลปิ นไม่วา่ จะเป็ นชน
ชาติใด หรือมีความแตกต่างทางวฒ
นธรรมกน
อยา่ งไร ผลงานที่สร้างสรรคข
้ึนมาจะตอ
งมีความเป็ น
สากล ท้งั น้ีศิลปะสมย
ใหม่ไดแ
บ่งแยกศิลปะช้น
สูงกบ
ศิลปะช้น
ต่า˚ ออกจากกน
ศิลปะช้น
สูงจะถูก
แสดงอยู่ในพิพิธภณ
ฑ์ศิลปะ หอศิลป์ ซ่ึงหมายรวมถึงผลงานศิลปะท่ีสร้างสรรค์ข้ึนจากนก
ศึกษา
หรือผูท
ี่ผ่านสถาบน
การศึกษาทางศิลปะเท่าน้น
ส่วนศิลปะช้น
ต่า˚ น้น
ไดแ
ก่ ศิลปะที่ไม่ไดผ
ลิตจาก
สถาบน
ศิลปะหรือศิลปะของชาวบา้ น นอกจากน้ีความเป็ นสมย
ใหม่ยงั ให
วามส˚าคญ
กบความเป็ น
ผเู้ ชี่ยวชาญเฉพาะ รวมถึงมีการแบ่งแยกวา่ คนผิวขาวหรือคนตะวน
ตกเป็ นผูน
า˚ ของโลก หรือเป็ นคน
ที่ประกาศวาทกรรมที่แทจ
ริงท่ีสุดอน
ปฏิเสธไม่ได้ ในขณะท่ีศิลปะของกลุ่มหลง
สมย
ใหม่เชื่อว่า
ศิลปะที่ทา˚ ข้ึนมาน้น
สามารถท่ีจะลอก (Copy) ผอู
ื่นมาได้ ไม่จา˚ เป็ นตอ
งคา˚ นึงถึงเรื่องความเป็ นความ
เป็ นด้งั เดิม (Originality) และไม่ตอ
งคา˚ นึงถึงความเป็ นเอกภาพอีกดว
ย สามารถนา˚ ทุกอยา่ งมาผสม
กนไดอ
ยา่ งอิสระ ศิลปะในยค
น้ีไม่จา˚ เป็ นตอ
งอยใู่ นพิพิธภณ
ฑหรือสถาบน
เก่ียวกบ
ศิลปะแต่อยา่ งใด
ไม่จา˚ เป็ นตอ
งมีรูปแบบท่ีเป็ นสากล (Universal) และไม่มีการแบ่งแยกระหวา่ งศิลปะช้น
สูงกบ
ศิลปะ
ช้ันต่˚า ท้ังน้ีกลุ่มคนหลังสมัยใหม่ยงปฏิเสธความเป็ นผู้เช่ียวชาญรวมถึงความเป็ นผู้น˚าของ
ชาวตะวน
ตกอีกดว
ย เนื่องจากเช่ือวา่ ชนกลุ่มนอ
ยที่เคยดอ
ยกวา่ ในยุคสมย
ใหม่สามารถที่จะประกาศ
วาทกรรมของตนเองได้เช่นกัน อีกท้
ผูห
ญิงยง
มีสิทธ์ิเท่าเทียมกับผูช
าย เป็ นต้น ท้ง
น้ีผูเ้ สพ
(Audience) สามารถสร้างมิติของความหมาย เน้ือหา มุมมองและการรับรู้เกี่ยวกบความงามของ
ศิลปะซ่ึงส
พนธ์กบ
ประสบการณ์ทางสุนทรียะของผเู้ สพ (Hutchens & Suggs, 1997)
Gloag (2012) ผเู้ ช่ียวชาญดา้ นดนตรีกล่าววา
ดนตรีในยค
หลงั สมยั ใหม่จะมีลก
ษณะของการ
มาอยูร
วมกน
ของดนตรีหลากหลายแนว (Genres) ท่ีไม่น่าจะไปดว
ยกน
ได้ (Incompatible) ขอบเขต
และความแตกต่างของดนตรีสมยนิยม (Popular Music) ที่ส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากดนตรีของกลุ่ม
แอฟริกน
-อเมริกน
และกลุ่มลาติน กบ
ดนตรีช้น
สูง (Art Music) ที่มีรากฐานมาจากดนตรีของยุโรปมี
ลกษณะท่ีมีเส้นแบ่งท่ีไม่ชัดเจน (Blurred) มีการหยิบยืม (Crossed) และลบล้างรูปแบบเดิม
(Obliterated) ซ่ึงแมว
า่ ลก
ษณะของดนตรีในยโ
รปจะปรากฏของการผสมผสานทางวฒ
นธรรมดนตรี
มาเป็ นระยะเวลายาวนาน และนักประพนธ์เพลงในช่วงคร่ึงแรกของศตวรรษที่ 20 จะมีการ
ผสมผสานแนวดนตรีแต่ก็ยงั มีความแตกต่างกบ
ดนตรียุคหลง
สมย
ใหม่เพราะเทคโนโลยีไดน
า˚ พา
รูปแบบดนตรีนบ
ร้อยจากทว
ทุกมุมโลกมารวมกน
เกิดเป็ นแนวเพลงที่หลากหลายมากข้ึน
Gloag (2012) ยง
กล่าวต่อไปอีกว่า ดนตรีในยุคหลง
สมย
ใหม่เป็ นดนตรีที่มีคุณค่าด้าน
สุนทรียภาพผสมกบ
ปรัชญาตามแนวคิดยุคหลง
สมย
ใหม่ โดยดนตรีในยุคน้ีจะเน้นไปที่อารมณ์
ความรู้สึก การสัมผส และถ่ายทอดออกมาอย่างท่ีไม่เคยมีมาก่อน อย่างเช่นดนตรีแนวโพสร็อค
(Post-Rock) มีตน
กา˚ เนิดจากแนว Alternative Rock และ Progressive Rock ลก
ษณะของดนตรีแนว
น้ีจะคลา้ ยกบ
ดนตรีร็อค (Rock) แต่จงั หวะและการเรียบเรียงเพลงน้น
จะต่อตา้ นกบ
ดนตรีร็อคอยา่ ง
สิ้นเชิง เพราะไม่ใช้นักร้องนา แต่จะใช้เครื่องดนตรี เช่น กีตา้ ร์ในการบรรเลงแทน โดย Don
Caballero and Tortoise เป็ นวงดนตรีวงแรกๆ ที่มีการสร้างสรรคแนวดนตรโพี สร็อคขึ้นมา ในช่วงป
ค.ศ. 1990 จึงมีการบญญติแนวดนตรนี ้ีขึ้นและทา˚ ใหเ้ กิดวงโพสรอค็ รนใุ่ หม่ๆ ตามมา
จากแนวคิดเก่ียวกบ
สุนทรียะความงามของศิลปะท้งั ในยุคสมย
ใหม่และหลงั สมย
ใหม่ ทา
ให้เห็นถึงความแตกต่างในรูปแบบความคิดและการสรรค์สร้างผลงานศิลปะของศิลปิ นใน
หลากหลายแขนง เพลงก็เป็ นหน่ึงในน้น ซ่ึงแนวคิดดงั กล่าวน้ีสามารถนา˚ ไปเป็ นแนวทางการศึกษา
เก่ียวกบ
รูปแบบการประพน
ธ์เพลงของศิลปิ นนก
ประพน
ธ์เพลง เพ่ือแสดงให้เห็นวา่ พวกเขาไดก
า้ ว
ไปสู่แนวคิดหลง สมยั ใหม่
สมย
ใหม่แลว
หรือไม่ องค์ประกอบใดในดนตรีที่บอกช้ีให้เห็นถึงความเป็ นหลง
2.2.2 แนวคิดเกยวกบสังคมมวลชน
ยศ สันตสมบต
ิ (2540) กล่าววา
ในยค
ของส
คมมวลชน สมาชิกมีสภาพต่างคนต่างอยู่ และ
ในขณะเดียวกน
จิตใจก็มีความรู้สึกแปลกแยกกบ
สภาวะสังคมท่ีตนดา˚ รงอยู่ (Alienation) พวกเขา
ตองกลายมาเป็ นฟันเฟื องตวหนึ่งของระบบเศรษฐกิจและสังคมท่ีปราศจากเสรีภาพทางความคิด
ขาดความเสมอภาคในการดา˚ รงชีวต
และปราศจากการมีส่วนร่วมของระบอบการเมืองน้น
ๆ มวลชน
จึงถูกควบคุมด้วยกลุ่มนายทุนที่มีอา˚ นาจทางเศรษฐกิจ และกลุ่มที่มีอา˚ นาจทางการเมืองซ่ึงใช
สื่อมวลชนเป็ นส่วนหน่ึงของเคร่ืองมือในการควบคุมและครอบงา˚ สังคม ดงน้ สื่อมวลชนจึงถูก
ผนวกเขา้ กบส่วนหนึ่งของกลไกอา˚ นาจ เนื้อหาสาระที่นา˚ เสนอจึงมีเป้าหมายในทางการเมืองและ
การคา้ ของกลุ่มคนท่ีมีอา˚ นาจทางสังคม
Adorno and Horkheimer (1973, อา้ งถึงใน อุบลรัตน์ ศิริยุวศก
ด์ิ, 2547, น. 23) กล่าววา
วฒนธรรมมวลชนเกิดจากการแบ่งแยกวฒ
นธรรมชาวบา้ น (Low Culture) ออกจากวฒ
นธรรมของ
ชนช้น
นา (High Culture) โดยวฒ
นธรรมของชนช้น
นา˚ ถูกผลิตข้ึนภายใตศ
ิลปะและวรรณคดีช้น
สูง
ไม่ข้ึนกับมาตรฐานของผูบ
ริ โภค แต่จะข้ึนอยู่กับมาตรฐานของฝ่ ายผูผ
ลิตเป็ นหลัก ในขณะที่
สื่อมวลชนจะทา˚ หนา้ ที่ตอบสนองวฒ
นธรรมมวลชนโดยการผลิตสินคา้ ทางวฒ
นธรรมหรือสื่อตรง
ตามความตอ
งการของตลาดมวลชน (Mass Market) ซ่ึงตอ
งมีมาตรฐานเดียวกน
เพื่อสะดวกต่อการ
ผลิต และมีแบบแผนที่เป็ นมาตรฐานเดียวของมวลชน (Standardized)
ตารางที่ 2.1 เปรียบเทียบลก
ษณะความสา˚ คญ
ของวฒ
นธรรมช้น
นา˚ และวฒ
นธรรมช้น
สูง
ประเด็นเปรียบเทยบ | วฒนธรรมชนช้ันน˚า (High Culture) | วฒนธรรมมวลชน (Low Culture) |
ความเป็ นสถาบนั | ไดร้ ับการยอมรับ มีการอนุรักษ์ โดยรัฐ/สังคม | เป็ นส่วนประกอบของ สื่อมวลชนสมยั ใหม่และระบบ ตลาด |
ประเภทขององคก์ รการผลิต | สถาบนศิลปะของรัฐ และ ศิลปิ นอิสระ เพื่อตลาดเฉพาะ กลุ่ม | องคก์ รธุรกิจเพ่ือตลาดมวลชน ใชเทคโนโลยผลิตสินคา้ มาตรฐานอุตสาหกรรม |
เน้ือหาสาระและความหมาย | แปลกใหม่แต่มีคุณค่าแบบ คลาสสิก เขาใจยาก | แปลกใหม่ แต่มีสูตรสา˚ เร็จ มี ความเป็ นสากล แต่เสื่อมง่าย เขา้ ใจง่าย ใหค้ วามเพลิดเพลิน |
กลุ่มผรู้ ับสาร วตั ถุประสงค์ ในการใช้ และผลกระทบ | มีขนาดเล็ก เป็ นผูน้ ิยมศิลปะ เปิ ดโลกประสบการณ์ ให้ความ เขา้ ใจลึกซ้ึง ความพึงพอใจและ ใหอ้ ภิสิทธ์ ิ | มีขนาดใหญ่ เนน้ การบริโภค ใหความพึงพอใจในทนที คลาย เครียด หนเหความสนใจจาก ชีวตประจา˚ วนั |
แนวคิดเรื่องวฒ
นธรรมมวลชน (Mass Culture) กลายเป็ นที่สนใจศึกษากน
อย่างต่อเน่ือง
วฒนธรรมมวลชนเป็ นปรากฏการณ์ที่เป็ นความส
พนธ์ระหวา่ งสังคม วฒ
นธรรม และสื่อมวลชนที่
มีอิทธิพลต่อกันและกัน วฒนธรรมมวลชนเป็ นผลพวงจากอิทธิพลของส่ือมวลชนเช่นเดียวกบั
ปรากฏการณ์ตามแนวคิดของทฤษฎีสังคมมวลชน (อุบลรัตน์ ศิริยวศกด์ิ, 2547)
ในยุคต้นๆ ศิลปวฒ
นธรรม วรรณกรรม ดนตรี การขบ
ร้อง ละคร การแสดง ถือว่าเป็ น
วฒนธรรมช้น
สูง (High Culture) มีคุณค่าสูงส่ง มีมาตรฐานเป็ นที่รับรองโดยสถาบน
ทางสังคม กลุ่ม
ชนช้น
สูงในสังคมเท่าน้
ที่มีโอกาสได้เสพ ไดส
ัมผส
เช่น ภาพเขียน ดนตรีคลาสสิก การขบ
ร้อง
ละครโอเปร่า บล
เลย์ มีไวส
าหรับกลุ่มคนสังคมช้น
สูง ซ่ึงถือวา่ เป็ นส่ิงท่ีมีคุณค่าราคาแพง มีเกียรติมี
ศกด์ิศรีที่ไดส
ผส ส่วนสามญ
ชนคนธรรมดาก็สร้างความบน
เทิงเริงใจจากวฒ
นธรรมพ้ืนบา้ น (Folk
Culture) ซ่ึงมก
เป็ นศิลปะการแสดงในพิธีกรรมต่างๆ ของชาวบา้ นตามประเพณีปฏิบต
ิ ใช้เป็ น
เครื่องหมายแห่งความสามค
คี และเป็ นเอกลก
ษณ์ของชุมชน มีลก
ษณะเรียบง่ายสอดคลอ
งกบ
วิถี
ชีวต
ของชุมชน ต่อมาเม่ือส่ือมวลชนเขา้ มามีบทบาทต่อสังคมสมย
ใหม่ การถ่ายทอดวฒ
นธรรมผา่ น
เน้ือหาสื่อมวลชนในรูปแบบการผลิตแบบมวลรวม (Mass Production) ทา˚ ให้วฒ
นธรรมช้น
สูง และ
แม ระท วฒนธรรมพ้ืนบ้านถูกน˚ามาเผยแพร่สู่ประชาชนอย่างกวา้ งขวางทุกระดับ ไม่ว่าคน
ระดบ
สูงหรือระดบ
ล่างในสังคมก็สามารถสัมผสกบวฒ
นธรรมช้น
สูงไดเ้ ท่าเทียมกน
ทวทุกหนทุก
แห่ง เช่น สามารถสัมผสภาพเขียนที่มีช่ือเสียงผ่านการผลิตซ้า˚ ของสื่อส่ิงพิมพ์ สามารถฟังเพลง
คลาสสิกผา่ นวิทยุกระจายเสียง สามารถดูการถ่ายทอดดนตรีการขบร้องคอนเสิร์ตหรือโอเปร่าผา่ น
โทรทศ
น์หรือภาพยนตร์ ส่วนวฒ
นธรรมพ้ืนบา้ นก็ไม่ไดเ้ ป็ นส่ิงท่ีเสพกน
เฉพาะในชุมชนของตนเอง
อีกต่อไป สื่อมวลชนนา˚ มาถ่ายทอดผลิตซ้า˚ จนกลายเป็ นวฒนธรรมมวลชน (Mass Culture) (อุบล
รัตน์ ศิริยวศกด์ิ, 2547)
ประเด็นส˚าคัญของแนวคิดวฒนธรรมมวลชน ไม่ใช่เพียงเพราะถูกเผยแพร่ไปอย่าง
กวา้ งขวางทุกระดบ
ในสังคมเท่าน้น
เพราะผลพวงจากบทบาทส่ือมวลชนกรณีน้ีถือเป็ นดา้ นบวกที่
เสริมสร้างประชาธิปไตยทางวฒนธรรม แต่ประเด็นสา˚ คญ
ที่มีการวพ
ากษวจ
ารณ์และสนใจศึกษากน
อยา่ งกวา้ งขวางก็คือบทบาทในดา้ นลบของการสร้างวฒ
นธรรมมวลชน โดยเฉพาะขอ
กล่าวหาที่ว่า
สื่อมวลชนทาลายความงดงามและสุนทรียะของวฒนธรรมดง้ั เดมิ สรางว้ ฒนธรรมเทียม แสวงหาผล
กา˚ ไร มุ่งคา้ ขายวฒ
นธรรมโดยไม่มีความรับผด
ชอบ สร้างผลทางลบต่อศิลปะความงดงาม สุนทรียะ
ของสังคมและจิตใจของปัจเจกบุคคลลก
ษณะของวฒ
นธรรมมวลชนที่ส˚าคญ
คือ เป็ นการผลิตทีละ
มากๆ (Mass Production) มีมาตรฐานเดียว มีลักษณะเป็ นอุตสาหกรรมวฒนธรรม (Culture
Industry) เป็ นการผลิตซ้า
(Reproduce) จากวฒ
นธรรมของแทด
้งั เดิม เช่น การพิมพซ้า
แต่งซ้า
ถ่าย
ทา˚ ซ้˚า แสดงซ้˚า ฯลฯ มีการใช้เทคโนโลยีข้น
สูงในการผลิตซ้˚า ซ่ึงอาจมีการตด
เติมเสริมแต่งได้ มี
ระบบการจด
การเป็ นองคก
รธุรกิจขนาดใหญ่ และมีระบบการตลาดแบบครบวงจร มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
แสวงหากา˚ ไร มองวฒนธรรมเป็ นสินคา้ มากกว่าเป็ นสิ่งเสริมความงดงามในจิตใจ และเน้นกลุ่ม
ผบู
ริโภคกลุ่มใหญ่ มุ่งตอบสนองความบน
เทิงมากกวา่ ศิลปะ (ยศ ส
ตสมบต
ิ, 2540)
Baran and Davis (1995) ทฤษฎีสังคมมวลชนนา˚ เสนอขอ
สันนิษฐานเบ้ืองตน
เก่ียวกบ
ปัจเจก
บุคคล บทบาทสื่อมวลชนและลก
ษณะของการเปล่ียนแปลงสังคมไววา
สื่อมวลชนเป็ นเสมือนโรค
ร้ายในสังคมที่จะตอ
งปรับปรุงแกไ
ข มีพลงั อา˚ นาจท่ีจะเขา้ ถึงและมีอิทธิพลโดยตรงต่อคนทว
ไป มี
การนา˚ เสนอวฒ
นธรรมมวลชนที่ทา˚ ให้ลดรูปแบบความเป็ นวฒ
นธรรมช้น
สูงและความเป็ นศิวิไลซ์
แบบด้งั เดิมลงไป และการครอบงา˚ ของลท
ธิเผด็จการเป็ นส่ิงที่หลีกเลี่ยงไม่ไดส
า˚ หรับสื่อมวลชน เมื่อ
คนในสงั คมไดร้ ับผลกระทบในทางลบจากสื่อมวลชนก็จะส่งผลตามมาต่อปัญหาสังคมโดยรวมได
ท้งั น้ีคนทว
ไปอ่อนไหวต่ออิทธิพลจากสื่อมวลชน เพราะเขาเหล่าน้น
อยูใ่ นสังคมเมืองใหญ่ที่ถูกโดด
เด่ียวจากสถาบน
ทางสังคมและประเพณีท่ีเคยเป็ นภูมิคุมกน
มาก่อน
การสร้างวฒ
นธรรมมวลชนของสื่อมวลชน ทา˚ ให้เกิดวฒ
นธรรมประชานิยม (Popular
Culture) ตามมา ซ่ึงสร้างความนิยม คลง่ั ไคล้ หลงใหล ให้เกิดข้ึนในกลุ่มสังคมต่างๆ เพื่อประโยชน์
ดา้ นธุรกิจ เช่น การคลงั่ ไคลพ
ฤติกรรมการแต่งกาย การแสดง การขบ
ร้องของศิลปิ น ต่างๆ การนิยม
พูดหรือเขียนดว
ยภาษาวยั รุ่นที่เบี่ยงเบนไปจากวฒ
นธรรมภาษาด้งั เดิม วฒ
นธรรมท่ีถูกถ่ายทอดทาง
สื่อมวลชน นอกจากจะเบี่ยงเบน บิดเบือน บางคร้ังก็ผลิตผลงานข้ึนมากลายเป็ นรูปแบบของ
วฒนธรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ละคร ภาพยนตร์ หรือเพลงที่ขดกบ
ศีลธรรมอน
ดี กระตุน
ความ
รุนแรง และอาชญากรรมทางเพศ สร้างปัญหาให้กบสังคม (Fiske & Hartley, 1978, อา้ งถึงใน อุบล
รัตน์ ศิริยวศกด์ิ, 2547, น. 24)
2.3 การสื่อสารของปัจเจกบุคคล
2.3.1 ความหมาย บทบาทหน้าที่ วตถุประสงค์ และพฤติกรรมการส่ือสาร
Samovar and Larson (2004) ไดใ้ ห้คา˚ จา˚ กด
ความเรื่องการส่ือสารของมนุษยวา
การสื่อสาร
หมายถึงกระบวนการซ่ึงปัจเจกบุคคลในบริบทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ นในกลุ่มเครือญาติ องค์กร และ
สังคมชุมชนมีปฏิสัมพน
ธ์ตอบสนองและสร้างขอ
มูลข่าวสารเพ่ือที่จะปรับตว
เองให้เขา้ กบ
บริบท
หรือสภาพแวดลอ
มและผอู
ื่นในสังคม
การส่ือสารทา˚ ให้มนุษยว
ิเคราะห์ประเมินสถานการณ์และคนอื่นก่อนสะทอ
นยอ
นดูตว
เอง
(Self-Reflection) เมื่อเราพิจารณาองค ระกอบท้งั หมดของบริบททางการสื่อสารจะเห็นว่าปัจเจก
น้น
ไม่เพียงแต่รับและส่งสาร แต่ยงั วิเคราะห์ขอ
มูลและตอบสนองต่อสิ่งที่อยู่รอบตว
ไม่ว่าจะเป็ น
บริบทหรือบุคคลที่เกี่ยวขอ
ง เพื่อใช้ประเมินการส่ือสารท้งั หมดของตนและผูอ
ื่น ท่ีส˚าคญ
มนุษยม
ความสามารถท่ีจะคิดใคร่ครวญเกี่ยวกบตวเอง ความสามารถที่จะเฝ้ามองความเป็ นไปของโลก และ
สะทอ
นใหเ้ ห็นถึงอดีต ปัจจุบน
และอนาคต นน
คือเนน
วา่ ตว
ตนสามารถเกิดข้ึนในขณะสื่อสาร เรา
สามารถมอง ประเมิน และแกไ
ขการปฏิบต
ิของเราในฐานะของผูท
ี่สื่อสารกบ
คนรอบขา้ ง อน่ึงใน
บางวฒ
นธรรม ความสามารถท่ีจะสะทอ
นตนเองของปัจเจกน้น
อาจไม่ถูกแสดงออกมาโดยเปิ ดเผย
ด้วยความเช่ือประกอบกบ
ความเช่ือที่ว่าปัจเจกควรมีชีวิตอยู่เพื่อผูอ
ื่น วฒ
นธรรมซ่ึงอาจเน้นการ
แสดงออกของกลุ่มเป็ นส˚าคญ
ซ่ึงเป็ นการเนน
ความส˚าคญ
ของการส่ือสารกบ
การอยู่ร่วมกบ
คนอ่ืน
แมว
า่ จะผูกกบ
กิจกรรมท่ีสะทอ
นตว
เองระหวา่ งสื่อสาร แต่ประเด็นหลก
คือการรักษาความสัมพนธ์
กบผูอ
ื่น อาทิ วฒ
นธรรมไทยเราจะเนน
ค่านินมเร่ืองความเกรงใจ การสื่อสารแบบเนน
การเอาใจเขา
มาใส่ใจเรา (Empathic Communication) ในขณะที่บางวฒนธรรมจะแสดงความสนใจของตวตน
มากกวา่ วฒ จกรวาล
นธรรมอื่นๆ อาทิ ชาวอเมริกน
เติบโตกบ
ความเช่ือที่วา
ปัจเจกบุคคลเป็ นศูนยก
ลางของ
2000)
ลกษณะส˚าคญ
ของการสื่อสารสามารถอธิบายได้ 5 ประการ ดง
น้ี (Pearson & Nelson,
1) การสื่อสารเป็ นกระบวนการที่เป็ นพลวต (Dynamic Process) มีการเปลี่ยนแปลง
ต่อเนื่องตลอดเวลาโดยไม่มีที่สิ้นสุด น่ันคือมนุษยต้องกระทา˚ การส่ือสารในรูปแบบต่างๆ อยู
ตลอดเวลาขณะต่ืนและรู้สึกตว
โดยท่ีรูปแบบการส่ือสารต่างๆ เหล่าน้น
จะถูกปรับเปลี่ยนไปตาม
ความเหมาะสมของสถานการณ์แวดลอม
2) การสื่อสารมีกระบวนการทา˚ งานที่เป็ นระบบ (Systematic Process) กระบวนการ
ทา˚ งานของการส่ือสารประกอบดว
ยองคป
ระกอบต่างๆ ท่ีมีความสัมพน
ธ์และมีอิทธิพลซ่ึงกน
และ
กน ท้งั องคป
ระกอบหลก
ไดแ
ก่ ผูส
่งสาร สารช่องทางในการส่ือสาร และผูร้ ับสาร อน
ขาดไม่ไดใ้ น
กระบวนการส่ือสาร เนื่องจากถ้าขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหน่ึงไป การสื่อสารก็จะไม
สามารถเกิดข้ึนได้ เเละองค
ระกอบอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวขอ
ง ได
ก่ ปฏิกิริยาป้อนกลบ
สภาพแวดล้อม
ทางการสื่อสาร บริบททางการสื่อสาร ฯลฯ ที่ช่วยเสริมให้กระบวนการทา˚ งานของการสื่อสาร เป็ นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพมากยงิ่ ข้ึน
3) สัญลกษณ์ (Symbol) เป็ นเครื่องหมายส˚าคญ
ที่มนุษยใ์ ชใ้ นการสื่อสาร สัญลก
ษณ์
ในท่ีน้ีหมายถึง สิ่งที่มนุษยส
ร้างข้ึนเพ่ือเป็ นตว
แทนแสดงหรือสะทอ
นความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อสิ่ง
ต่างๆ และเพื่อเชื่อมโยงตนเองกบ
ผูอ
ื่นในสังคม สัญลก
ษณ์ท่ีใชใ้ นการส่ือสารมีท้งั สัญลก
ษณ์ที่เป็ น
ภาษาพูดและภาษาเขียน (วจนภาษา) และไม่ใช่ภาษาพูดและภาษาเขียน (อวจนภาษา) การสื่อสารถือ
เป็ นระบบแห่งสัญลก
ษณ์ (Symbolic) ความสามารถในการสร้างสัญลก
ษณ์ของมนุษยก
่อให้เกิดการ
ใชส
ัญลก
ษณ์เพื่อการปฏิสัมพน
ธ์ระหวา่ งกน
ซ่ึงยงั ผลให ฒ
นธรรมถูกส่งผา่ นจากคนรุ่นหน่ึงไปยง
อีกรุ่นหน่ึง อาจกล่าวไดวา
การสร้างและการบริโภคสัญลก
ษณ์น้น
เป็ นความสามารถทางการสื่อสาร
ที่มีลก
ษณะเฉพาะ เป็ นเอกลก
ษณ์ของมนุษยเ์ พื่อแสดงกระบวนการสื่อสารภายในตว
ตนของบุคคล
ในแง่วฒ
นธรรมสัญลก
ษณ์น้น
ข้ึนอยู่กบ
อตวิสัยของบุคคลและบริบททางวฒ
นธรรม ถึงแมว
่าทุก
วฒนธรรมจะใชส
ัญลก
ษณ์ แต่ก็กา˚ หนดความหมายและวต
ถุประสงคท์ ี่แตกต่างกน
ออกไปส˚าหรับ
การใชส
ัญลก
ษณ์น้นๆ
4) ความหมาย (Meaning) เป็ นสิ่งที่ทา˚ ให ารส่ือสารเป็ นที่เขา้ ใจและยอมรับร่วมกน
ความหมายคือแนวคิดท่ีมนุษยก
า˚ หนดสร้าง (Construct) ให บ
สัญลก
ษณ์ต่างๆ ท่ีมีอยูใ่ นสังคมเพื่อ
เชื่อมโยงให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน น่ันหมายความว่าการสื่อสารที่สมบูรณ์ต้องมีส่วนที่เป็ น
สัญลก
ษณ์และความหมาย หากปราศจากซ่ึงความหมายแลว
การสื่อสารก็จะเป็ นเพียงการแสดงออก
ซ่ึงส
ลกษณ์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเท่าน้นั
5) การส่ือสารเป็ นการกระทา˚ ท่ีเกิดจากความต้
ใจ (Intent) และมีจุดมุ่งหมาย
(Purposive) ในการก่อใหเ้ กิดผลอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ความต้งั ใจของผูส่งสารในการดา˚ เนินการส่ือสาร
และจุดมุ่งหมายในการสื่อสาร เป็ นปัจจย
ส˚าคญ
ที่ทา˚ ให้เกิดการสื่อสารอยา่ งแทจ
ริง ความต้งั ใจและ
จุดมุ่งหมายในการสื่อสารมก
เป็ นปัจจย
ที่เกิดข้ึนควบคู่กน
ไปในกระบวนการส่ือสาร โดยทว
ไปแลว
การสื่อสารมก
เกิดจากความต้งั ใจและจุดมุ่งหมาย 3 ประการ ไดแ
ก่ จุดมุ่งหมายในการบอกกล่าว
(Informing) จุดมุ่งหมายในการโน้มน้าวใจ (Persuading) และจุดมุ่งหมายในการเข้าสังคม (Socializing)
Curtis (1997) กล่าวว่า บทบาทหนา้ ที่ของการส่ือสารในระดบปัจเจกบุคคล เป็ นบทบาท
หน้าที่ในการตอบสนองความตองการในด้านต่างๆของบุคคล โดยเฉพาะการตอบสนองความ
ตองการสร้าง อตลก
ษณ์ใหกบ
ตวเอง (Identity Needs) ดงั ที่ไดก
ล่าวมาแลว
อตลก
ษณ์คือ ภาพลก
ษณ์
ท่ีบุคคลสร้างให้กับตัวเองผ่านทางการรับรู้ที่เกิดจากปฏิกิริ ยาของคนอื่นๆ มนุษย์เราทุกคน
จา˚ เป็ นตอ
งมีอตลก
ษณ์ และอตลก
ษณ์เป็ นส่ิงที่มาจากการติดต่อสื่อสารกบ
ผูอ
่ืนใน 2 ลก
ษณะคือ
บุคคลรับรู้ว่าตนเองเป็ นใครตามคา˚ นิยามท่ีผูอื่นให้แก่ตน และบุคคลรับรู้ว่าตนเองเป็ นคนอย่างไร
ตามวถ
ีทางที่ผอู
่ืนมีปฏิส
พนธ์กบตน
Curtis (1997) ยงั กล่าวต่อไปอีกว่า การสร้างอต
ลกษณ์ให้กบ
ตนเองเป็ นกระบวนการที่
เกิดข้ึนตลอดชีวิต มีการศึกษาทางสังคมวิทยาที่ส˚าคญ
ที่ช้ีให้เห็นว่าการส่ือสารมีความสัมพน
ธ์กบ
การสร้างอตลก
ษณ์ เด็กที่เติบโตมาในหอ
งมืดตามลา˚ พงั โดยปราศจากการติดต่อส่ือสารกบ
บุคคลอื่น
เน่ืองจากถูกกกขงั เป็ นเวลานาน 12 ปี ไม่สามารถพูดและรับรู้วา่ ตนเองเป็ นใคร จนกระทง่ั ไดเ้ ขา้ สู่
สังคมมนุษย์และเรียนรู้กระบวนการสื่ อสาร จึงทา˚ ให้เด็กผูน
้ันสามารถกล
มาดา˚ เนินชีวิตอยู่ใน
สังคมไดอ
ีกคร้ัง การส่ือสารจึงเป็ นไปเพื่อการตอบสนองต่อความตอ
งการดา้ นสังคม (Social Needs)
เช่นกน
ซ่ึงความตอ
งการดา้ นสังคมน้ีหมายถึง ความตอ
งการในการเชื่อมโยงตนเองใหเ้ ขา้ กบ
ผูอ
ื่น
เนื่องจากตลอดช่วงชีวิตมนุษยต
องอยรู่ ่วมกบ
ผอู
่ืนตลอดเวลา การส่ือสารเป็ นเครื่องมือส˚าคญ
ที่ทา˚ ให
มนุษยอ
ยรู่ ่วมกบ
ผอู
ื่นไดอ
ยา่ งมีประสิทธิภาพ การส่ือสารสามารถตอบนองความตอ
งการดา้ นสังคม
ในระดบ
พ้ืนฐาน 3 ระดบ
ไดแ
ก่ ระดบ
การเช่ือมโยงกบ
บุคคลอื่นในสังคม ระดบ
การทา˚ ให้ตนเอง
เป็ นที่ยอมรับในสังคม และระดบการทา˚ ให้ตนเองมีส่วนร่วมในสังคม ซ่ึงจะทา˚ ให้ปัจเจกบุคคล
สามารถเชื่อมโยงกบ
ผอู
่ืน ทา˚ ใหไ
ม่รู้สึกโดดเดี่ยว และก่อใหเ้ กิดการเป็ นส่วนหน่ึงของกลุ่มสังคม ไม
วา่ จะเป็ นกลุ่มสังคมในระดบไหนหรอรปูื แบบใดก็ตาม
Boorstin (1970, อา้ งใน ยุคลรัตน์ เจตนธรรมจกร, 2537) กล่าวถึงการส่ือสารในการสร้าง
ภาพลก
ษณ์ของศิลปิ นว่า เมื่อบุคคลมีภาพลก
ษณ์ต่อส่ิงหน่ึงส่ิงใดในความรู้สึกนึกคิดของตนแล้ว
ภาพลก
ษณ์น้ีจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล และมีแนวโน
ที่จะไปเหนี่ยวนา˚ พฤติกรรมของ
ผูบ
ริโภคและสาธารณชนให้เห็นคล้อยตามไปในทิศทางเดียวกน
ได้ โดยเฉพาะภาพลักษณ์เมื่อ
เกิดข้ึนแลว
จะเปลี่ยนแปลงไดย
าก และหากขอ
มูลดงั กล่าวไปขด
แยง้ กบ
ความคิดเห็นตามความเชื่อ
อาจจะถูกปฏิเสธได้ ซ่ึงภาพลกษณ์น้ีมี 6 ประการ คือ
1) ภาพลกษณ์เป็ นการสังเคราะห์ (An Image is Synthetic) คือมีการสร้างขึ้นโดย
วางแผนไวล
่วงหน้าเพื่อให้สนองต่อวต
ถุประสงค์ โดยเฉพาะเพ่ือสร้างความประทบ
ใจให้เกิดแก่
สาธารณชน ซ่ึงกลุ่มผสู
ร้างสรรคจ
ะมีการวางแผน นา˚ จินตนาการต่างๆ มาประกอบเขา้ ดว
ยกน
มีการ
นา˚ เสนอไปตามส่ือต่างๆ ที่ไดต
ระเตรียมไว้ โดยกา˚ หนดขอบเขตของภาพลก
ษณ์ที่ตอ
งการจะสร้าง
ใหเ้ กิดข้ึนในจิตใจของคนทว
ไป ซ่ึงศิลปิ นแต่ละคนจะมีจุดขายอยู่ตรงไหนน้น
ข้ึนอยู่กบ
การคิดคน
งานสร้างสรรคท
่ีมองเห็นจากจุดเด่นในตว
ของศิลปิ นนน
เอง
2) ภาพลกษณ์ถูกสร้างขึ้นให้น่าเชื่อถือ (An Image is Believable) การสร้าง
ภาพลก
ษณ์จะไม่เกิดประโยชน์หากไม่มีความน่าเช่ือถือ ภาพลก
ษณ์ที่มีความน่าเชื่อถือตอ
งสามารถ
เขา้ ใจไดง้ ่าย ไม่เกินจริง เป็ นท่ียอมรับของสาธารณชน บุคลิกภาพส่วนตวที่เหมาะสมซ่ึงถือวา่ เป็ น
ขอท่ีส˚าคญ
ที่สุดในการสร้างภาพลก
ษณ์เพราะเป็ นส่ิงแรกท่ีคนได
บเห็น จะเกิดความประทบใจ
ความน่าเชื่อถือ ความชื่นชม
3) ภาพลก
ษณ์ควรสอดคลอ
งกบ
ความเป็ นจริง (An Image is Passive) ผูส
ร้าง
ภาพลก
ษณ์จะตอ
งวางภาพลก
ษณ์น้น
ใหเ้ หมาะสมกบ
สิ่งท่ีนา˚ มาสร้างและภาพลก
ษณ์น้น
สามารถเขา
กนไดด
ีกบ
ความคาดหวงั ของผบู
ริโภค
4) ภาพลกษณ์สามารถตอบสนองเป้าประสงค์และดึงดูดความรู้สึก (An Image is
Vivid and Concrete) ภาพลก
ษณ์ที่ถูกสร้างข้ึนควรเลือกเฉพาะคุณสมบต
ิท่ีโดดเด่นมองเห็นไดชด
และเป็ นรูปธรรมที่ดึงดูดความรู้สึกโดยจะตอ
งตอบสนองเป้าหมายไดด
ีที่สุด
5) ภาพลก
ษณ์ควรเป็ นท่ีเขา้ ใจง่าย (An Image is Simplified) ภาพลก
ษณ์จะตอ
งเป็ น
สิ่งที่ดูง่าย แต่มีเอกลก
ษณ์พอจดจา˚ ได้ เม่ือเห็นแลว
รู้สึกไดท
นที
6) ภาพลก
ษณ์เป็ นส่ิงท่ีอยู่ระหว่างจินตนาการกบ
ความเป็ นจริง (An Image is
Ambiguous) เป็ นการนา˚ ภาพลักษณ์ที่มีความคลุมเครือมาผนวกก บุคลิกของนักร้องแล้วเสนอ
ออกมาตอบสนองตามความตอ
งการผบ
ริโภคเพื่อใหผบู
ริโภคตีความหมายตามความคาดหวง
2.3.2 การรับรู้ ความเช่ือ ทศนคติ และค่านยมิ
1) การรับรู้และวฒนธรรม (Perception and Culture)
วฒนธรรมมีส่วนทา˚ ใหค
นกลุ่มส่วนใหญ่มีลก
ษณะคลา้ ยคลึงกน
แต่ไม่ไดห
มายความ
วา ทุกคนที่อยูใ่ นวฒ
นธรรมเดียวกน
จะตอ
งมีเหมือนกน
ทุกประการ Triandis (1971) กล่าววา
ปัจจย
ดา้ นวฒ
นธรรมมีผลและมีส่วนสัมพน
ธ์อยา่ งลึกซ่ึงกบ
กระบวนการการรับรู้ มนุษยท
ุกคนเกิดมาบน
โลกโดยปราศจากความหมาย และวฒ
นธรรมเป็ นตว
ทา˚ ให้เกิดความหมาย โดยส่งผ่านมาทาง
ประสบการณ์เป็ นส่วนใหญ่ ด
น้ันการรับรู้คือการตด
สินวฒ
นธรรม มนุษยเ์ ลือกที่จะเรียนรู้ละ
พฒนาทศ
นคติ มโนคติ หรือมุมมองต่อโลกท่ีหลากหลายข้ึนอยกู บ
2) ความเชื่อ (Beliefs)
ภูมิหลงั ของวฒ
นธรรม
เม่ือปัจเจกบุคคลเช่ือในส่ิงใด เขาจะหยุดต้งั คา˚ ถามกบ
สิ่งๆ น้น
อาจกล่าวไดว
า่ ความ
เชื่อเป็ นปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อระบบความคิดและการสื่อสารเพราะมีผลกระทบต่อจิตส˚านึกของมนุษย
ความเชื่อจะปลุกฝังอยูใ่ นตว
เราพร้อมๆ กบ
การเติบโตและกระบวนการทางสังคม มนุษยเ์ ราเติบโต
มาพร้อมกบ
ความเช่ือที่หนก
แน่นต่อส่ิงต่างๆ เม่ือเราต้งั คา˚ ถามกบ
ความเช่ือพ้ืนฐานของวฒ
นธรรม
เราจะได้รับปฏิกิริยาโตต
อบในทางลบ ดงน้
เราก็จะหลีกเลี่ยงการต้ง
คา˚ ถามไปโดยปริยาย และ
ยอมรับเอาสิ่งต่างๆ ท่ีถูกส่งั สอนมา มิเช่นน้น
เราก็จะถูกขบ
ออกจากสังคม อีกนย
หน่ึงวฒ
นธรรมเป็ น
ตวกา˚ หนดใหเ้ ราเช่ือวา่ มน
เป็ นส่ิงที่มีคุณค่าและถูกตอ
ง (บรรเทิง พาพิจิตร, 2549)
Rogers and Steinfatt (1999) กล่าวว่า ความเชื่อเปรียบไดกบ
ระบบการจด
เก็บ
ประสบการณ์ในอดีต รวมท้ง
ความคิด ความจา˚ และการตีความเรื่องราวต่างๆ ซ่ึงวฒ
นธรรมส่วน
บุคคลเป็ นตว
ก่อใหเ้ กิดความเชื่อ ความเช่ือเป็ นหน่วยพ้ืนฐานของระบบความคิดของมนุษยก
่อนการ
สร้างค่านิยมและทศ
นคติ เมื่อเราเชื่อในสิ่งใดแล
เรามก
มีแนวโน้มท่ีจะเช่ือในสิ่งน้
ต่อไปโดย
ปราศจากขอ
กงั ขาใดๆ ท้งั สิ้น
3) ทศนคติ (Attitudes) Rokeach (1970) กล่าวว่า ทศ
นคติเป็ นอีกมิติหน่ึงของการรับรู้ ซ่ึงมีอิทธิพลต่อ
ประสบการณ์และปฏิกิริยาที่เรามีต่อโลก ถา้ เราเชื่อวา่ การชกมวยอาจก่อให้เกิดการทา˚ ร้ายร่างกายกน
มากข้ึน เราก็จะเกิดอคติต่อกีฬาชกมวย เช่นเดียวกน
กบกรณีของความเชื่อ มีการถ่ายทอดทศ
นคติ
ผ่านทางองค
ระกอบทางวฒ
นธรรม วฒ
นธรรมต่างๆ ที่อยู่รอบตว
เรามีส่วนช่วยกา˚ หนดรูปแบบ
ทศนคติ ความพร้อมในการตอบสนอง และความประพฤติข้น
4) ค่านิยม (Values)
พ้ืนฐานของปัจเจกบุคคล
ความเช่ือและทศ
นคติมีบทบาทส˚าคญ
ต่อค่านิยม Nanda and Warms (1998) กล่าววา
ค่านิยม คือ ความคิดร่วมวา่ อะไรถูกตอง จริงแท้ และงดงาม โดยระบบค่านิยมแสดงใหเ้ ห็นถึงส่ิงท่ี
เราคาดหวง
ตองการ และสิ่งท่ีตอ
งห้าม ซ่ึงมิใช่การกระทา˚ ที่เกิดข้ึนจริง แต่เป็ นระบบของบรรทด
ฐานและประยุกต์ใช้ในการลงโทษ ค่านิยมทางวฒ
นธรรมส่วนใหญ่มก
ไม่ใช่ค่านิยมส่วนบุคคล
(Personalized Values) แต่มกเป็ นค่านิยมเชิงกลุ่ม (Collective Values) เรามองโลกและการสื่อสาร
กบโลกอยา่ งไรน้น
ข้ึนอยกู บ
ตวแปร เช่น อายท
่ีเปล่ียนแปลงไป เพศ สถานภาพ อาชีพ การเมือง กลุ่ม
และผูท
่ีมีส่วนเก่ียวข้องกันทางวฒ
นธรรมร่วม โดยวฒ
นธรรมพ้ืนฐานเกิดจากโครงสร้างของ
ครอบครัว ซ่ึงวฒ
นธรรมครอบครัวเป็ นแรงกระตุน
ส˚าคญ
ท่ีจะช่วยจด
รูปร่างของความเชื่อ ทศ
นคติ
และค่านิยมของมนุษย
2.3.3 การเล่าเรื่อง (Storytelling)
การเล่าเรื่อง คือ การถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก จากเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน
จริงหรือเหตุการณ์ท่ีสร้างข้ึนเอง ซ่ึงบุคคลหน่ึงไดถ
่ายทอดไปยงั อีกบุคคลหน่ึง โดยอาศย
การพูด
ภาพ เสียง ตวอก
ษร หรือสัญลก
ษณ์ที่ไม่ถูกจา˚ กด
ดวยรูปแบบ และไม่ถูกจา˚ กด
ดวยประเภทของสื่อ
โดยเร่ืองเล่าแต่ละเรื่องน้น
มกแฝงไวด
วยวต
ถุประสงคต
่างๆ ท่ีผูเ้ ล่าตอ
งการจะถ่ายทอดไปสู่ผูอ
่าน
หรือผฟู 2558)
ัง โดยองคป
ระกอบการเล่าเรื่องมีอยูด
วยกน
8 องคป
ระกอบ ดงั น้ี (อุบลวรรณ เปรมศรีรัตน์,
1) โครงเรื่อง (Plot) โครงเรื่อง (Plot) ตามทศ
นะของ อุมาพร มะโรณีย์ (2551) หมายถึง “การลา˚ ดบ
เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนอยา่ งมีเหตุมีผล และมีจุดหมายปลายทาง กล่าวคือ มีช่วงตน ช่วงกลาง และตอน
จบของเร่ือง การวางโครงเรื่องคือการวางแผน หรือกา˚ หนดเส้นทางของตวละครภายในเรื่องท่ีจะมี
ท้งั ปัญหา อุปสรรค การกระทา
ทางเลือก และบทสรุปของตว
ละครแต่ละตว
วา่ จะเป็ นอย่างไร” ซ่ึง
การลาดบเหตุการณ์โครงเรื่องมี 5 ข้นตอน ดงั น้
(1) ข้น
เร่ิมเร่ือง (Exposition) เป็ นการชกจูงความสนใจใหต
ิดตามเรื่องราว มีการ
ปูเรื่อง เช่น แนะน˚าตว
ละคร สถานที่ หรือเผยปมปัญหา หรือข้อขด
แยง
ให้ชวนติดตาม โดยไม
จา˚ เป็ นตอ
งไล่ตามลา˚ ดบ
เวลาก่อนหลงั ก็ได
(2) ข้นพฒนาเหตุการณ์ (Rising Action) คือการดา˚ เนินเรื่องราวหรือเหตุการณ์
ต่อเนื่องให้สมเหตุสมผล โดยเพ่ิมปมปัญหาความขด
แยง
ของตว
ละครให้เขม
ข้นข้ึนเพื่อพฒนา
เหตุการณ์สู่ข้น
ต่อไป
(3) ข้น
ภาวะวิกฤต (Climax) เป็ นข้น
ที่ปมวิกฤตหรือปัญหาความขด
แยง
พุ่ง
สูงข้ึนถึงขีดสุดของเร่ือง ตวละครจะถูกบีบใหเ้ ลือกอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่
(4) ข้นั เปิ ดเผยหรือคลี่คลายไดแลว
ภาวะคลี่คลาย (Falling Action) เป็ นข้น
ท่ีปัญหาความขด
แยง
ต่างๆ
(5) ข้น
ยุติเร่ืองราว (Ending) เป็ นข้น
ท่ีเรื่องราวต่างๆ ได้จบสิ้นลง โดยไม
จา˚ เป็ นตอ
งจบแบบมีความสุขเสมอไป อาจจะจบแบบสูญเสีย หรือจบเป็ นปริศนาก็ได
2) แก่นเรื่อง (Theme)
แก่นเรื่องหรือแก่นความคิด (Theme) เป็ นแนวคิดหลก
ของเรื่องที่เป็ นองคป
ระกอบที่
สา˚ คญ
ของการเล่าเรื่องเมื่อตอ
งวเิ คราะห์ใจความสา˚ คญ
ของเรื่องเพื่อใหท
ราบวา่ ผสู
่งสารตอ
งการบอก
อะไร โดยแก่นเรื่องแบ่งได้ 6 ประเภท ดงั น้ี (Goodlad, 1971) คือ ความรัก (Love Theme) ศีลธรรม จรรยา (Morality Theme) แนวคิด (Idealism Theme) อา˚ นาจ (Power Theme) การทา˚ งาน (Career Theme) และเหนือจริง (Outcast Theme)
3) ความขดแยง (Conflict)
ปริญญา เก้ือหนุน (2537, อา้ งถึงใน ฉลองรัตน์ ทิพยพิมาน, 2539) ให้ความเห็น
เก่ียวกบ
ความขด
แยง้ วา
“ความขด
แยง้ เป็ นองคป
ระกอบส˚าคญ
อย่างหน่ึงของเรื่องที่สร้างปมปัญหา
การหาหนทางแกป
ัญหา ความขด
แยง้ ของตว
ละคร คือ การปฏิปักษ์ต่อกน
หรือความไม่ลงลอยใน
พฤติกรรม การกระทา
ความคิด ความปรารถนา หรือความต้งั ใจของตว
ละครในเร่ือง” โดยความ
ขดแยง้ สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ 1) ความขด
แยง้ ระหวา่ งคนกบ
คน 2) ความขด
แยง้ ภายใน
จิตใจ 3) ความขด
แยง้ กบ
ภายนอก เช่น ความขด
แยง้ กบ
สภาพแวดลอ
มหรือธรรมชาติอน
โหดร้าย
4) ตวละคร (Character)
ตวละคร (Character) คือ ผูก
ระทา
และผูท
ี่ได้รับผลจากการกระทา
ตวละครที่ดี
จะตอ
งมีพฒนาการ คือมีการเปลี่ยนแปลงความคิด อุปนิสัย ตลอดจนถึงทศ
นคติและการกระทา
โดย
ที่การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนน้ีจะตอ
5) ฉาก (Setting)
งไม่ขดกบ
หลก
เหตุผลและความเป็ นจริง
ฉากเป็ นองค์ประกอบหน่ึงที่มีอยู่ในเร่ืองเล่าแทบจะทุกประเภท เนื่องจากฉากเป็ น สถานท่ีท่ีดา˚ เนินเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเรื่องซ่ึงสามารถบอกความหมายบางอย่างในเรื่องและมี
อิทธิพลต่อความคิด และการกระทา˚ ของตวละคร โดยฉากในการเล่าเร่ืองแบ่งออกเป็ น 2 ส่วน ดงั น้
คือ 1) ช่วงเวลา (Time) คือช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ในเรื่องเล่าน้นขึ้น 2) สถานที่ (Location) คือ
สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ข้ึน เป็ นตวกา˚ หนดตอจา่ กช่วงเวลา
6) บทสนทนา (Dialogue)
บทสนทนาเป็ นส่วนท่ีช่วยใหเ้ หตุการณ์ในเร่ืองดา˚ เนินไปตามที่ตอ
งการ นอกจากน้น
บทสนทนายงั เป็ นส่วนที่สะทอ
นถึงความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ลก
ษณะนิสัย และบุคลิกของตว
ละครดว
ย การเขียนบทสนทนาจึงจา˚ เป็ นตอ
งให้ความส˚าคญ
กบความเหมาะสมของตว
ละครดวย
วีรวฒ
น์ อินทรพร (2545, น. 122-123) ได้กล่าวว่าบทสนทนามีความส˚าคญ
ต่อการเขียนเรื่อง
วตถุประสงคส
า˚ คญ
ต่อการเขียนบทสนทนาคือ ช่วยดา˚ เนินเร่ืองแทนคา˚ บรรยายของผูเ้ ล่า ช่วยให้รู้จก
ตวละครในเรื่องโดยออ
ม ช่วยใหว
ธีการเขียนไม่ซ้า˚ ซากจา˚ เจ สร้างความสมจริงทา˚ ให
ูร้ ับสารรู้สึกวา
เป็ นเรื่องราวท่ีเกิดข้ึนจริง ทา˚ ใหบ ตามบุคลิกตวละคร
ทประพน
ธ์น่าอ่าน มีชีวต
ชีวา โดยเฉพาะบทสนทนาที่เขียนไดตรง
7) มุมมอง (Point of View)
มุมมองเป็ นกลวธ
ีที่ผแู
ต่งใชใ้ นการเล่าเร่ือง โดยกา˚ หนดวา่ จะเล่าเรื่องผา่ นมุมมองของ
ใครหรือตว
ละครตว
ไหน กลวธ
ีในการเล่าเรื่องจึงอาจแบ่งไดห
ลายวธ
ีดงั น้
(1) บุรุษที่หน่ึงเป็ นตว
ละครสา˚ คญ
ในเร่ืองเป็ นผูเ้ ล่า
(2) บุรุษท่ีหน่ึงซ่ึงเป็ นตวละครรองในเรอง่ื เป็ นผเู้ ล่า
(3) ผประพนธ์ในฐานะเป็ นผรู้ ู้แจงเหน็ จรงิ ทุกอยา่ งเป็ นผเู้ ล่า
(4) ผูป
ระพน
ธ์ในฐานะเป็ นผูส
ังเกตการณ์เป็ นผูเ้ ล่า การเล่าแบบน้ีจะไม่เล่าถึง
การนึกคิดของตว
ละคร แต่เล่าเพียงลก
ษณะภายนอกที่ไดเ้ ห็นและไดยน
เท่าน้น
(5) บุรุษที่หน่ึงเป็ นผูเ้ ล่าดว
ยกระแสจิตประหวด
(Stream of Consciousness) คือ
การใหต
วละครส˚าคญ
เล่าเร่ืองของตนเอง แต่ไม่ใช่การเล่าตามเหตุการณ์ เป็ นการที่ตว
ละครเล่าผา่ น
ความนึกคิดหรือความทรงจา˚
8) สัญลกษณ์พิเศษ (Special Symbolic)
เป็ นการใชส
ัญลก
ษณ์ของภาพในการสื่อความหมายท้งั ในรูปของคา˚ พูดและภาพ จาก
งานวิจย
เรื่อง “การวิเคราะห์เน้ือหาเร่ืองโทรศพ
ท์ในเพลงไทยสากล” ของ พิมพช
นก ชนะศึกจารุ
พชร์ (2550) ซ่ึงเป็ นงานวิจย
ที่ได
ึกษาถึงกระบวนการสื่อสารและการสื่อความหมายต่างๆ ใน
เน้ือหาเพลงจากการมีหรือใช
ทรศพ
ท์ รวมถึงปัจจย
ที่ส่งผลต่อการสร้างผลงานเพลงไทยสากลที่
เน้ือหาและภาษาเกี่ยวก
การใช้โทรศัพท์ โดยที่มาของการทา
วิจยั เรื่ องน้ีเกิดจากการเล็งเห็น
ความส˚าคญ
ของอิทธิพลและบทบาทของการใช
ทรศพ
ทที่เก่ียวขอ
งกบ
เร่ืองความรักในเพลงไทย
สากลไดห
ลายรูปแบบ เช่น การบอกรัก การบอกเลิก หรือการเรียกร้องและรอคอยให้กลบ
มาคืนดี
กน เป็ นตน
จากการวิจย
พบวา
เน้ือร้องบางท่อนมีการใชส
ัญญะแทนความหมายบางอยา่ งท่ีตอ
งการ
ส่ือซ่ึงเป็ นความหมายที่อยู่ในระดับการตีความ อีกท้ง
ยงเร่ืองการใช้โทรศพ
ท์เพื่อเป็ นสัญญะที่
เกี่ยวขอ
งกบ
การสื่อความหมายเร่ืองความรัก นน
คือโทรศพ
ทไดก
ลายเป็ น Symbol ของคนที่มีความ
รัก เพราะคนที่มีความรักมก
ใช้โทรศพ
ทเ์ พื่อคุยกบ
คนรักของตนอยู่บ่อยคร้ัง เพราะฉะน้น
สิ่งซ่ึงจะ
บอกใหร้ ู้ในเพลงวา่ ผใู้ ดมีความรักจึงมก
จะมีโทรศพ
ทเ์ ป็ นสัญลก
ษณ์ที่ช้ีบอกถึงสถานภาพของผูน้น
อยู่เสมอ รวมถึงยงั เป็ นสัญญะในเร่ืองสาเหตุความระแวงกนระหว่างคนรัก เช่น เล่ียงออกไปคุย
โทรศพทท
ี่อื่น หรือไม่ยอมรับโทรศพ
ทใ์ นขณะท่ีอยดู
วยกน
เป็ นตน
การศึกษาแนวความคิดเกี่ยวกับการสื่อสารสามารถน˚าไปใช้เป็ นแนวทางในการศึกษา
รูปแบบการส่ือสารของนก
ประพน
ธ์ผ่านทางบทเพลง โดยจะทา˚ การวิเคราะห์เกี่ยวกบ
อตลก
ษณ์
ทางการสื่อสาร ที่มาและวตถุประสงคทางการสื่อสาร รวมถึงการใชสัญญะตา่ งๆ ในบทเพลง
2.4 สัญวทยาและการเล่าเรื่อง
2.4.1 ความหมายของสัญญะ
Geertz (1993) กล่าวว่า วฒ
นธรรมคือระบบสัญลก
ษณ์และความหมาย วฒ
นธรรมเป็ น
ระบบท่ีมีความซับซ้อนต้งแต่ระดับพ้ืนผิวไปจนถึงระดบั แก่นในของบรรดาสัญญะ สัญลักษณ์
ปรัมปราคติ (Myth) กิจกรรมในชีวิตประจา˚ วน ตีความหมาย
และนิสัยต่างๆ ที่ตอ
งวิเคราะห์ดว
ยการอ่านและการ
Rappaport (1988) กล่าววา
พลงั ของสัญญะท่ีสามารถกระตุน
อารมณ์ความรู้สึกอยา่ งรุนแรง
น้นจะนา˚ ไปสู่ภาวะของการเปล่ียนแปลงของจิตส˚านึกได้ (Consciousness Alternation) แต่การ
เปลี่ยนแปลงจิตส˚านึกน้ีมิใช่การเปลี่ยนแปลงจิตส˚านึกระหว่างบุคคลเท่าน้ัน หากแต่เป็ นการ เปล่ียนแปลงจิตสา˚ นึกร่วมของท้งั กลุ่ม
Nottingham (1971, อา้ งถึงใน Roberts, 2007) กล่าววา
เมื่อสมาชิกกลุ่มไดม
องเห็นสัญญะ
เดียวกน
(Signifier) เช่น ธงชาติ การปรากฏตว
ของนก
ร้องคนโปรด ฯลฯ สมาชิกต่างก็ตีความหมาย
รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกในแบบเดียวกน (Signified) เช่นมีความรู้สึกภาคภูมิใจในชาติของตน รู้สึก
ปลาบปล้ืมใจที่ได
บเห็นตว
นักร้องแบบตว
จริงเสียงจริงโดยไม่มีใครตีความหมายหรืออารมณ์
ความรู้สึกแตกแถวไปเป็ นอยา่ งอ่ืนๆ
คา˚ ว่าสัญญะ (Sign) คือ สิ่งที่มนุษย
ร้างข้ึนเพื่อให้มีความหมายแทนส่ิงต่างๆในตวบท
(Text) และบริบทน้นๆ (Context) ซ่ึง Saussure (1960) บิดาแห่งสัญญะศาสตร์ไดเ้ สนอความคิดไว
อยา่ งน่าสนใจวา่ เมื่อเราพูดถึงศาสตร์ของสัญญะแลว
เราควรเร่ิมจากการมองวา่ อน
ท่ีจริงภาษาเป็ น
ระบบของสัญญะ (A System of Signs) เพื่อใชถ่ายทอดความคิดต่างๆ ระหวา่ งมนุษย์ โดยท่ีสัญญะ
ทางภาษาศาสตร์น้น
มีองคป
ระกอบ 2 ส่วนที่ส˚าคญ
คือ ส่วนที่หน่ึง ไดแ
ก่ Signifier อน
หมายถึงคา
ต่างๆ (Actual Words) ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของภาษาพูดหรือภาษาเขียน ที่แสดงถึงความคิดในภาษา
น้น
ๆ อาทิ คา˚ ว่าอาหาร สตรี ดนตรี กองทพ
เป็ นตน
และส่วนท่ีสองไดแ
ก่ Signified อน
หมายถึง
แนวคิด (Concept) ที่คา˚ ต่างๆ น้น
เป็ นตว
แทนแสดงความหมาย อาทิ เมื่อเรากล่าวถึงสตรี เราจะทา
ความเขา้ ใจไดวา
สตรี หมายถึงผหู
ญิง คา˚ วา่ อาหาร หมายถึง ส่ิงท่ีเรารับประทานและมีประโยชน์ต่อ
ร่างกาย คา˚ ว่าดนตรี หมายถึง เสียงเพลงหรือท่วงทา˚ นองเพลงในรูปแบบต่างๆ ส่วนคา˚ ว่ากองทพ
หมายถึงกองทหารท่ีอยกู น
เป็ นหมู่เหล่าเพื่อทา˚ หนา้ ท่ีรักษาความมน
คงใหกบ
ประเทศชาติ เป็ นตน
ภาษามีความส˚าคญ
อยา่ งยิ่งต่อการปฏิสัมพน
ธ์ของมนุษยใ์ นสังคม (Social Interaction) ใน
การร่วมเสนอความคิดเห็น การแสดงอารมณ์ระหวา่ งมนุษย์ อนเป็ นพ้ืนฐานของการสร้างและรักษา
ความสัมพน
ธ์ในบริบทน้น
ๆ (Vocate, 1994) อนประกอบดวย
1) การแสดงออกทางอารมณ์ (Emotive Expression) เป็ นการแสดงการสื่อสารภาวะ
ทางอารมณ์ภายใน ถูกแสดงออกมาดว
ยภาษา ตว
อยา่ งเช่น ฉน
รู้สึกเหงา วา้ เหว่ เป็ นตน
2) การคิด (Thinking) มนุษยเราเป็ นนก
คิดที่คิดดว
ยการมองและคิดดว
ยการพูด ดวย
ระบบการสื่อสารภายในตว
เอง (Intrapersonal Communication) ข้ึนอยูกบ
กิจกรรมท่ีทา
การคิดดวย
การพูดมีบทบาทส˚าคญในการติดต่อส่ือสาร เน่ืองจากหน้าท่ีของภาษาถือเป็ นเครื่องมือในการคิด
และพูดความคิดออกมาราวกบ
วา่ เป็ นตว
ช่วยในการแกป
ัญหาและการคิด
3) การมีปฏิสัมพน
ธ์ (Interaction) การมีปฏิสัมพน
ธ์เป็ นหนา้ ที่อีกอยา่ งหน่ึงในการ
รักษาความสัมพน
ธ์ระหวา่ งบุคคล เช่น การทก
ทาย เป็ นตน
4) การส่งหรือถ่ายทอดขอ
มูล (Transmission) เป็ นกระบวนการส่งขอ
มูลไปยงั คน
อ่ืนๆ และรับขอ
มูลยอ
นกลบ
ในการสื่อสารซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงของการแสดงอตลก
ษณ์ (Expression of
Identity) ของผูพ
ูดดว
ยวา่ เขาเป็ นใคร มีขอ
มูลอยา่ งไรในเรื่องของถ่ินฐานด้งั เดิม ภูมิหลงั ทางสังคม
ระดบการศึกษา อาชีพ เพศ อายุ และบุคลิกภาพ เป็ นตน
ดงั น้น
กระบวนการท่ีทา˚ ให้มนุษยส
ามารถสร้างความเขา้ ใจระหว่างคา˚ และแนวคิดที่คา˚ น้น
บ่งช้ีความหมายในภาษาน้น
ๆ Saussure เรียกวา
“กระบวนการการทา˚ ให้เกิดสัญญะ” (Signification)
นนคือ เม่ือมนุษยส
ามารถเชื่อมโยงระหวา่ งสององคป
ระกอบดงั กล่าวคือ Signifier กบ
Signified ก
จะทา˚ ใหเ้ กิด “สัญญะ” (Sign) ในที่สุด ซ่ึงคุณลก
ษณะที่ส˚าคญ
ของความสัมพน
ธ์ระหวา่ ง “ตว
หมาย”
และ “ตวหมายถึง” มี 3 ลกษณะ (กาญจนา แกวเทพ, 2542, น. 86) ดงั น้
1) Arbitary ลก
ษณะความไม่เป็ นเหตุเป็ นผล กล่าวคือ เป็ นลก
ษณะความสัมพน
ธ์ที่
เป็ นไปตามอา˚ เภอใจ เช่น คา˚ วา
“ขวด” ก็ไม่ไดม
ีความคลา้ ยคลึงอะไรกบ
รูปร่างของขวดจริงๆ หรือ
หากจะเปลี่ยนจากคา˚ วา่ ขวด เป็ นคา˚ วา
bottle ก็ไม่มีอะไรท่ีคลา้ ยกบ
รูปร่างของของจริงเช่นกน
2) Unnatural ลก
ษณะความไม่เป็ นธรรมชาติ กล่าวคือ ท้งั ตว
หมายและตว
หมายถึงมี
ความสัมพนธ์ที่จะตอ ธรรมชาติ
งเรียนรู้ เป็ นความสัมพน
ธ์ที่เกิดจากขอ
ตกลง เน่ืองจากไม่ไดเ้ กิดข้ึนมาเองตาม
3) Unmotivated ลก
ษณะไม่มีแรงจูงใจ กล่าวคือ ท้งั ตว
หมายและตว
หมายถึงไม่ได
เกิดจากแรงจูงใจใดๆ เป็ นพิเศษ ของผูส
ร้างความหายและผูใ้ ช้ความหมาย ไม่เกี่ยวขอ
งกบ
การ
กระตุนใจของผใ้ ชสัญญะ
Saussure (1960) ยงเน้นอีกว่า เมื่อเราต้องการทา˚ ความเข้าใจในเร่ืองของภาษาและ
วฒนธรรมแล้ว ก็ควรมองให้ออกว่าสัญญะต่างๆ มีความหมายและไดรับการตีความอย่างไรใน
สังคมน้ันๆ การที่เราจะเข้าใจสัญญะได้น้ัน เป็ นเพราะเราสามารถทา˚ ให้แตกต่างหรือแยกแยะ (Differentiate) สัญญะตวหน่ึงออกจากสัญญะตวอื่นๆ ได้ คา˚ ตา่ งๆ อาจไดร้ ับการสะกดคา˚ ต่างไปจาก
คา˚ อื่นๆ หรือแมจ
ะสะกดเหมือนกน
แต่ความหมายอาจแตกต่างออกไปตามบริบทท่ีแวดลอ
มสัญญะ
น้น
ๆ อาทิ เม่ือเรากล่าวถึงคา˚ ว่า “เสือ” เรามก
เชื่อมโยงคา˚ วา่ เสือที่หมายถึงสัตวป์ ่ าชนิดหน่ึง แต่เมื่อ
เรากล่าววา
“เสือผห
ญิง” เราจะเช่ือมโยงคา˚ วา่ เสือกบ
บริบทท่ีแวดลอ
ม ไดแ
ก่คา˚ วา
“ผูห
ญิง” และเกิด
การแยกแยะจนไดค
วามหมายใหม่ว่า หมายถึงผูช
ายที่มีพฤติกรรมเจา้ ชู้ เห็นผูห
ญิงเป็ นดอกไมร้ ิม
ทาง เป็ นตน
จะเห็นไดช
ดวา่ กระบวนการแยกแยะดงั กล่าวตอ
งอาศย
ความเขา้ ใจของโครงสร้างทาง
สังคมและวฒ
นธรรม คา˚ วา่ เสือผูห
ญิงน้น
ยงั สะทอ
นถึงบทบาททางเพศ (Gender Roles) และมิติทาง
อา˚ นาจท่ีเหลือมล้า˚ ระหวา่ งสถานภาพของผูช
ายและผูห
ญิงในสังคมไดด
วย เพราะเม่ือเราไดย
ินคา˚ ว่า
เสือผหู
ญิง เราไม่ไดห
มายถึงผูห
ญิงที่เป็ นนก
ล่าหรือมีพฤติกรรมเจา้ ชู้ ถึงแมใ้ นความเป็ นจริง อาจจะ
มีผูห “ผลู้
ญิงบางคนที่มีพฤติกรรมดง
่า” เสียมากกวา่
กล่าว แต่สังคมส่วนใหญ่ยงั คงมองว่าผูช
ายมก
สวมบทบาทเป็ น
Peirce (1987) ไดแ
บ่งส
ญะออกเป็ น 3 ประเภทตามความสัมพน
ธ์ของสัญญะกบ
ของจริงที่
ถูกแทนที่กน (ตารางที่ 2.2) ไดแก่
1) Icon (รูปเหมือน) เป็ นเคร่ืองหมายที่เขา้ ใจไดง้ ่าย มีรูปร่างหรือลกษณะคลา้ ยกบ
ของจริง เช่น ภาพถ่าย แผนท่ี ภาพวาดจา˚ ลอง หรือหรือการเปล่งเสียงเลียนแบบธรรมชาติ เป็ นตน
2) Index (ดช
นี) เป็ นเครื่องหมายที่เช่ือมโยงของจริงแบบเป็ นเหตุเป็ นผลอน
บ่งช้ีถึง
สิ่งใดส่ิงหน่ึง เช่น เมฆสีดา˚ เป็ นเคร่ืองมือบ่งช้ีวา่ ฝนกา˚ ลงั จะตก เป็ นตน
3) Symbol (สัญลก
ษณ์) เป็ นเคร่ืองหมายท่ีแสดงถึงบางส่ิงบางอย่าง อน
เกิดจาก
ขอตกลงในสังคมและต้องอาศยการเรียนรู้ เช่น ภาษา เครื่องหมายจราจร และเครื่องหมายทาง
คณิตศาสตร์ เป็ นตน้
ตารางที่ 2.2 แสดงประเภทสัญญะตามทศนะของ Peirce
ประเภทสัญญะ / เกณฑ์การพจิ ารณา | Icon | Index | Symbol |
ความสัมพนธ์ | มีความหมายคลายคลึง | มีความเชื่อมโยง แบบเหตุผล | ความเช่ือมโยงเกิดจาก ขอ้ ตกลง |
ตวั อยา่ ง | ภาพถ่าย อนุสาวรีย์ รูปป้ัน | ควนไฟ อาการของโรค | คา˚ ตวเลข |
กระบวนการถอด ความหมาย | มองเห็นได้ | ตอ้ งคิดหาเหตุผล | ตอ้ งเรียนรู้ |
แหล่งทมา: กาญจนา แกวเทพ, 2542.
2.4.2 วธีการวเคราะหสั์ ญญะ
แนวทางที่ใชใ้ นการวเิ คราะห์จา˚ แนกประเภทและระดบ มี 3 แนวทาง ดงั น้ี (Saussure, 1960)
ของความหมายที่บรรจุอยูใ่ นสัญญะ
1) การวเคราะห์แบบกระบวนทศน์และแบบวากยสัมพนธ์
Saussure (1960) กล่าววา
ระบบสัญญะมี 2 ระนาบ คือความสัมพน
ธ์แบบกระบวน
ทศน์ (Paradigimatic Relation) และความสัมพนธ์แบบวากยสัมพนธ์ (Syntagmaitics Relation)
(1) ความสัมพันธ์แบบกระบวนทัศน์ ( Paradigimatic Relation) เป็ น
ความสัมพน
ธ์แบบเปรียบเทียบความแตกต่างบนความเหมือน กระบวนทศ
น์หรือ Paradigm คือ
ชุดส
ญะซ่ึงประกอบดว
ยสัญญะที่มีความเหมือนมากพอท่ีจะอยูใ่ นชุดเดียวกน
(Set of Signs) แต่ก
มีความแตกต่างกน
มากพอที่จะแยกออกจากกน
ไดอ
อกอย่างชัดเจน เช่น ชุดกระบวนทศ
น์ของรถ
ประกอบด้วย รถเก๋ ง รถกระบะ รถตู้ รถบรรทุก เป็ นต้น ท้ังน้ีหากปราศจากความแตกต่าง
ความหมายก็กลายเป็ นส่ิงไม่มีความหมาย (กาญจนา แกวเทพ, 2542)
การวิเคราะห์ในระบบน้ียงั สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็ น 3 แนวทาง (กาญจนา แกว้ เทพ, 2542, น. 100) ดงั น้ี
ก) การหาแบบแผนที่ซ่อนเร้นของคู่ตรงขา้ มและสร้างความหมายข้ึนมา ท้งั น้ีหากปราศจากความแตกต่าง (Difference) ความหมายก็จะกลายเป็ นส่ิงท่ีไม่มีความหมาย หาก
ปราศจากสีดา
สีขาว ก็ไม่มีความหมาย หากไม่มีลก
ษณะยว
ยวนทางเพศของนางร้าย การรักนวล
สงวนตว
ของนางเอกก็ไร้ความหมาย ดงั น้น
ในอีกมุมหน่ึงการวิเคราะห์แบบ Paradigmatic จึงเป็ น
การแสวงหาคุณลก
ษณะท้งั หมด ของสัญญะที่ตรงกน
ขา้ มกน
เพ่ือให้ไดม
าซ่ึงความหมายของอีกคา
หน่ึง (Saussure, 1974, อา้ งถึงใน กาญจนา แกวเทพ, 2542)
ข) การพิจารณาจากโครงสร้างเบ้ืองลึก (Deep Structure) ของตวบท
กล่าวคือ การวิเคราะห์ตว
บทน้น
เราตอ
งแยกระหวา่ งความหมายท่ีเปิ ดเผย (Manifest Meaning) ซ่ึง
จะเป็ นตว
เล่าเร่ืองว่าตว
ละครทา˚ อะไร มีเหตุการณ์อะไรเกิดข้ึน กบั ความหมายแฝงเร้น (Latent
Meaning) อน
เป็ นความหมายที่บ่งบอกวา่ แทจ
ริงแลว
ตวบทน้น
เก่ียวขอ
งและมีความหมายอยา่ งไร
(Levi-Strauss, 1967, อา้ งถึงใน กาญจนา แกวเทพ, 2542) เป็ นการศึกษาว่าการเล่าเร่ืองมีการ
จดระบบอยา่ งไร เช่น คุณสมบติของนางเอกแบบ “นางแมวป่ า” เพราะเหตุใดจึงมีวิธีการเล่าเรื่องให
นางเอกมีล
ษณะท่ีแก่นแกน เป็ นอิสระ ก้าวร้าวในตอนแรก และแปรเปลี่ยนมาเป็ นผูห
ญิงที่
เรียบร้อย ในตอนหลง
นอกจากน้ียงั ศึกษาวิธีการสร้างตว
ละครดง
กล่าวว่ามีความหมายซ่อนเร้น
อยา่ งไร เช่น คุณลก
ษณะของนางเอกแบบแก่นแกว
น้น
ก็คือ ผูห
ญิงท่ีเพ่ิมคุณค่าของตว
เองให้มากข้ึน
ดวยการปรับดีกรีของ “ความเป็ นผูห
ญิง” ให้นอ
ยลง และเพ่ิม “ความเป็ นผูช
าย” ให้มากข้ึน อน
เป็ น
ความหมายที่แท้จริงของตัวละครแบบน้ี แต่ถึงอย่างไรผูช
าย (พระเอก) ยง
คงมีอา˚ นาจในการ
แปรเปลี่ยนดีกรีความแก่นแกว
ของนางเอกใหถ
อยกลบ
ไปเป็ นผูห
ญิงเรียบร้อยดงั เดิม อีกท้งั ยงั ศึกษา
ต่อไปได้อีกว่าความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่น้ อยา่ งไร
จะสะทอ
นโครงสร้างความคิดของคนกลุ่มต่างๆ ได
ค) มุ่งเน้นท่ีการแสวงหาชุดของสัญญะชุดหน่ึงๆ ที่อยู่ในกระบวนทศน์
เดียวกน
และยงั สามารถนา˚ มาใชแ
ปรเปลี่ยนกน
ไดโ
ดยยงั คงรักษาความหมายเดิมเอาไว้ ตว
อยา่ งเช่น
“พอ
ตีลูก” ในประโยคน้ี เรายงั คงสามารถจะหาบุคคลอื่นๆ เขา้ มาแทนท่ีตว
ประธาน กริยา กรรม ได
โดยยงั คงรักษาความหมายเดิมเอาไว้ เนื่องจากสัญญะอื่นๆ ที่นา˚ มาแทนท่ีน้ ต่างอยู่ในกระบวน
ทศนเ์ ดียวกน (Paradigm) เช่น “ลุงทาโทษหลาน” เป็ นตน
คา˚ ชุดใหม่ที่นา˚ เอาไปแปรเปลี่ยนน้น
ไม่ไดท
า˚ ใหค
วามหมายของประโยคเดิมซ่ึงมี
ความหมายวา
“ผมู
ีอา˚ นาจมากกวา
กระทา˚ การในทางลบต่อผูม
ีอา˚ นาจนอ
ยกวา่ ” เปลี่ยนแปลงไปเลย
ดงั น้น
การวิเคราะห์แบบ Paradigmatic ก็คือ การหาชุดของสัญญะต่างๆ นน
เอง (Set of Signs) ซ่ึง
ความรู้ดงั กล่าวน้ีเป็ นประโยชน์ต่อผูส
ร้างสารโดยการนา˚ เอาสัญญะตว
ใหม่ๆ มาใชแ
ทนที่สัญญะตว
เก่าแต่ทวา่ ยงั คงรักษาความหมายเดิมเอาไวไ้ ด้ เช่น การสร้างละครโทรทศ
น์ในแบบฉบบ
ของซินเดอ
เรล่าพบกบเจาชาย เป็ นตน
(กาญจนา แกว
เทพ, 2542, น. 103)
(2) ความสัมพันธ์แบบวากยสัมพันธ์ (Syntagmaitics Relation) เป็ น
ความสัมพน
ธ์แบบเรียงล˚าดับก่อนและหลัง โดยจะเน้นการล˚าดับข้
หรือช่วงระยะเวลาของ
เหตุการณ์หรือการปรากฏของสัญญะ (กาญจนา แกว
เทพ, 2542) ตว
อยา่ งเช่น จากประโยค หมากด
แมว ถา้ มีการสลบ
คา˚ ระหว่างประธานและกรรมเป็ น แมวกด
หมา ความหมายก็จะเปลี่ยนไป หรือ
เม่ือเราเห็นกระเป๋ าสีชมพู ภายในกระเป๋ ามีเครื่องเขียนลายคิตต้ี ก็สามารถอนุมานไดวา่ กระเป๋ าใบน้
เป็ นของผหู
ญิง ท้งั น้ีเกิดจากการนา˚ องคป
ระกอบต่างๆ ที่เห็นมาประกอบสร้างแบบจด
รวมเกิดข้ึน
การวิเคราะห์แบบ Syntagmatic จะพบมากในเร่ืองของการเล่าเรื่อง (Narration)
เนื่องจากโครงสร้างของการเล่าเรื่องน้น
จะตอ
งกา˚ หนดข้น
ตอนของเหตุการณ์เอาไวอ
ยา่ งชด
เจน หาก
สลบ
ข้น
ตอนกน
อาจทา˚ ใหค
วามหมายเปลี่ยนแปลงไป
2) การวเคราะห์ความหมายโดยอรรถและความหมายโดยนย
มายาคติ (Myth) หมายถึง การสื่อความหมายดว
ยคติความเชื่อทางวฒ
นธรรมซ่ึงถูก
กลบเกลือนให้เป็ นที่รับรู้เสมือนวา่ เป็ นธรรมชาติ และมายาคติมิไดปิ ดบงั อา˚ พรางส่ิงใดท้งั ส้ิน ทุก
อยา่ งปรากฏต่อหนา้ ต่อตาเราอยา่ งเปิ ดเผย แต่เราต่างหากท่ีคุน
เคยกบมน
จนไม่ทน
สังเกตวา่ มน
เป็ น
สิ่งประกอบสร้างทางวฒ
นธรรม เราเองที่หลงคิดไปวา่ ค่านิยมที่เรายึดถืออยูน้น
เป็ นเร่ืองธรรมชาติ...
(นพพร ประชากุล, 2547, น. 207-219)
Barthes (1957, อา้ งถึงใน ไชยรัตน์ สินเจริญโอฬาร, 2545) กล่าวว่า มายาคติคือ ความคิดหรือความเช่ือที่คนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับโดยไม่มีการต้งั คา˚ ถาม และเป็ นความคิดความ
เชื่อท่ีสอดรับกบ
ระบบอา˚ นาจของสังคมในขณะน้น
เขาไดใ
ห้แนวคิดในการวิเคราะห์ความหมาย
แฝงท่ีอยู่ในกระบวนการส่ือสารโดยแบ่งความหมายของสัญญะออกได้เป็ น 2 ประเภท ได้แก่
1) ความหมายโดยตรง (Denotative Meaning) เป็ นความหมายที่เราเขา้ ใจกน
ตามตวอก
ษรและ
สามารถทาความเข้าใจตรงกันได้โดยคนส่วนใหญ่ ตวั อย่างท่ีชัดเจนท่ีสุดคือความหมายตาม
พจนานุกรม 2) ความหมายโดยนย
(Connotative Meaning) เป็ นความหมายทางออ
มที่เกิดจากการ
ตกลงร่วมกันของคนในกลุ่ม หรือเกิดจากประสบการณ์เฉพาะของเราเอง ส่วนใหญ่แล้วการ
เปล่ียนแปลงความหมายนย
แฝงเกิดจากการเปล่ียนแปลงบริบท กล่าวคือ ความหมายโดยนย
น้ีจะเกิด
จากการตีความของคนในแต่ละสังคม เม่ือสัญญะตัวเดียวกันไปอยู่ในท่ีท่ีต่างกันก็จะมีการ
เปลี่ยนแปลงความหมายไปดว บริบทต่างๆ
ย ท้งั น้ีข้ึนอยูกบ
การตีความหรือการอ่านความหมายของคนในแต่ละ
3) การวเคราะห์แบบ Metaphor และ Metonymy
เป็ นวธ
ีการหลก
อีก 2 วิธีการท่ีใชใ้ นการถ่ายทอดความหมายจากสัญญะตว
หน่ึง โดย
อาศยสัญญะอีกตว
หน่ึง (กาญจนา แกว
เทพ, 2542, น. 104)
(1) การวิเคราะห์แบบ Metaphor เป็ นวิธีการสร้างความหมายโดยอาศัย
ความสัมพน
ธ์ระหวา่ งส
ญะ 2 ตว
ที่มีความหมายคลา้ ยกน
โดยการเปรียบเทียบแบบอุปมาอุปมย
ซ่ึง
ตองอาศย
ความหมายของสัญญะตว
แรกเพ่ือทา˚ ให้สัญญะตว
หลง
ถูกรับรู้ความหมายไปด้วย เช่น
“ผหู
ญิงคนน้ีเรียบร้อยดงั่ ผา้ พบ
ไว”
เป็ นตน
(2) การวิเคราะห์แบบ Metonymy เป็ นวิธีการถ่ายทอดความหมายโดยหยิบเอา
ส่วนเส้ียวเล็กๆส่วนหน่ึงของส
ญะมาแทนความหมายของส่วนรวมท้งั หมด ตว
อยา่ งที่บ่อยที่สุดคือ
การใชส
ัญญะแทนเมืองต่างๆ เช่น การใชห
อไอเฟลแทนการอธิบายกรุงปารีส เป็ นตน
การศึกษาเก่ียวกบ
สัญวิยาจะเป็ นแนวทางในการวิเคราะห์รูปแบบการประพน
ธ์เพลง และ
องคป
ระกอบต่างๆ ของเพลงที่แตกต่างกน
ของนก
ประพน
ธ์เพลง โดยองคป
ระกอบต่างๆ ท่ีวา่ หมาย
รวมถึง เน้ือเพลง ท่วงทา˚ นอง จงั หวะ เสียงดนตรี และอ่ืนๆ ที่ผูป
ระพน
ธ์ตอ
งการแฝงเร้นสัญญะ
เอาไวเ้ พื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึกแก่ผฟู ัง
2.5 ผู้ประพน
ธ์เพลงกบ
ความคด
สร้างสรรค์
2.5.1 ความคิดสร้างสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสร้างสรรคส
่ิงใหม่ๆ ท่ีแตกต่างไปจากเดิม โดยอาศย
พ้ืนฐานของส่ิงทีมีอยู่เดิม เช่น ธรรมชาติ กฎเกณฑ์ ความรู้ วิทยาการ วสดุ และเทคโนโลยี เป็ น
ขอมูลส˚าคญ
ในการคิดคน
สิ่งใหม่ๆ ท่ีให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ตื่นตาต่ืนใจ ไม่เคยเห็นจากที่ใดมา
ก่อน และสามารถน˚าไปใช้ประโยชน์ได้เหมาะสมกว่าสิ่งท่ีมีอยู่เดิม เช่น ปื นใหญ่ที่มาจากพลุ
รถยนตท
ี่มาจากรถมา
เครื่องบินที่มาจากนก เป็ นตน
การคิดสร้างสรรค าจเป็ นการสร้างส่ิงใหม่ๆ โดยไม่ซ้า˚ แบบใครหรือไม่เคยมีผูใ้ ดเคยคิด
หรือทา˚ มาก่อน หรือจะเป็ นการนา˚ ส่ิงท่ีมีอยูแ
ลวมาต่อเติมเสริมแต่ง ดด
แปลงให้เกิดเป็ นสิ่งใหม่ข้ึน
ไดเ้ ช่นกน การที่เราจะกา˚ หนดว่าสิ่งใดเกิดจากความคิดสร้างสรรค์น้ัน สามารถพิจารณาได าก
องคป
ระกอบส˚าคญ
อนไดแ
ก่ ความคิดน้น
ตองเป็ นส่ิงใหม่ (Original) ใชก
ารได้ (Workable) และมี
ความเหมาะสม (Appropriate) ลงตว
พอดีกบ
ปัญหาท่ีตอ
งการแกไ
ข ซ่ึงเกรียงศก
ด์ ิ เจริญวงศ์ศกด์
(2556) ไดส
รุปไวด
งั น้
1) ตองเป็ นส่ิงใหม
สิ่งที่คิดสร้างสรรค์ออกมาน้ันตอ
งเป็ นการคิดท่ีแหวกวงลอ
ที่มีอยู่เดิม เรียกได
่ามี
ความเป็ นตนแบบ (Original) ท่ีไม่เคยคิดไดม
าก่อน และไม ดล
อกเลียนแบบใครแมก
ระทงั่ ความคิด
เดิมๆ ของตนเองก็จะเป็ นการดีท่ีสุ ด แต่เป็ นเรื่ องท่ีท˚าได้ค่อนข้างยาก จึงมักเริ่ มจากการ
ลอกเลียนแบบและค่อยๆคิดต่อจากเดิม ความคิดสร้างสรรคท
ี่แมว
า่ อาจจะซ้า˚ กบ
คนอื่น หรือมีคนอื่น
เคยคิดข้ึนมาก่อนแลว
แต่ผูส
ร้างสรรค
ม่รู้มาก่อน และไม่ไดล
อกเลียนแบบความรู้ที่มีอยู่แลว
น้น
เช่นน้ีก็ยงั คงเรียกวา ความคิดสรา้ งสรรค
2) การใชการได้
ความคิดที่เกิดจากการสร้างสรรคไ์ ม่ได้หยุดเพียงจินตนาการเพอ
ฝัน แต่สามารถ
นา˚ มาพฒ
นาให้เป็ นจริงและใชป
ระโยชน์ไดอ
ยา่ งเหมาะสม ตอบสนองวต
ถุประสงคข
องการคิดได
เป็ นอยา่ งดี Osborn (1963) ไดก
ล่าวถึงความคิดสร้างสรรคไ
ววา
เป็ นจินตนาการประยุกต์ (Applied
Imagination) หมายถึงจินตนาการที่มนุษยส
ร้างข้ึนเพื่อแกป
ัญหาที่เผชิญอยู่ มิใช่จินตนาการเพอ
ฝัน
ทวไป ความคิดสร้างสรรค์จึงตองเป็ นความคิดที่มีเหตุผล และสามารถน˚าไปใช้แก้ปัญหาท่ีไม
สามารถแกไ
ขไดด
วยวธ
ีเดิม
3) ตองมีความเหมาะสม
แมว
า่ ความคิดใหม่น้น
จะประกอบไปดว
ยความแปลกใหม่หรือเป็ นความคิดตน
แบบ
แต่ตอ
งผสมผสานองค์ปรกอบของความมีเหตุมีผล ความเหมาะสม และคุณค่าภายใตม
าตรฐานที่
ยอมรับกนทวไปบางประการดวย
Lubart (1994) ไดก
ล่าวไววา
“เราจา˚ เป็ นตอ
งบน
ทึกลงไปวา
สิ่งใหม่ท่ีไม่ไดล
งตว
เหมาะสม
พอดีกบ
ขอจา˚ กด
ของปัญหาท่ีตอ
งการแกไ
ข สิ่งน้น
ไม่ไดเ้ กิดจากความคิดสร้างสรรค์ แต่เป็ นเพียงสิ่ง
ท่ีแปลก และเป็ นคา˚ ตอบที่ไม่ตรงวต
ถุประสงค์” นอกจากน้ียงั มีระดบ
ของความคิดสร้างสรรคห
ลาย
แบบ ไดแก่
1) ความคิดสร้างสรรค์ระดบตน
เป็ นความคิดท่ีมีอิสระ แปลกใหม่ ยงั ไม่คา˚ นึงถึง
คุณภาพและการนาไปประยกตใช้
2) ความคิดสร้างสรรคร
ะดบกลาง คานึงถึงผลผลิตทางคุณภาพ นาไปประยกตใชได
3) ความคิดสร้างสรรคร
ะดบ
สูง สรุปสิ่งท่ีคน
พบเป็ นรูปธรรม นา˚ ไปใชใ้ นการสร้าง
หลกการหรอทื ฤษฎีท่ีเป็ นสากลเป็ นท่ียอมรบั โดยทวไป
2.5.1.1 องคประกอบของความคิดสร้างสรรค์ องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์เป็ นความคิดที่มีลก
ษณะที่คิดได้กวา้ งไกล
หลายทิศทาง ซ่ึงประกอบดวย (Guiford, 1971, อางถึงใน อารี รังสินนท, 2532, น. 29)
ดดแปลงประยก
1) ความคิดริเร่ิม (Originality) มีลก ตเ์ ป็ นความคิดใหม่
ษณะแปลกใหม่แตกต่างจากเดิม คิด
2) ความคิดคล่องตว
(Fluency) เป็ นความคิดที่มีลก
ษณะถูกตอ
งแม่นยา
สามารถทา˚ ความเขา้ ใจได้ โดยความคิดคล่องตวสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็ น 4 ดาน คือ
(1) ความคิดด้านถ้อยคา (Word Fluency) สามารถใช้ถ้อยคา˚ จาก
ความคิดไดเหมาะสม เขาใจถูกตอง
(2) ความคิดดา้ นความสัมพนธ์ (Associational Fluency) สามารถแสดง
ความสัมพน
ธ์จากส่ิงท่ีริเริ่มไดอ
อกมาอยา่ งเหมาะสม
(3) ความคิดดา้ นการแสดงออก (Expressional Fluency) สามารถนา
ความคิดริเริ่มน้น
มาแสดงออกใหร
ับรู้หรือเขา้ ใจไดอ
ยา่ งรวดเร็ว
(4) ความคิดคล่องเชิงสร้างสรรค์ (Creative Fluency) เป็ นการสร้าง
ความคิดใหม่ใหเ้ กิดข้ึนอยา่ งรวดเร็ว แกป
ัญหาเฉพาะหนา้ ไดอ
ยา่ งมีประสิทธิภาพ
ทางหลายแบบ
3) ความคิดยด
หยนุ
(Flexibility) มีความเป็ นอิสระทางความคิด คิดไดห
ลาย
4) ความคิดสวยงามละละเอียดลออ (Elaboration) มีความรอบคอบ
สวยงาม มีคุณภาพ มีความประณีตในความคิด สามารถนา˚ ไปประยุกตใ์ ชไดอ ทุกๆ ดาน
ยา่ งมีประสิทธิภาพใน
2.5.1.2 ปัจจยั ท่ีก่อใหเ้ กิดความคิดสร้างสรรค
แมว
่ามนุษยจ
ะมีสมองซีกขวาท่ีทา˚ หนา้ ที่ในการคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่ไดห
มายความ
ว่าทุกคนจะใช้สมองส่วนน้ีในการคิดสร้างสรรค์ไดเ้ ท่าเทียมกน เพราะการท่ีคนแต่ละคนจะคิด
สร้างสรรค์ไดด
ีหรือไม่ หรือมากน้อยเพียงใดน้น
ข้ึนอยู่กบ
ปัจจย
หลายประการ อน
ไดแ
ก่ (เกรียง
ศกด์ ิ เจริญวงศศ
กด์ิ, 2556)
1) ทศนคติและบุคลิกภาพ ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์กบ
ทศนคติ (Attitude) และบุคลิกภาพ
(Personality) น้ันมีความเก่ียวข
งกน
อย่างมาก หากรู้เพียงวิธีการแต่ปราศจากซ่ึงทศ
นคติและ
บุคลิกภาพที่สร้างสรรค์ อาจจะสามารถคิดเชิงสร้างสรรค์ได้แค่ระดับหน่ึงเท่าน้ัน ท้งั น้ีนักคิด
สร้างสรรค์ที่ประสบความส˚าเร็จส่วนใหญ่จะมีทศนคติและบุคลิกภาพดงั ต่อไปน้ี คือเป็ นคนท่ีเปิ ด
กวา้ งรับประสบการณ์ใหม่ๆ มีอิสระในการคิดพินิจและตดสินใจ กล้าเผชิญความเสี่ยง มีความ
เชื่อมน
และเป็ นตว
ของตว
เอง มีทศ
นคติเชิงบวกต่อสถานการณ์ มีแรงจูงใจอน
สูงส่งท่ีจะทา˚ ให
ประสบความสา˚ เร็จ เป็ นคนที่ทา˚ งานหนก
มีความสนใจต่อสิ่งท่ีสลบซบ
ซ น อดทนต่อปัญหาที่มอง
ไม่เห็นคา˚ ตอบ มีความสามารถในการปรับตว
ดา้ นสุนทรียะ บากบน
อุตสาหะ เรียนรู้จากประสบการ
ความลม
เหลว และรับมือกบ
สถานการณ์ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี
2) ความสามารถทางสติปัญญา
ความคิดสร้างสรรค์จด
ว่าเป็ นทก
ษะระด
สูง (High Level Skill) ของ
ความสามารถทางสติปัญญา ซ่ึงไดแก่
(1) ความสามารถในการกา˚ หนดขอบเขตของปัญหา
ผมู
ีความคิดสร้างสรรคจ
ะไม่มองปัญหาเดิมๆ ดวยสายตาธรรมดาแต่มอง
ดวยมุมมองใหม่ๆ เพ่ือเป็ นทางแกป
ัญหาใหม่ๆท่ีเหมาะสมกว่า โดยเริ่มตน
ดวยการใหน้ ิยามหรือ
ขอบเขตของปัญหาที่ตอ
งการแกไ
ขได
ย่างชด
เจน จากน้น
จึงต้งั เป้าหมายเพ่ือกา˚ หนดแนวทางใน
การแกป
ัญหาท่ีสร้างสรรคก
วา่ เดิม
(2) ความสามารถในการใชจ
ินตนาการ
ในการพิจารณาปัญหาเพ่ือนา˚ ไปสู่การคิดสร้างสรรค์ การวาดภาพจาก
จินตนาการช่วยทา˚ ให
ารแกป
ัญหาอยา่ งสร้างสรรคเ์ กิดง่ายข้ึน เช่น การท่ี Albert Einstein สามารถ
พฒนาทฤษฎีสัมพนธภาพได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการวาดภาพวา่ ตนเองกา˚ ลงั ท่องเท่ียวไปบนลา˚ แสงท่ี
ยาวไกลลาแสงหน่ึง
(3) ความสามารถในการคด
เลือกอยา่ งมียท
ธศาสตร์
การคด
เลือกอยา่ งมียท
ธศาสตร์น้น
เป็ นความสามารถในการคิดแกป
ัญหา
ด้วยตนเอง ความสามารถในการมุ่งสู่หนทางแก้ปัญหาที่มีศักยภาพ ความสามารถในการทิ้ง
ทางเลือกที่ไม่เกี่ยวขอ
ง และความสามารถในการรู้วา่ เวลาใดจะใชค
3) ความรู้
วามคิดแบบใด เป็ นตน
Rosenman (1988) กล่าววา ความรู้เปรียบเสมือนดาบสองคมท่ีมีผลกระทบ
ต่อความคิดสร้างสรรคท
้งั ในมุมบวกและมุมลบ ในมุมบวกน้น
จากการวิจย
พบวา
ความรู้ที่เกิดการ
สั่งสมมาหลายปี น้น
มีผลกระทบต่อการเกิดความคิดสร้างสรรค์ คนท่ีมีความรู้มก
จะคิดสร้างสรรค
ไดด
ีกวา่ คนท่ีไม่มีความรู้ เพราะทา˚ ให้เขา้ ใจธรรมชาติของปัญหาไดด
ีกวา
ทา˚ ให้สามารถคิดงานที่มี
คุณภาพ เพราะมีรากฐานความรู้เกี่ยวกบ
เรื่องน้ันรองรับ ทา˚ ให้รู้จก
สังเกตและรู้จก
ฉวยโอกาสที่
เกิดข้ึน เพื่อนา˚ มาเป็ นตน
กา˚ เนิดความคิด อยา่ งไรก็ตาม Schank (1988) ไดก
ล่าวในทางตรงกน
ขา้ มวา
ความรู้อาจเป็ นตวขด
ขวางความคิดสร้างสรรคไ
ด้ หากเกิดการยึดติดความรู้ที่มีอยูม
ากเกินไปจนเป็ น
อุปสรรคท
ี่ทา˚ ใหข
าดความยด
หยนุ
ในการคิดนอกกรอบหรือคิดเก่ียวกบ
สิ่งใหม่ๆ
4) รูปแบบความคิด
Sternberg and Lubart (1999) กล่าววา
รูปแบบความคิดของแต่ละคน มีผล
ต่อการรับรู้และบุคลิกภาพของคนๆน้น รูปแบบการคิดของคนบางคนช่วยส่งเสริมให้เกิดความคิด
สร้างสรรค์หรือขด
ขวางความคิดสร้างสรรค์ ข้ึนอยกู บ
ความสมดุลในการคิดแบบมองมุมแคบหรือ
มุมกวา้ ง การคิดในมุมแคบเป็ นการคิดแบบลงรายละเอียดของปัญหา ส่วนการคิดในมุมกวา้ งเป็ น
การคิดแบบการมองในระดบ
ทวไปของปัญหา ซ่ึงการแกไ
ขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ที่ดีมก
จะตอง
มองในในมุมกวา้ งก่อน จากน้นค่อยพิจารณาในรายละเอยี ดปลีกยอย
5) แรงจูงใจ
Amabile, Hennessey, and Grossman (1986) กล่าวว่า แรงจูงใจเป็ น
องคประกอบที่ทา˚ ใหเ้ กิดความคิดสร้างสรรค์ คนที่มีแรงกระตุน
จากภายในมก
จะบอกวา่ เขาทา˚ งานน้
เพราะรู้สึกสนุก หรือพบว่ามน
น่าสนใจและจะพึงพอใจเมื่องานที่ทา˚ น้น
ประสบความส˚าเร็จ คน
เหล่าน้ีมก
จะตอ
งการเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆและมีความอยากรู้อยากเห็นในส่ิงที่ตนเองสนใจเพื่อพฒนา
ผลงานให้ดียิ่งข้ึน ส่วนคนที่สร้างสรรค์ผลงานโดยใช้แรงกระตุ้นจากภายนอกอันเกิดจาก
สิ่งแวดล้อมหรือสังคมเป็ นผูย
่ืนเสนอรางวล
ให้น้
จะมีความคิดสร้างสรรค์ที่ต่า˚ กว่าคนท่ีมีแรง
กระตุน
จากความตอ
งการที่อยภู
ายใน หรือการไดร้ ับรางวล
ที่ไม่เกี่ยวขอ
งกบ
งานที่ทา˚ อยู
6) สภาพแวดลอม สภาพแวดล้อมเป็ นปัจจย
ส˚าคญ
ท่ีส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ สังคมที่
ส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน มีความหลากหลายทางวฒ
นธรรม สนบ
สนุนความ
แตกต่างทางความคิด และมีการส่งเสริมการแข่งขนทางธุรกิจอยา่ งเสรี จะเป็ นสังคมท่ีจะสร้างให้คน
มีความคิดสร้างสรรค์ ท้ง ยงิ่ ข้ึนโดย
น้ีมนุษยส
ามารถพฒ
นาความคิดสร้างสรรค์ไดอ
ย่างมีประสิทธิภาพมาก
(1) การเห็นและรับรู้ เป็ นการรวบรวมขอ
มูลซ่ึงเป็ นวต
ถุดิบส˚าคญ
ทาง
ความคิด การรับรู้ที่ดีหมายถึงการเห็นมากรู้มาก จะทาใหสมองมวตี ถุดบพิ ียงพอสาหรบใั ชใ้ นการคิด
อย่างสร้างสรรค ดท เป็ นอนดบแรก
นท่วงที การพฒ
นาความคิดสร้างสรรคจ
ึงจา˚ เป็ นตอ
งพฒ
นาการเห็นและรับรู้
(2) ประสบการณ์ เหตุการณ์ที่เผชิญหน้าทา˚ ให้เกิดการแก้ปัญหาและ การเรี ยนรู้ ไม่ว่าเหตุการณ์น้ันจะเป็ นเช่นไร การเผชิญหน้ากับปัญหาเป็ นเหตุการณ์ที่มีค่าต่อ ความคิดสร้างสรรค์ เพราะท˚าให้สมองคิดค้นหาทางขจัดปัญหาน้ันให้หมดสิ้น จึงถือได้ว่า
ประสบการณ์เป็ นส่ิงที่ช่วยเพิ่มพูนความคิดสร้างสรรคอีกอยา่ งหนงึ่
(3) การศึกษา เป็ นการบน
ทึกขอ
มูลและฝึ กฝนความคิดท่ีดี อีกอย่าง
หน่ึงและถือเป็ นการเพมิ่ พูนความคิดสร้างสรรคอ
ยา่ งง่ายๆท่ีสามารถทา˚ ไดต
ลอดเวลา
(4) จินตนาการ เป็ นกระบวนการต่อเนื่องทางความคิด หลงั จากเกิดการ
รับรู้ทางประสบการณ์และการศึกษาแลว
การสร้างภาพของสิ่งที่เป็ นขอ
มูลเหล่าน้น
ต่อเติมข้ึนมา
อยา่ งกวา้ งไกลและลุ่มลึก แสดงถึงคุณภาพของความคิดสร้างสรรคว
า่ มีมากนอ
ยเพียงใด จินตนาการ
ที่มีมาจากขอ
มูลต่างๆ ที่เป็ นความจริงมีคุณค่าในการคิดสร้างสรรคม
ากกวา่ จินตนาการที่ไม่ไดม
ีมา
จากสิ่งใดเลย ด น้ันคา˚ ว่าจินตนาการจึงไม่ได้หมายถึงการคิดอย่างเลื่อนลอย ไม่มีจุดหมาย ไร้
ขอบเขต แต่หมายถึงความคิดที่มีมาจากพ้ืนฐานของความจริง
2.5.1.3 ความคิดสร้างสรรคเ์ กิดข้ึนไดอยา่ งไร
ความคิดสร้างสรรคส
ามารถเกิดข้ึนได้ 2 ทางดว
ยกน
1) เร่ิมจากจินตนาการแลวยอ
นกลบ
สู่สภาพความเป็ นจริง
เกรียงศก
ด์ ิ เจริญวงศศ
กด์ ิ (2557) ไดก
ล่าวถึงสมองวา่ มีความสามารถในการ
จินตนาการ สามารถคิดแหวกวงลอ
มออกไปอยา่ งไม่จา˚ กด
และเป็ นส่วนประกอบส˚าคญ
อย่ายิ่งใน
การคิดสร้างสรรค์ เพราะจะช่วยให้เราสร้างสรรคค
วามคิดใหม่ๆ ไดอ
ยา่ งไม่จา˚ กด
และช่วยให้เรา
คนพบส่ิงแปลกใหม่ ซ่ึงเมื่อนา˚ มาประกอบกบการคิดเชิงวิเคราะห์และการคิดในมิติอ่ืนๆ เพื่อ
กลน
กรองความเป็ นไปได้ จินตนาการหลายอยา่ งของมนุษยจ
ึงไดถ
ูกนา˚ มาใชอ
ยา่ งเหมาะสมในโลก
แห่งความจริง
ความคิดสร้างสรรค์ในลักษณะน้ี เกิดจากการท่ีเราน˚าความฝันและ
จินตนาการของเราซ่ึงเป็ นเพียงความคิด ความฝันท่ียงั ไม่เป็ นจริง แต่เกิดความปรารถนาอย่างแรง
กลา้ ท่ีจะทา˚ ใหค
วามฝันน้น
เป็ นจริงและใชก
ารไดอ
ยา่ งเหมาะสมตามเป้าหมายที่วางไว
2) เร่ิมจากความรู้แลวคิดตอย่ อดสู่ส่ิงใหม
ความคิดสร้างสรรค์ในลก
ษณะน้ีเกิดจากการนา˚ ขอ
มูลหรือความรู้ที่มีอยู่มา
คิดต่อยอดหรือคิดเพิ่ม ฐานขอ
มูลที่มีอยจู
ะเป็ นเหมือนตว
เขี่ยความคิดใหเ้ ราคิดเรื่องใหม่ๆ ไดเ้ พิ่มข้ึน
จากเดิม ท้งั น้ีในโลกแห่งความเป็ นจริง ความคิดใหม่ๆที่ไดน้น
มกจะไม่ใช่ความคิดตน
แบบลวนๆ
แต่ม
จะมาจากการรวบรวมหรือปรับปรุงแนวคิดของผูอ
ื่นที่ได้น˚าเสนอก่อนหน้าน้ี ความคิด
สร้างสรรค์จะเขา้ ไปต่อยอดความคิดเดิมให้กลายเป็ นความคิดใหม่ และความคิดใหม่มกจะถูกทา
ทายจากความคิดหน่ึงเสมอ ส่งผลให้เกิดความงอกงามทางความคิดและเกิดเป็ นส่ิงประดิษฐ์ต่างๆ
ในโลกที่พฒ
นาอยา่ งไม่หยด
ย้ง
นกจิตวท
ยาคน
พบวา่ คนสามารถฝึ กฝนให้มีความคิดสร้างสรรคไ
ด้ โดยไม่ข้ึนอยูกบ
วา่ คนน้น
มีพรสวรรค
รือไม่ และไม่ไดถ
ูกจา˚ กด
โดยสภาพของชีวิต เช่น อายุ เพศ การศึกษา ฯลฯ
อยา่ งไรก็ตามมีแนวโนม
วา่ เด็กจะคิดสร้างสรรคไ
ดง้ ่ายกวา่ ผใู้ หญ่ เพราะไม่ถูกจา˚ กด
ดวยเหตุผลต่างๆ
อนเกิดจากกรอบโลกทศ
น์ มโนทศ
น์ ประสบการณ์ ความเคยชิน ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีจะทา˚ ให้ผูใ้ หญ่ไม่กลา
ที่จะคิดสร้างสรรคม
ากนก
ท้งั ๆ ท่ีมีศก
ยภาพที่จะคิดได้ และเป็ นส่ิงที่จา˚ เป็ นต่อการดา˚ เนินชีวต
2.5.2 The Systems Model of Creativity
Csikszentmihalyi (1999, อา้ งถึงใน Starko, 2005) กล่าววา
ความคิดสร้างสรรคเ์ กิดจากแต่
ละบุคคล โดยบุคลน้น
จะตอ
งมีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่ลึกซ้ึงในอุตสาหกรรมหรือองค
ความรู้น้น
ๆ บุคคลน้นั ๆ สามารถที่จะรวบรวมความคิดและมีความสุขกบ
การคน
หาอย่างไม่รู้จบ
ดวยตนเองและมีความสามารถท่ีจะแยกแยะวา อะไรควรท่ีจะให้ความสนใจและอะไรควรท่ีจะละ
ทิ้งเพ่ือไปสู่จุดหมาย โดยปัจจย
ท่ีก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรคค
ือ ความล่ืนไหลท่ีจะเกิดข้ึนเมื่อทา
กิจกรรมท่ีตอ
งใชส
มาธิ แต่ใหค
วามเพลิดเพลินอยา่ งน่าพึงพอใจมาก
ความคิดสร้างสรรค์นอกจากจะมีการมุ่งเน้นศึกษาในเชิงจิตวิทยาแล นกวิชาการยงั ให
ความสา˚ คญ
ในดา้ นวฒ
นธรรมและสังคมอน
ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรคอ
ีกดว
ย เนื่องจากความคิด
สร้างสรรค์ไม่ได้เป็ นผลผลิตที่เกี่ยวขอ
งกบ
คนเพียงคนเดียว แต่สังคมเป็ นตวตด
สินการผลิตของ
คนๆน้น
ดวย ดงั น้น
ผชู
มหรือผเู้ สพจึงมีความสา˚ คญ
เทียบเท่ากบ
ผผู
ลิตผลงานท่ีสร้างสรรคเ์ หล่าน้น
Csikszentmihalyi (1999) ยงั ไดก
ล่าวถึงปัจจย
3 ดา้ นที่มีปฏิสัมพน
ธ์กน
(ภาพที่ 2.1) คือ
1) บุคคล (Person: Individual Talent) หมายถึง ความสามารถของบุคคล ทกษะ บุคลิกภาพ และประสบการณ์
2) ขอบเขตเน้ือหา (Domain: The Discipline in Which This Individual Works) หมายถึง องคความรู้เฉพาะเจาะจงที่ไดเรียนรู้ฝึ กฝนเพื่อสร้างสรรคผลงานของตน
3) การควบคุมตดสิน (Field: Social Organization of Domain) หมายถึง การให
คุณค่าผลงานสร้างสรรคโดยกลุ่มผเู้ ช่ียวชาญของขอบเขตเนอหาื้ นน้ ๆ
ภาพที่ 2.1 ปัจจยั ท่ีมีปฏิสัมพน
ธ์กน
อนส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค
แหล่งทมา: Csikszentmihalyi, 1999, p. 315.
ปัจจย
ท้งั สามดา้ นสัมพน
ธ์กน
อยา่ งเป็ นพลวต
กล่าวคือปัจจย
ดา้ นการควบคุมตด
สิน
(Field) จะพิจารณาผลงานของบุคคลวา่ มีหรือไม่มีคุณค่าในขอบเขตเน้ือหา (Domain) น้นๆ หากมี
คุณค่าย่อมทา˚ ให้บุคคล (Person) เจา้ ของผลงานไดร
ับการยอมรับว่ามีการคิดสร้างสรรค
ูง และ
ผลงานของบุคคลน้นก็จะกลายเป็ นมาตรฐานของขอบเขตเนื้อหาต่อไป แนวคิดน้ีจึงมองวา่ ความคิด
สร้างสรรค์เป็ นส่วนหน่ึงของการมีปฏิสัมพน
ธ์กบ
ระบบอื่นๆ ในสภาพแวดลอ
มของแต่ละสังคม
การที่บุคคลจะผลิตผลงานสร้างสรรค์ไดน้
จา˚ เป็ นตอ
งได้รับแรงบน
ดาลใจจากผลงานของผูอ
่ืน
และไดร้ ับการยอมรับจากคนในวงการของตนวา่ ผลงานที่สร้างข้ึนคือผลงานท่ีสร้างสรรค
2.5.3 ทฤษฎประพนธกร (Theory of Auteurism)
“ทฤษฎีประพน
ธกร” (Theory of Auteurism) เป็ นทฤษฎีที่มองวา
“ภาพยนตร์” เป็ นผลิตผล
แห่งความคิดอ่านของผูก
า˚ กบ
ซ่ึงตอ
งรับผิดชอบในคุณภาพโดยรวมของงานที่ตนสร้างข้ึนมา หาก
ภาพยนตร์ท่ีสร้างมาทา˚ ใหผ
ชู มสามารถระบุไดว
า่ เป็ นผลงานของผกู
า˚ กบ
ท่านใด ผูก
า˚ กบ
ท่านน้น
ก็จะ
ไดร
ับการเรียกขานวา่ เป็ น “ประพน
ธกร” หรือ “Auteur” ไปดว
ย (Truffaut, 1976) ขอบเขตที่ใช
อธิบายประพน
ธกรคนหน่ึงๆ น้
ตามหลก
การ ไม่ได
ค่ตอ
งศึกษาผลงานของเขาอย่างถี่ถ้วน
ครอบคลุมเท่าน้น
หากแต่ยงั เขา้ ไปตรวจสอบปูมหลงั ชีวต
ของประพน
ธกรคนน้น
ๆ ดว
ยวา่ เติบโตมา
อย่างไร ผ่านการเล้ียงดูอบรมส่ังสอนและศึกษามาแบบไหน รวมไปจนถึงมีโลกทศน์ต่อเร่ืองราว
ต่างๆ อยา่ งไร ไม่วา่ จะต่อชีวต
สังคม หรือแมก
ระทง่ั การเมือง (Lynn, 2005)
นกประพน
ธ์ท่ีถือไดว
่าเป็ นประพน
ธกรที่มีเอกลก
ษณ์ เป็ นท่ีจดจา˚ ของผูค
น ไดแ
ก่ Johann
Van Beethoven ลก
ษณะงานของ Beethoven คือ การใชจ
งั หวะขด
(Syncopation) และการใชเ้ สียงที่
ไม่กลมกลืน (Dissonance) ในการสร้างความตึงเครียดและความตื่นเต้นในบทเพลง มีการใช ช่วงกวา้ งของเสียง (Range) และความดงั -ค่อย (Dynamic) ที่มากกวา่ ในเพลงยุคก่อนๆ เมื่อดงั จะดงั
มาก และเมื่อเบาจะเบาจนแทบไม่ไดยน
หลายคร้ัง Beethoven ใชค
วามเงียบทา˚ ใหเ้ กิดความตึงเครียด
ดวย ส่งผลให้ผูฟ
ังเกิดความรู้สึกและอารมณ์มากกวา่ ดนตรียุคคลาสสิค นอกจากน้
Beethoven ใช
การเนนเสียง (Accent) และการใชแนวคิดเรื่องเก่ียวกบ
รูปแบบจงั หวะส้ันๆ ช้าๆ ต่อเนื่องกน
หลายๆ
คร้ัง เพ่ือทา˚ ใหเ้ พลงมีพลงั ข้ึนมา ตว
อยา่ งที่เห็นไดช
ดคือ Symphony no. 5 ในท่อนแรก Beethoven
ยงั ใชก
ารประสานเสียงท่ีแตกต่างจากยุคคลาสสิก เช่น การใชค
อร์ดที่ไม่ใช่ Triad ข้ึนตน
บทเพลง
เพื่อช่วยเพ่ิมความมีพลง
ความหนก
แน่นมากข้ึน ในการสร้างความตึงเครียดที่ค่อยๆ เพิ่มข้ึนต้งั แต่
ตนเพลงเช่นน้ีทา˚ ใหเ้ พลงมีความยาวมากข้ึน (Landon, 1970)
นอกจากน้ียงั มีประพน
ธกรที่สร้างผลงานเพลงอน
เป็ นเอกลก
ษณ์ ตราตรึงใจจนถึงคนในยุค
ปัจจุบน
นนก็คือ Leopard Mozart นก
ประพน
ธ์เพลงชาวออสเตรีย บทเพลงของ Mozart ไดรับ
อิทธิพลจากปัจจย
หลายประการ เช่น จากการที่อยู่ในครอบครัวที่มีสภาพแวดลอ
มดว
ยดนตรี จาก
การที่ไดศ
ึกษาและมีประสบการณ์ในการเดินทางแสดงคอนเสิร์ตในประเทศต่างๆ จากลก
ษณะบท
เพลงของผูป
ระพน
ธ์เพลงท่ีมีชื่อเสียงในยุคน้
เช่นไฮเดิน จากความอจ
ฉริยะทางดนตรีและจาก
ความส˚าเร็จทางดนตรีขณะที่ยงั เป็ นเด็ก ทา˚ ให้ลกษณะงานของ Mozart มีความไพเราะ สามารถ
ถ่ายทอดถึงความสดใสสดช่ืน ความน่ารักหรือความเศร้าไวใ้ นบทเพลง ผลงานของ Mozart จะเนน
ทา˚ นองท่ีเด่นชด
ไพเราะน่าฟัง จนถูกกล่าววา
Mozart เป็ นผทู
ี่สามารถทา˚ ให้เครื่องดนตรีร้องเพลงได
(Burkholder, Grout, & Palisca, 2010) นน
เป็ นคา˚ กล่าวที่ทา˚ ใหเ้ ขา้ ใจไดอ
ยา่ งชด
เจนวา
Mozart เขา้ ใจ
ดีถึงการประพน
ธ์ทา˚ นองให้เหมาะกบ
การขบ
ร้องเป็ นอย่างยิ่ง บทร้องอน
ไพเราะจากโอเปราและ
ผลงานประเภทการขบ
ร้องจึงเป็ นที่ชื่นชอบของผูฟ
ังและผูขบ
ร้อง รูปแบบบทเพลงของ Mozart มี
การพฒ
นาเพ่ิมเติมให้น่าสนใจมากข้ึน แต่ก็ยง
คงรักษารูปแบบและหลก
การในการประพน
ธ์ไว
ความงดงามของบทเพลงที่ Mozart ประพน
ธ์มิไดอ
ยเู่ ฉพาะที่แนวทา˚ นองเท่าน้น
หากแต่เกิดจากการ
ผสมผสานอยา่ งกลมกลืนกน
ขององคป
ระกอบของดนตรี การใช้การประสานเสียงท่ีธรรมดาแต่มี
ความหมาย การคา˚ นึงถึงสีสันของเสียงของเครื่องดนตรี ดวยความสามารถในการเรียบเรียงเสียง
ประสานเพ่ือวงออร์เคสตราทา˚ ใหเ้ ขาประพน
ธ์แนวทา˚ นองส่วนเชื่อมต่อระหวา่ งทา˚ นองยอ
ยมากมาย
เพ่ือให้เคร่ืองดนตรีในวงออร์เคสตราไดบ
รรเลงออกมาอย่างสมบูรณ์และมีสีสัน ซ่ึงถือไดว
่าเป็ น
เอกลกษณ์ในการประพนธ์ของ Mozart (Burkholder, Grout, & Palisca, 2010)
จากการศึกษาแนวคิดเก่ียวกบ
ความคิดสร้างสรรค์ สามารถนา˚ ไปวิเคราะห์ลก
ษณะการ
สร้างสรรค์ผลงานของนก
ประพน
ธ์เพลง รวมถึงปัจจย
ต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อวิธีคิดในการแต่งเพลง
และวเิ คราะห์เอกลก
ษณ์เฉพาะของเพลงที่ศิลปิ นไดร้ ังสรรคข
้ึนมา
2.6 งานวจัยทเกยวของ้
ณัฐธินี ชย
ตรี (2558) ไดท
า˚ การศึกษาเกี่ยวกบ
“การสื่อสารบน Facebook Fanpage ของ
ศิลปิ นเพลงอินด้ี ท่ีน˚ามาสู่ความนิยมในตัวตนศิลปิ นเพลงอินด้ี และผลงานเพลง” โดยมี
วตถุประสงค์ที่จะศึกษารูปแบบการทา˚ เพลงของศิลปิ นอินด้ี รวมถึงการสร้างอตลกษณ์และตวตน
ของศิลปิ น โดยไดทา˚ การศึกษาวงสตูนดิโอซ่ึงเป็ นวงดนตรีอินดี้ของไทยท่ีท้งั ท้งั แต่งเพลงเองและ
สร้างภาพลก
ษณ์ของตว
เองอยา่ งมีเอกลก
ษณ์ จากการวิจย
พบวา
สตูนดิโอมีการทา˚ เพลงแบบ D.I.Y.
(Do It Yourself) เป็ นการทา˚ เพลงที่ไม่ไดอ
ยู่ในระบบของค่าย ศิลปิ นเป็ นผูด
า˚ เนินการเองท้งั หมด
ต้ังแต่กระบวนการทางความคิด การลงมือท˚าเพลง การประชาสัมพันธ์ และการขาย ด้วย
กระบวนการทา˚ เพลงแบบ D.I.Y ทา˚ ให้ผูว
ิจย
ทราบว่าศิลปิ นเพลงอินด้ีจะมีขอ
จา˚ กด
ในเรื่องของ
ต้นทุนการผลิตทุกกระบวนการ และจากการสัมภาษณ์พบวา่ การทา˚ งานเพลงของวงสตูนดิโอไดรับ
ความช่วยเหลือจากคนรู้จก
ซ่ึงเป็ นการอาศย
เครือข่ายพน
ธมิตรนก
ดนตรีดว
ยกน
ท้งั น้ีกระบวนการ
สื่อสารกลุ่มสามารถสร้างการดา˚ รงไวซ
่ึงอตลก
ษณ์ให้กบ
ศิลปิ นอินด้ีได้ เพราะกระบวนการส่ือสาร
กลุ่มมีท้ง
แรงสนับสนุนท่ีทา˚ ให้กลุ่มยงั ดา˚ เนินต่อไปได้ และแรงสกด
จะเป็ นการลดความเขม
แข็ง
ของอตลก
ษณ์ความเป็ นศิลปิ นอินด้ีลงไป แรงสนบ
สนุนที่ทา˚ ให
ิลปิ นอินด้ีดา˚ รงอยูไดค
ือการสร้าง
เครือข่ายพน
ธมิตรของกลุ่มอินด้ีดว
ยกน
เอง และแสดงให้เห็นถึงการสร้างความสัมพน
ธ์ทางสังคม
ของบุคคล โดยมีการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กน ออนไลน์อยา่ ง Facebook
และกน
ผา่ นทางเครือข่ายสังคม
ศศิประภา อุทย
ชลานนท์ (2557) ไดท
า˚ การศึกษาในหวขอ
“การศึกษาอตลก
ษณ์ของศิลปิ น
บอยแบนด์แห่งค่ายเพลง S.M. Entertainment กรณีศึกษาศิลปิ นบอยแบนด์วง Super Junior และ
EXO” โดยให้ความสนใจเกี่ยวกบ
องค์ประกอบดา้ นรูปแบบเพลง ซ่ึงศึกษาเก่ียวกบ
ประเภทและ
ลกษณะแนวดนตรี รวมถึงประเด็นและลกษณะของเนื้อหาเพลงท่ีถูกนา˚ เสนอในผลงานเพลงของ
ศิลปิ นบอยแบนด์ โดยพบวา
องคป
ระกอบดา้ นรูปแบบเพลงเป็ นองคป
ระกอบที่มีบทบาทส˚าคญ
มาก
ที่สุดเนื่องจากเป็ นองคป์ ระกอบที่ใช้ในการกา˚ หนดทิศทางและรูปแบบของศิลปิ นบอยแบนด์ให้มี
ความแตกต่างและเป็ นไปตามแนวทางที่ค่ายเพลงตน
สังกด
วางเอาไว้ ซ่ึงการผลิตรูปแบบเพลงของ
ศิลปิ นบอยแบนดน
้ีไม่ไดม
ุ่งเพียงแค่ตลาดเพลงในประเทศและตลาดเพลงเอเชียเท่าน้น
แต่มองไปถึง
ตลาดเพลงทว
โลก แนวดนตรีจึงตอ
งมีความทน
สมย
แปลกใหม่ และอยใู่ นกระแสนิยม
ปริยทยา วงศก
า˚ แหงหาญ (2557) ไดศ
ึกษาเกี่ยวกบ
“การส่ือสารอต
ลกษณ์ความเป็ นวย
รุ่น
ในเน้ือเพลงไทยสากลค่ายกามิกาเซ่ (Kamikaze)” โดยมุ่งใหค
วามสนใจในเรื่องของส
ญะของเพลง
จากการศึกษาในงานวิจย
ชิ้นน้ีทา˚ ให้สามารถสรุปอตลก
ษณ์ของวย
รุ่นจากสัญญะท่ีใช้ในบทเพลง
ไทยสากลค่ายกามิกาเซ่อน
เป็ นเพลงสมย
นิยมไดว
่า วย
รุ่นเป็ นวย
แห่งการเริ่มตน
ท่ีจะไขว่ควา้ และ
ต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตนตอ
งการโดยไม่สนใจต่ออุปสรรคใดๆ เพราะวย
รุ่นไม่เช่ือเร่ืองการรอคอยโอกาส
หรือโชคชะตาที่จะเขา้ มาหาตน แต่วย
รุ่นกลบ
เชื่อและศรัทธาพลง
ของตว
เองจากความต้ง
ใจจริง
ความพยายาม และการลงมือกระทา˚ จนกว่าจะส˚าเร็จอีกท้งั เมื่อวย
รุ่นรู้สึกว่าตนกา˚ ลง
ถูกรังแกหรือ
เสียเปรียบจากความไม่ยุติธรรม วย
รุ่นจะไม่ทนอยูเ่ ฉยแลวกม
หนา้ ยอมรับกบ
สิ่งท่ีเกิดข้ึน แต่วยั รุ่น
จะต่อสู้เพื่อสิทธิของตว
เองตามความเหมาะสมและพ
มี หรือเลือกการละทิ้งไปเพื่อหาหนทางใหม่ที่
ดีกวา่ แบบเดิม โดยอต
ลกษณ์ของวย
รุ่นไดถ
ูกแสดงออกผ่านคา˚ พูดในลก
ษณะเชิงเปรียบเทียบ การ
ถามยอ
น การประชดประชน
และการตดพอ
รวมถึงการแสดงออกทางพฤติกรรมต่างๆ ในการทา
หน้าท่ีเป็ นส่ือเพื่อให้อีกฝ่ ายเขา้ ใจความหมายไดเ้ องโดยที่ไม่ตองพูดโดยตรง ซ่ึงการแสดงออกใน
ลกษณะทางออ
มน้ีตอ
งไม่ใช่เพ่ือรอเวลาเพ่ือโกหก หรือใช้เพื่อการปิ ดบง
เพราะหากเป็ นเช่นน้ัน
วยั รุ่นมก ตนเอง
เลือกใชก
ารพูดจากน
โดยตรงให้เขา้ ใจมากกวา่ การปล่อยให้คาดเดาหรือทา˚ ความเขา้ ใจดวย
กอบชย
รัฐอุบล และวณิชญา รัฐอุบล (2558) ไดศ
ึกษาเกี่ยวกบ
ปรากฏการณ์ความเป็ นโพสต
โมเดิร์นท่ีเกิดข้ึนในแพลงลูกทุ่งร่วมสมย พบว่า มีการผสมผสาน การปะติดปะต่อ การปฏิเสธ
ระเบียบกฎเกณฑท
างสุนทรียะของเพลงลูกทุ่งร่วมสมย
และการใชส
ัมพน
ธบท (Intertextuality) ซ่ึง
ล ษณะต่างๆ ทา˚ ให้เห็นถึงแนวคิดทางสังคมที่แฝงอยู่ในบทเพลงลูกทุ่งร่วมสมยซ่ึงผูเ้ ขียนได
วิเคราะห์ตีความท้งด้านรูปแบบ ภาษาเนื้อหาการปะทะกันทางความคิดเดิมและความความคิด
สมยั ใหม่นอกจากน้ียงั นา˚ เสนอใหเ้ ห็นวา่ เพลงลูกทุ่งร่วมสมยั ยงั เป็ นส่วนหน่ึงยงั คงรักษาขนบด้งั เดิม
เอาไวแ
ต่อีกส่วนหน่ึงก็ไดก
า้ วขา้ มหรือปฏิเสธขนบด้งั เดิม อน
แสดงใหเ้ ห็นถึงมาตรฐานของสังคมที่
เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีสมย
ใหม่ อยา่ งไรก็ตามเพลงลูกทุ่งยงั คงทา˚ หนา้ ท่ีเป็ นเครื่องบน
เทิง
ใจ เครื่องปลอบประโลมใจ และสร้างอุดมการณ์ ตลอดจนการสร้างความส˚านึกร่วมให้เกิดข้ึนกบ
คนในส
คมรวมไปถึงการทา˚ หนา้ ที่เล่าเรื่องและบน
ทึกเหตุการณ์สา˚ คญ
ต่างๆ ในสังคมต่อไป
อภิรักษ์ ชัยปัญหา (2550) ได้ศึกษาเก่ียวกบ
การสัมผส
ภาษาในเพลงไทยสากลยอดนิยม
พบว่า ปัจจุบน
เพลงไทยากลท่ีได้รับความนิยมจากกลุ่มผูฟ
ังวย
รุ่น มีลก
ษณะสัมผส
ภาษามากข้ึน
กล่าวคือ มีการประพน
ธ์เน้ือร้องภาษาต่างประเทศร่วมกบ
เน้ือร้องภาษาไทย จากการศึกษาเพลงไทย
ยอกนิยมที่ไดร
ับความนิยมสูงสุด 10 อน
ดบแรกของสถานีวิทยุ 2 สถานี ต้งั แต่เดือนมกราคม 2549-
มิถุนายน 2550 พบวา่ มีเพลงท่ีมีการสัมผส
ภาษาถึง 47 เพลง ภาษาที่ผป
ระพนธ์นามาใชในการสัมผส
มากที่สุด ไดแก ภาษาองกฤษ รองลงมาคือภาษาเกาหลี และภาษาญี่ป่ ุน ตามลา˚ ดบ โดยปรากฏเป็ น 4
ลกษณะ ไดแ
ก่ การยืมภาษา การปนภาษา การสลบ
ภาษา และการแทรกแซงภาษา ซ่ึงปรากฏการณ์
ดงั กล่าวอาจเกิดจากปัจจย
4 ดา้ น ไดแ
ก่ กระแสโลกาภิวฒ
น์ การตลาด วฒ
นธรรมประชานิยมของ
ต่างประเทศ และความรู้ความกา้ วหนา้ ทางวทยาการตา่ งประเทศ
2.7 กรอบแนวคดการวจัย
Denotation Process
Connotation Process
(อตลกั ษณ์และอตมโนทศน์ของปัจเจกบุคคล)
เพลงสมัย เพลง
นิยม ทางเลือก
เพลง
อภิชัย ตระกูลเผด็จ กร
นราธิป ปานแร่
เพลงทางเลือก
เพลงสมัยนิยม
ผู้ร่วมงาน
ผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการ
ภาพที่ 2.2 กรอบแนวคิดการวจย
บทที่ 3
วธีดาเนินการวจย
การวิจย
เรื่อง “สัญญะของเพลงกบ
การสะทอ
นอต
ลกษณ์และอต
มโนทศ
น์ของผูป
ระพน
ธ์”
เป็ นการวิจัยเพื่อมุ่งศึกษาเกี่ยวกับรู ปแบบการสื่อสารผ่านเพลงของผู้ประพันธ์เพลง และ
องคป
ระกอบของเพลงที่สามารถสะทอ
นอตลก
ษณ์และหรืออต
มโนทศ
น์ของผูป
ระพน
ธ์เพลง โดย
ใชว
ิธีการวิจย
เชิงคุณภาพ (Qualitative Research Method) ในการทา˚ การศึกษาผูป
ระพน
ธ์เพลงสอง
ท่าน คือ ผป
ระพนธ์เพลงสมยนิยม (นามสมมติ Q1) และผูป
ระพน
ธ์เพลงทางเลือก (นามสมมติ Q2)
ท้งั น้ีหลก
เกณฑ์ในการคด
เลือกผูป
ระพน
ธ์ท่ีผูว
ยไดก
า˚ หนดไวด
งั น้ีคือ 1) เป็ นผูท
ี่ไดร
ับการยอมรับ
ในการประพนธ์เพลงสมยนิยม 1 ท่าน และเพลงทางเลือก 1 ท่าน 2) มีผลงานเพลงที่ไดป
ระพน
ธ์ท้ง
เน้ือร้องและทา˚ นอง และไดร
ับรางวล
หรือติดอน
ดบผงั เพลงบนส่ือวิทยุเป็ นอน
ดบตน
ๆของประเทศ
และ 3) มีค่ายเพลงเป็ นตน
สังกด
โดยแบ่งข้น
ตอนการดา˚ เนินการวจ
ยั เป็ น 3 ข้น
ตอนดงั ต่อไปน้
3.1 ข้นตอนที่ 1 : การวจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research)
ศึกษารูปแบบการสื่อสารของเน้ือหาเพลงท่ีประพน
ธ์โดยผูป
ระพน
ธ์เพลงแบบสมย
นิยม
และแบบทางเลือกวา่ เป็ นอยา่ งไร และสามารถสะทอ
นอตลก
ษณ์ของผูป
ระพน
ธ์ท้งั สองท่านอยา่ งไร
เพื่อตอบคาถามวจ
ยขอ
ที่ 1 ผวู้ จ
ยั จะทา˚ การศึกษาขอ
มูลแวดลอ
มทว
ไปท่ีเก่ียวขอ
งกบ
ผูป
ระพน
ธ์ท้ง 2
ท่าน ผ่านการเก็บรวบรวมขอ
มูลจากเอกสาร อน
ไดแ
ก่ขอ
มูลจากอินเตอร์เน็ต หนังสือ นิตยาสาร
และสื่อสิ่งพิมพต
่างๆ โดยจะทา˚ การศึกษาขอ
มูลใน 2 ส่วนคือ
3.1.1 แหล่งข้อมูล
1) ขอ
มูลทว
ไปของผปู
ระพน
ธ์เพลงท้งั สองท่าน
โดยมีขอบเขตเน้ือหาของขอมูลที่ศึกษาดงั ตอไ่ ปน้ีคือ
(1) ขอ
มูลเกี่ยวกบ
ภูมิหลง
เช่น ครอบครัว อาชีพการงาน การศึกษา งานอดิเรก
รูปแบบการ ดาเนิน ชีวต
รวมถึงความเช่ือ ความคิดเห็นและทศ
นคติที่มีต่อส่ิงต่างๆ ซ่ึงเป็ นสิ่งส˚าคญ
ในการหล่อหลอมความเป็ นตว
ตนของผปู
ระพน
ธ์ (อตมโนทศน์)
(2) บทสัมภาษณ์เก่ียวกบ
ผลงานเพลง แนวเพลง และเพลงท่ีไดร
ับการยอมรับ
จากกลุ่มผฟู
ัง สื่อมวลชน และหรือผเ้ ชี่ยวชาญในวงการเพลงไทย และความคิดเห็นของผฟู
ัง หรือบท
วจารณ์ของผค
นในวงการเพลง เพ่ือใหท
ราบถึงอตลก
ษณ์ของผปู
ระพน
ธ์ที่เกิดข้ึนจากผรู้ ับสาร
2) ขอ
มูลเบ้ืองตน
เก่ียวกบ
เน้ือเพลงท่ีผปู
ระพน
ธ์ไดท
า˚ การประพนธ์
3.1.2 วธีวจัย
การวจยเชิงเอกสาร (Documentary Research)
3.2 ข้นตอนที่ 2 : การวเิ คราะหเน้ื์ อหาสารเชงิ คุณภาพ (Qualitative Content Analysis)
ศึกษารูปแบบการสื่อสารของเน้ือหาเพลงท่ีประพน
ธ์โดยผูป
ระพน
ธ์เพลงแบบสมย
นิยม
และแบบทางเลือกวา่ เป็ นอยา่ งไร และสามารถสะทอ
นอตลก
ษณ์ของผูป
ระพน
ธ์ท้งั สองท่านอยา่ งไร
ผวู้ จ
ยั จะทา˚ การวจ
ยั เน้ือหาสารในผลงานเพลงของผปู
ระพน
ธ์ท้ง
2 ท่าน
3.2.1 แหล่งข้อมูล
ผวู้ จ
ยั จะทา˚ การวิเคราะห์เน้ือหาสารเชิงคุณภาพโดยการหยิบยกผลงานเพลงของผูป
ระพนธ์
ท้งั สองท่าน ท่านละ 5 เพลง โดยมีเกณฑ
นการคด
เลือกดงั ต่อไปน้ีคือ 1) เป็ นเพลงที่ผูป
ระพน
ธ์ได
ประพน
ธ์เน้ือร้อง 2) เป็ นเพลงที่ไดร
ับรางวล
หรือติดผงั เพลงเป็ นอน
ดบต้นๆบนคลื่นวิทยุที่เป็ นที่
นิยมและมีชื่อเสียงของประเทศไทย ซ่ึงเพลงที่คดเลือกมามีดงั ตอไ่ ปน้
1) เพลงที่ประพนธ์โดยผป
ระพน
ธ์เพลงสมยนิยม (Q1)
(1) เพลง “รักนะคะ” ติดอนดบ
สูงสุดที่ 2 จากการจดอน
ดบของซ้ีดเอฟเอ็ม ใน
ชาร์ตของ ซ้ีดเอฟเอ็ม ชาร์ตท็อป 20 ประจา˚ วน
ที่ 20 กุมภาพน
ธ์ พ.ศ. 2554 และอนดบ
สูงสุดที่ 19
จากการจดอนดบของเวอร์จ้ินฮิตซ์ ในชาร์ตของ 95.5 เอฟเอ็ม เวอร์จ้ินฮิตซ์ ชาร์ตท็อป 40 ประจา
วนที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554 โดยวดจากการออกอากาศของคลื่นวิทยุในกรุงเทพมหานครและ
ปริมณฑล จานาน 40 สถานี
(2) เพลง “ยงั วา่ ง” ไดอน
ดบสูงสุด 18 ของชาร์ต GMM Grammy Gmember
Song Chart Top 100 ประประจา˚ วน
ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 และอน
ดบสูงสุด 1 GMM
Grammy Gmember MV Chart Top 5 ประจา˚ วน เวบไซต์ Xxxxxxx.xxx
ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 จากการจดอน
ดบของ
(3) เพลง “อยูเ่ พื่อรัก” ไดอนดบ 1 ของชาร์ต GMM Grammy Gmember Song
Chart Top 100 ประประจา˚ วนที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556 และ GMM Grammy Gmember MV Chart
Top 5 ประจาวนที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556 จากการจดอนดบของเวบไซต์ Xxxxxxx.xxx
(4) เพลง “คา˚ อธิษฐานด้วยน้า˚ ตา” ไดอนดบ
1 จากการจดอนดบ
ของอีเอฟเอ็ม
ในชาร์ตของ อีเอฟเอ็ม ชาร์ต 94 ท็อป แอร์เพลย์ ประจา˚ วน
ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 โดยวด
จาก
การออกอากาศของคลื่นวทยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จานาน 40 สถานี
(5) เพลง “ความผูกพน
ซ้ือความรักไม่ได”
รับรางวล
เพลงแห่งปี ไนน์เอ็นเตอร์
เทน อวอร์ดส์ คร้ังท่ี 2 ประจา˚ ปี พ.ศ. 2551 จด
โดย กองบรรณาธิการข่าวศิลปวฒ
นธรรมและบน
เทิง
ส˚านักข่าวไทย จด
ข้ึนในวน
ที่ 26 กุมภาพน
ธ์ พ.ศ. 2552 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนยวฒ
นธรรมแห่ง
ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร
2) เพลงที่ประพนธ์ผป
ระพนธ์เพลงทางเลือก (Q2)
Award คร้ังที่ 2
(1) เพลง “กา˚ แพง” ไดร
ับรางวล
เพลงยอดเยี่ยมในการประกาศรางวล
FAT
(2) เพลง “ไม่รู้จกฉน
ไม่รู้จก
เธอ” ในอล
บ้ม
Romantic Comedy ไดร
ับเลือกเป็ น
เพลงนา˚ ภาพยนตร์เร่ือง "สายลบจบ
บา้ นเล็ก" ของ จีเอ็มเอ็ม ไท หบ
โดยทางค่ายมีการทา˚ ดนตรีข้ึน
ใหม่ และมอบหมายให้ ปองกูล สืบซ้ึง (ป๊ อบ แคลอรี บลา บลา) และธนิดา ธรรมวิมล (ดา เอ็นโดร
ฟิ น) เป็ นผูขบ
ร้องเพลงน้ี ติดอนดบ
สูงสุดที่ 3 จากการจดอน
ดบของซ้ีดเอฟเอ็ม (97.5 FM) ในผง
อนดบ
ของ ซ้ีดเอฟเอ็ม ชาร์ตท็อป 20 ประจา˚ วน
ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550 และอนดบ
สูงสุดที่ 1 จาก
การจดอนดบ
ของเวอร์จิ้นฮิตซ์ ในผงั อน
ดบของเวอร์จิ้นฮิตซ์ ชาร์ตท็อป 40 (95.5 FM) ประจา˚ วน
ที่
14 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โดยวดจากการออกอากาศของคลื่นวทยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จา นาน 40 สถานี
Radio (104.5 FM)
(3) เพลง “ปรากฎการณ์” ครองอนดบ
1 ถึง 3 สัปดาห์ซ้อนในผงั อน
ดบของ Fat
(4) เพลง “ผลิตภณ
ฑ์น้ีรับประกน
100 ปี” ไดร
ับรางวล
เพลงยอดเยี่ยม จากเพลง
“ผลิตภณ
ฑน้ีรับประกน
100 ปี” จากอล
บ้ม
“โรแมนติก คอเมด้ี” (Romantic Comedy)
(5) เพลง “สถานีต่อไป” ไดอน
ดบสูงสุดที่ 2 จากการจดอน
ดบของซ้ีดเอฟเอ็ม
(97.5 FM) ในชาร์ตของ ซ้ีดเอฟเอ็ม ชาร์ตท็อป 20 ประจา˚ วน
ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557 โดยวด
จาก
การออกอากาศของคลื่นวทยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จานาน 40 สถานี
3.2.2 วธ
ีวจ
ัย : การวเิ คราะห์เนื้อหาสารเชิงคุณภาพ (Qualitative Content Analysis)
การวิเคราะห์เน้ือหาสารเป็ นวิธีวิจยท่ีมุ่งหาการส่ือความหมายในขอบเขตเนื้อหา โดยจะ
ระบุวส
ดุสื่อที่ตอ
งการจะศึกษา แยกแยะเน้ือหาออกเป็ นหมวดหมู่ จากน้น
สร้างหรือกา˚ หนดเกณฑ
เพ่ือวเิ คราะห์ บน
ทึกรายละเอียดขอ
มูลส่วนต่างๆ เพ่ือวิเคราะห์คา˚ วลีหรือแนวคิด บรรยายสาระตาม
เกณฑท
่ีสร้างข้ึนเพ่ือหาขอ
สรุปของเน้ือหาจากวส
ดุหรือส่ือท่ีนา˚ มาวิเคราะห์ (Neuman, 2000, อา้ งถึง
ใน อภิรดี เกล็ดมณี, 2551)
ผวู้ จ
ยไดท
า˚ การออกแบบตารางลงรหส
(Coding Sheet) ซ่ึงแบ่งออกเป็ น 2 ส่วนคือส่วนที่ 1
ศึกษาเกี่ยวกบ 3.1
เน้ือเพลง (Lyrics) และส่วนท่ี 2 ศึกษาเกี่ยวกบ
ทา˚ นอง (Melody) ดงั ที่แสดงในตารางที่
ตารางที่ 3.1 ตารางลงรหส (Coding Sheet) สัญญะของการเล่าเรอง่ื ในเพลง
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
1) โครงเรื่อง (Plot) | |||
1.1) ข้นั เริ่มเร่ือง (Exposition) | |||
1.2) ข้นั พฒั นาเหตุการณ์ (Rising Action) | |||
1.3) ข้นั ภาวะวกิ ฤติ (Climax) | |||
1.4) ข้นั ภาวะคลี่คลาย (Falling Action) | |||
1.5) ข้นั ยตุ ิเรื่องราว (Ending) | |||
2) แก่นเรื่อง (Theme) | |||
2.1) ความรัก (Love Theme) | |||
2.2) ศีลธรรมจรรยา (Morality Theme) | |||
2.3) แนวคิด (Idealism Theme) | |||
2.4) อานาจ (Power Theme) | |||
2.5) การทางาน (Career Theme) | |||
2.6) เหนือจริง (Outcast Theme) | |||
3) ความขดแยง้ (Conflict) | |||
3.1) ความขดั แยง้ ระหวา่ งคนกบั คน | |||
3.2) ความขดแยงภายในจิตใจ | |||
3.3) ความขดั แยง้ กบั ภายนอก |
ตารางที่ 3.1 (ต่อ)
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
4) ตวั ละคร (Character) | |||
4.1) บุคลิกภาพที่เปราะบางทาง อารมณ์ (Neuroticism) | |||
4.2) บุคลิกภาพที่ชอบเขาสังคม (Extrovert) | |||
4.3) บุคลิกภาพแบบประนีประนอม (Agreeableness) | |||
4.4) บุคลิกภาพแบบยดึ มนั่ ใน หลกการ (Conscientiousness) | |||
4.5) บุคลิกภาพแบบเปิ ดรับ ประสบการณ์ (Openness to Experience) | |||
5) มุมมอง (Point of View) | |||
5.1) บุรุษที่หน่ึงเป็ นตวั ละครสาคญั ในเรื่องเป็ นผเู้ ล่า | |||
5.2) บุรุษที่หน่ึงซ่ึงเป็ นตวั ละครรอง ในเรื่องเป็ นผเู้ ล่า | |||
5.3) ผป้ ระพนธ์ในฐานะเป็ นผรู้ ู้แจง้ เห็นจริงทุกอยา่ งเป็ นผเู้ ล่า | |||
5.4) ผป้ ระพนธ์ในฐานะเป็ นผู้ สงั เกตการณ์เป็ นผเู้ ล่า | |||
5.5) บุรุษที่หน่ึงเป็ นผเู้ ล่าดว้ ย กระแสจิตประหวดั |
3.3 ข้นตอนที่ 3 : การสัมภาษณ์เชิงลก (Indepth-Interview)
เพ่ือตอบคา˚ ถามวิจย
ท้ง
3 ขอ
คือ 1) ศึกษารูปแบบการส่ือสารของเน้ือหาเพลงที่ประพนธ์
โดยผปู
ระพน
ธ์เพลงแบบสมยั นิยมและแบบทางเลือกวา่ เป็ นอยา่ งไร และสามารถสะทอ
นอตลก
ษณ์
ของผปู
ระพน
ธ์ท้งั สองท่านอยา่ งไร 2) อตลก
ษณ์ที่ถูกคน
พบในรูปแบบการสื่อสารของเพลงมีความ
เหมือนหรือแตกต่างกบ
อตมโนทศ
น์ท่ีผูป
ระพน
ธ์มองตนเองอย่างไร 3) ปัจจย
ใดที่ส่งผลต่อการ
สร้างสรรค์ผลงานเพลงของผูป
ระพน
ธ์ ดงั น้น
เพ่ือให ดข
อมูลเชิงลึกจากตว
ผูป
ระพน
ธ์ ผูว
ิจย
จะทา
การเก็บขอ
มูลจากการส
ภาษณ์เชิงลึกผปู
ระพน
ธ์ท้ง
2 ท่านและบุคคลแวดลอ
มท่ีเกี่ยวของ
3.3.1 แหล่งข้อมูล
ผูว
ิจย
จะสร้างแนวคา˚ ถามเพื่อใช้ในการสัมภาษณ์ โดยลก
ษณะคา˚ ถามเป็ นแบบปลายเปิ ด
โดยวางขอบเขตแนวคา˚ ถามที่เช่ือมโยงกบ
แนวคิดเก่ียวกบ
อตลก
ษณ์และอต
มโนทศ
น์ (Identity and
Self-Concept) แนวคิดเกี่ยวกบ
ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และแนวคิดเก่ียวกบ
การสื่อสาร
(Communication) เพื่อวิเคราะห์เก่ียวกบ
องค์ประกอบของเพลงท่ีสะทอ
นถึงอตลก
ษณ์และหรือ
อตมโนทศน์ของผประพนธ์ โดยจะทาการสัมภาษณ์ 3 ส่วน คือ
1) ส่วนที่ 1 สัมภาษณ์เชิงลึกผูป
ระพน
ธ์เพลง 2 ท่าน คือ ผูป
ระพน
ธ์เพลงสมย
นิยม
(Q1) และผประพนธ์เพลงทางเลือก (Q2) โดยมีแนวคาถาม 2 ประเดน็ ดงั ตอไ่ ปน้
(1) ประเด็นที่ 1: คา˚ ถามเกี่ยวกบการสรา้ งสรรคเ์ พลง
ก) องคป
ระกอบและปัจจย
ที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรคใ
นการประพนธ์
เพลง เช่น แรงบน
ดาลใจในการสร้างสรรคง์ าน แหล่งขอ
มูลในการสร้างสรรคเ์ พลงอน
ไดแ
ก่เน้ือร้อง
และการวางประเด็นหรือเคา้ โครงเพลง ประสบการณ์ทางด้านดนตรีและการใช้ชีวิตทวไป (งาน
อดิเรก ความชอบส่วนตว ทางเลือก ฯลฯ) เป็ นตน้
ศาสนา แนวคิดเก่ียวกบ
ความรัก แนวคิดท่ีมีต่อเพลงสมย
นิยมและเพลง
เพลงในแต่ละเพลง
ข) วต
ถุประสงค์ (นามสัญญะ) ที่แทจ
ริงที่ผูป
ระพน
ธ์ตอ
งการส่ือสารผ่าน
ค) การสร้างภาพลกษณ์ของเพลงอนเป็ นอตลกษณ์ของผประพนธ์
ง) ปัจจย
ภายนอกที่ส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลเพลง เช่น แรงกดดน
หรือ
แรงสนบ เป็ นตน้
สนุนท่ีเกิดข้ึนจากบุคคลหรือกลุ่มผูม
ีอา˚ นาจในวงการเพลง บริบทของสังคมในขณะน้ัน
(2) ประเด็นที่ 2 : คา˚ ถามเก่ียวกบ
อตลก
ษณ์และอต
มโนทศน
องผปู
ระพนธ์
ก) การพัฒนาอัตมโนทัศน์ของผู้ประพันธ์โดยเร่ิ มจากการเล้ียงดูของ
ครอบครัว ชีวิตในวย
รุ่น ชีวิตของการมีครอบครัว การรับรู้วา่ ตนเองคือใคร มีความตอ
งการอะไร
และมีจุดมุ่งหมายอยา่ งไร เป็ นตน้
ข) บุคลิกภาพของผป
ระพนธ์เพลง
หน่ึง
ค) ประสบการณ์ รูปแบบของสังคมและวฒ
นธรรมที่ผปู
ระพน
ธ์ไดเ้ ป็ นส่วน
แทจริง
ง) ผลงานเพลงที่สามารถสะทอ
นอต
มโนทศ
น์ของผูป
ระพน
ธ์เพลงไดอ
ยา่ ง
จ) มุมมองความคิดที่มีต่อตนเองในแง่บวกและแง่ลบ รวมถึงการ
พิจารณาอตมโนทศน์โดยใชตนเองเป็ นเกณฑ์และการพิจารณาจากผอู ื่นเป็ นเกณฑ
ตนเองที่ผปู
ระพน
ธ์ยด
ฉ) ความเชื่อ ค่านิยม ความคาดหวง ถืออยู่
ทศนคติ และปณิธานต่างๆ เก่ียวกบ
ผประพนธ์
ช) บุคคลแบบอย่าง (Role Models) ท่ีมีอิทธิพลต่ออต
มโนทศ
น์ของ
ดงั ต่อไปน้
2) ส่วนที่ 2 สัมภาษณ์เจาะลึกบุคคลท่ีเคยร่วมงานกับผูป
ระพน
ธ์เพลง 6 ท่าน
(1) บุคคลท่ีเคยร่วมงานกบ
ผูป
ระพน
ธ์เพลงสมย
นิยม (Q1) โดยท้งั สามท่านทา
หนา้ ที่เป็ นนก
ร้องตน
แบบเสียงใหกบ
คุณ Q1 ซ่ึงไดแก่
ก) นามสมมติ S1 เคยร่วมงานในฐานะนก ทางานที่ Search Entertainment
ร้องตน
เสียงให้กบ
Q1 ปัจจุบน
ข) นามสมมติ S2 เป็ นนกั ร้องค่ายเพลงจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ เคยร่วมงานใน
ฐานะนก ดาวปี 5
ร้องตน
เสียงให บ
Q1 และเคยไดอน
ดบที่ 4 ในการประกวดรายการ The Star คน
ฟ้าควา
Record
ค) นามสมมติ S3 เป็ นครูสอนร้องเพลง ปัจจุบน
เป็ นผูบ
ริหารที่ Smile Work
(2) บุคคลที่เคยร่วมงานกบ
ผปู
ระพน
ธ์เพลงทางเลือก (Q2) ซ่ึงไดแก่
ก) นามสมมติ S4 เคยร่วมงานกบ Q2 ในฐานะมือกีตาร์วงอะไรจ๊ะ และวงอ
พาร์ทเมน
ทคุณป้าในปัจจุบน
ปัจจุบน
เป็ นมือกีตาร์ใหกบ
วง Bangkok Molam International Band
ข) นามสมมติ S5 เคยร่วมงานเพลงกบ Q2 ในการทา˚ เพลงโฆษณา และเคย
เป็ นสมาชิกวงดนตรีทางเลือกชื่อ Holly Berry ปัจจุบนทางานเดี่ยวของตนเองในนาม Yaak Lab เป็ น
แนวดนตรีอิเล็คทรอนิคส์ ส กด Box Records
ค) นามสมมติ S6 เคยร่วมงานเพลงกบ Q2 เคยเป็ นสมาชิกวง Knock The
Knock, Siam Secrete Service, และวงอะไรจะ
และเคยเป็ นโปรดิวเซอร์ให้กบ
วงอพาร์ตเมนตค
ุณป้า
ในอล
บ้ม
Romantic Comedy และอล
บ้ม
สมรสและภาระ
โดยแนวคา˚ ถามจะมีดังต่อไปน้ี 1) อต
ลักษณ์ของผูป
ระพน
ธ์และตว
บทเพลงที่
ผูป
ระพน
ธ์ไดส
ร้างสรรคข
้ึน 2) บุคลิกภาพของผูป
ระพน
ธ์เพลง และการปฏิสัมพน
ธ์กบ
ผูอ
ื่น เช่น
วิธีการคิดงาน ทศ
นคติในการทา˚ งาน ปัญหาในการทา˚ งานร่วมกน
เป็ นตน
3) บทบาทหน้าที่และ
ความรับผิดชอบของผูป
ระพน
ธ์เพลงที่ผูร้ ่วมงานรับรู้ต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบน
4) มุมมองเกี่ยวกบ
เพลงที่ผูป
ระพน
ธ์ไดแ
ต่งข้ึน 5) ความเชื่อ ค่านิยม ความคาดหวง
ทศนคติ และปณิธานต่างๆ ที่
ผปู
ระพน
ธ์ยด
ถืออยู่ ในแง่มุมของผรู้ ่วมงาน
3) ส่วนท่ี 3 สัมภาษณ์เจาะลึกผูม
ีอิทธิพลในวงการเพลงเก่ียวกับปัจจย
ที่ส่งผล
กระทบต่อการสร้างสรรคผลงานเพลงของผูประพนธ์ ซ่ึงไดแก่
บริษ
(1) คุณปิ ยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี เป็ น Community Manager & Co-Founder ฟังใจ จา˚ กัด ซ่ึงเป็ นชุมชนทางดนตรีที่เชื่อมศิลปิ นและแฟนเพลงเข้าด้วยกัน ผ่านทาง
แพลตฟอร์ม กิจกรรมท้งออนไลน์และออฟไลน์ ไม่ว่าจะเป็ นมิวสิกสตรีมม่ิง นิตยสารดนตรี
คอนเสิร์ต และการสัมมนาทางดนตรี
(2) คุณวเชียร ฤกษไพศาล ดารงตา˚ แหน่งเป็ นรองกรรมการผูอ
า˚ นวยการสายงาน
ดนตรี การผลิต และการประชาส
พนธ์ บริษท
จีเอม
เอม
แกรมมี่ จา˚ กด
(มหาชน)
(3) คุณบรกรณ์ หลงสวาสด์ ิ อดีตโปรแกรมไดเรคเตอร์จากคลื่นวิทยุแฟตเรดิโอ ปัจจุบนเป็ นโปรดิวเซอร์คลื่นวทยแคทเรดิโอ
โดยแนวคา˚ ถามจะมีดงั ต่อไปน้ี 1) ทศ
นคติเกี่ยวกบ
รูปแบบการสื่อสารผา่ นเพลงอน
สะทอน
ตวตนของผูป
ระพน
ธ์ท้ง
สองท่าน 2) ทศ
นะคติเก่ียวกบ
ความคิดสร้างสรรค์ในการประพน
ธ์เพลง
ของผูป
ระพน
ธ์ท้งั สองท่าน โดยเฉพาะสัญญะในการเขียนเน้ือร้องน้น
สามารถสะทอ
นตว
ตนของ
ผูป
ระพน
ธ์และบริบทของสังคมในขณะน้น
ไดอ
ยา่ งไร 3) ทศ
นะคติเก่ียวกบ
สังคมมวลชนกบ
ธุรกิจ
เพลง 4) ทศ
นะคติเก่ียวกบ
เพลงสมย
นิยมและเพลงทางเลือก 5) ทศ
นคติเก่ียวกบ
ปัจจย
ภายในและ
ภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการประพน อุตสาหกรรมเพลงในประเทศไทย
ธ์เพลงของผูป
ระพน
ธ์ท้ง
สองท่าน 6) ทศ
นคติเก่ียวกบ
3.3.1 วธ
ีวจ
ัย : การสัมภาษณ์เชิงลก
(Indepth-Interview)
การสัมภาษณ์เชิงลึกจะมีการก˚าหนดแนวทางของคาถามและล˚าดับข้ันตอนของการ
สัมภาษณ์ไวล
่วงหนา
เป็ นการพูดคุยสนทนาตามธรรมชาติ โดยการถามเจาะลึกลว
งคา˚ ตอบอยา่ ง
ละเอียดถี่ถว
น การถามนอกจากจะให้อธิบายแลว
จะตอ
งถามถึงเหตุผลดว
ย ซ่ึงการสัมภาษณ์แบบน้
จะใชไดด
ีกบ
การศึกษาว
ยในเรื่องที่เกี่ยวกบ
พฤติกรรมของบุคคล เจตคติ ความตอ
งการ ความเชื่อ
ค่านิยม และบุคลิกภาพในลกษณะตา่ งๆ (ชาย โพธิสิตา, 2559)
บทที่ 4
ผลการวจ
ยปัญหาน˚าวจ
ยที่ 1
ในบทที่ 4 น้ี ผวู้ จ
ยั จะนำ˚ เสนอผลวจ
ยั เพื่อมุ่งตอบปัญหำนำ˚ วิจยขอ
ที่ 1 คือ ศึกษำรูปแบบกำร
สื่อสำรของเน้ือหำเพลงท่ีประพน
ธ์โดยผูป
ระพน
ธ์เพลงแบบสมย
นิยมและแบบทำงเลือกว่ำเป็ น
อย่ำงไร และสำมำรถสะท้อนอต ดงั ต่อไปน้ี
ลักษณ์ของผูป
ระพน
ธ์ท้
สองท่ำนอย่ำงไร โดยมีรำยละเอียด
4.1 การวเคราะห์สัญญะของการเล่าเรื่องในเพลง
4.1.1 การวิเคราะห์สัญญะของการเล่าเร่ืองในเพลงที่ประพันธ์โดยผู้ประพันธ์เพลงสมัย นิยม Q1
4.1.1.1 ส ญะของกำรเล่ำเรองื่ ใน “เพลงอยเู่ พื่อรกั ”
เพลงอยู่เพื่อรักเป็ นเพลงประกอบละครโทรทศ
น์เรื่องจำ้ วพำยุ ทำงช่อง 5 ขบ
ร้อง
ร อินทร์ใจเอ้ือ หรือ กน
เดอะสตำร์ ไดอนดบ
1 ของชำร์ต GMM Grammy Gmember
Song Chart Top 100 ประประจำ˚ วนที่ 28 ตุลำคม พ.ศ. 2556 และ GMM Grammy Gmember MV
Chart Top 5 ประจำวนที่ 28 ตุลำคม พ.ศ. 2556 จำกกำรจดอนดบของเวบไซต์ Xxxxxxx.xxx
1) เน้ือเพลง
จำกชีวต
ท่ีอยูล
ำ˚ พงั ไม่มีจุดหมำย มีหว
ใจเพื่ออยูป
ระคองร่ำงกำยเท่ำน้น
เพิ่งไดร้ ู้เมื่อ
เรำไดม
ำพบไดร
ักกน
หวใจฉน
อยูม
ำเพ่ือวน
น้ี อยูม
ำเพื่อรักแต่เธอ อยูอ
ยำ่ งเดียวดำย เพื่อมำ
พบเจอ รักแทจ
ริงในห
ใจ ที่เธอมีให้กน
ก่ีพำยุร้ำยก็ขออยู่ดูแลเธอชว
นิรันดร์รักเพียงเธอ
เท่ำน้น
คนเดียวไม่เปล่ียนแปลง จะกี่ฝนท่ีทำ˚ ใหค
นหว
ใจส
ไหว ก็ไม่อำจสั่นคลอนควำมรัก
ขำ้ งในใจฉน
ลมพำยุท่ีกระทบจิตใจมำเน่ินนำน เธอเป็ นคนหย มน
ในวน
น้ีอยู่มำเพ่ือรักแต่
เธอ อยอู
ยำ่ งเดียวดำย เพ่ือมำพบเจอรักแทจ
ริงในหว
ใจท่ีเธอมีให น
ก่ีพำยุร้ำยก็ขอ อยูด
ูแล
เธอช่วั นิรันดร์ รักเพียงเธอเท่ำน้นคนเดียว ไม่เปล่ียนแปลงตรำบท่ีฟ้ำและดำวยงั คงไม
หำยไป ควำมรักของฉันจะยังหำยใจอยู่กับเธออยู่เสมอ อยู่ม ำเพื่ อรั กแต่เธอ
อยอู
ยำ่ งเดียวดำย เพื่อมำพบเจอรักแทจ
61
ริงในหว
ใจ ที่เธอมีให น
กี่พำยุร้ำยก็ขอ อยูด
ูแลเธอ
ชวนิรันดร์ รักเพียงเธอเท่ำน้นคนเดยี ว ไม่เปล่ียนแปลง
62
62
ตารางที่ 4.1 กำรวเิ ครำะห์ส ญะของกำรเล่ำเรื่องในเพลงอยเู่ พื่อรกั
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
1) โครงเรื่อง (Plot) | |||
1.1) ข้นั เริ่มเรื่อง (Exposition) | จำกชีวติ อยลู่ ำ˚ พงั ไม่มี จุดหมำย | ใชช้ ีวติ อยคู่ นเดียว อยไู่ ปวนั ๆ ไม่มี เป้ำหมำยในชีวติ | กำรมีชีวติ อยอู่ ยำ่ งลำ˚ พงั คนในสงั คมมกั มองวำ่ 1) ยงั ไม่มีใครเขำ้ มำจีบ หรืออำจจะมีแต่ยงั ไม่ชอบ ไม่มี ควำมรัก ยงั ไม่เจอคนที่ใช่ 2) ชอบสันโดษ โลก ส่วนตวั สูง 3) อำจจะเป็ นคนเห็นแก่ตวั หรือเขำ้ สงั คมไม่ได้ มีควำมเป็ นตวั ของตวั เองสูง ไม่มี เป้ำหมำยท่ีจะทำ˚ อะไรเพือ่ ใคร ไม่มีแรงบลั ดำลใจที่ จะพฒั นำตวั เองหรือทำ˚ สิ่งดีๆ |
มีหวั ใจเพ่ืออยปู่ ระคอง ร่ำงกำยเท่ำน้นั | 1) กำรทำ˚ งำนของหวั ใจช่วยให้ ร่ำงกำยมีชีวติ อยูต่ ่อไป 2) กำรตดั พอ้ วำ่ คนท่ีขำดควำมรักจะมี ควำมรู้สึกทอ้ แท้ ไร้เป้ำหมำย | 1) คนที่ไม่มีควำมรักทำ˚ ใหช้ ีวิตขำดรสชำติ เหมือน มีร่ำงแต่ไร้วิญญำณ ใชช้ ีวิตไปวนั ๆ ไม่มีเป้ำหมำย 2) คนที่ขำดควำมรักมกจะแสดงออกถึงควำมนอ้ ย เน้ือต่ำ˚ ใจ ขำดกำ˚ ลงั ใจ | |
1.2) ข้นั พฒั นำ เหตุกำรณ์ (Rising Action) | เพ่ิงไดร้ ู้เมื่อเรำไดม้ ำพบ ได้ รักกนั หวั ใจฉนั อยเู่ พื่อวนั น้ี | กำรมีควำมรักทำใหช้ ีวิตมี เป้ำหมำย | 1) บุพเพสันนิวำส คู่กนั แลว้ ยงั ไงก็ตอ้ งเจอกนั 2) ชีวตอำจจะถูกเติมเต็มหรือมีเป้ำหมำยมำกข้ึนเมื่อ พบเจอคนที่ถูกใจ 3) คนในสังคมใหค้ วำมสำ˚ คญั กบั ควำมรักวำ่ เป็ นส่ิงสำ˚ คญั อนั ดบั ตน้ ๆ ของชีวิต |
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
2) แก่นเรื่อง (Theme) | |||
2.1) ควำมรัก (Love Theme) | มีหวั ใจเพ่ืออยปู่ ระคองร่ำงกำยเท่ำน้นั , รักแทจริงใน หวใจ, ควำมรักของฉนั จะยงั หำยใจอยกู่ บั เธอ หมำยเหตุ: มีกำรนำ˚ เสนอมุมมองควำมรักของคนๆหน่ึง ที่มอบควำมรักใหก้ บั อีกฝ่ ำยท่ีเขำ้ มำในชีวติ ซ่ึงผพู้ ูดมี ควำมประทบั ใจในรักคร้ังน้ี พร้อมที่จะอุทิศตน ดูแล และมอบควำมรักใหก้ บั อีกฝ่ ำยอยำ่ งเตม็ ท่ี อยำ่ งไรก็ ตำมจำกเน้ือหำของตวั บทเพลงเป็ นกำรกล่ำวถึงมุมมอง ควำมรู้สึกของผพู้ ูดเพียงฝ่ ำยเดียว มิอำจช้ีให้เห็นได้ ชดั เจนวำ่ อีกฝ่ ำยจะมีควำมรู้สึกเช่นเดียวกบั ผพู้ ูดหรือไม่ | - | - |
2.2) ศีลธรรมจรรยำ (Morality Theme) | - | - | - |
2.3) แนวคิด (Idealism Theme) | - | - | - |
2.4) อำนำจ (Power Theme) | - | - | - |
2.5) กำรทำงำน (Career Theme) | - | - | - |
2.6) เหนือจริง (Outcast Theme) | - | - | - |
63
63
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
3) ควำมขดแยง้ (Conflict) | |||
3.1) ควำมขดแยง้ ระหวำ่ งคนกบั คน | - | - | - |
3.2) ควำมขดแยง้ ภำยในจิตใจ | จะก่ีฝนท่ีทำ˚ ใหห้ วั ใจสนั่ ไหว ก็ไม่อำจส่ันคลอนควำม รักขำงในใจฉนั หมำยเหตุ: มีควำมสับสนภำยในจิตใจ มีควำม หวน่ั ไหวและรู้สึกถึงควำมไม่มน่ั คงทำงควำมรัก แต่ก็ พยำยำมที่จะรักษำควำมรักเอำไวใ้ หม้ นั่ คง | - | - |
3.3) ควำมขดั แยง้ กบั ภำยนอก | ลมพำยทุ ี่มำกระทบจิตใจมำเน่ินนำน, ก่ีพำยรุ ้ำย หมำยเหตุ: สะทอ้ นถึงสิ่งต่ำงๆ ที่อยูเ่ หนือกำรควบคุม อันส่งผลกระทบต่อควำมรัก เช่น มือที่สำม กำร ยอมรับของคนรอบขำง เป็ นตน้ | - | - |
64
64
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
4) ตวละคร (Character) | |||
4.1) บุคลิกภำพที่เปรำะบำงทำง อำรมณ์ (Neuroticism) | มีหวั ใจเพ่ืออยปู่ ระคองร่ำงกำยเท่ำน้นั หมำยเหตุ: เป็ นบุคคลที่มีควำมท้อแท้ อำรมณ์ เปรำะบำง รับมือกบั ควำมเครียดยำกลำ˚ บำก | - | - |
4.2) บุคลิกภำพที่ชอบเขำสังคม (Extrovert) | - | - | - |
4.3) บุคลิกภำพแบบประนีประนอม (Agreeableness) | - | - | - |
4.4) บุคลิกภำพแบบยดึ มน่ั ใน หลกกำร (Conscientiousness) | กี่พำยรุ ้ำยก็ขอดูแลเธอ, จะกี่ฝนท่ีทำ˚ ใหห้ วั ใจคนส่ัน ไหวก็ไม่อำจส่ันคลอนควำมรักขำ้ งในใจฉนั ได้ หมำยเหตุ: เป็ นบุคคลที่มีจิตสำ˚ นึกรับผดิ ชอบต่อ หนำที่ | - | - |
4.5) บุคลิกภำพแบบเปิ ดรับ ประสบกำรณ์ (Openness to Experience) | - | - | - |
65
65
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
5) มุมมอง (Point of View) | |||
5.1) บุรุษที่หน่ึงเป็ นตวละครสำคญั | หวั ใจฉนั อยมู่ ำเพื่อวนั น้ี, ก็ไม่อำจส่นั คลอนควำมรัก | - | - |
ในเร่ืองเป็ นผเู้ ล่ำ | ขำงในใจฉนั , ควำมรักของฉนั จะยงั หำยใจอยกู่ บั เธอ | ||
หมำยเหตุ: ผเู้ ล่ำคือตวั ละครนำ˚ ของเร่ือง มีกำรใช้ | |||
สรรพนำม “ฉนั ” แทนตวเอง | |||
5.2) บุรุษที่หน่ึงซ่ึงเป็ นตวละครรอง ในเรื่องเป็ นผเู้ ล่ำ | - | - | - |
5.3) ผป้ ระพนธ์ในฐำนะเป็ นผรู้ ู้แจง้ เห็นจริงทุกอยำ่ งเป็ นผเู้ ล่ำ | - | - | - |
5.4) ผป้ ระพนธ์ในฐำนะเป็ นผู้ สงั เกตกำรณ์เป็ นผเู้ ล่ำ | - | - | - |
5.5) บุรุษที่หน่ึงเป็ นผูเ้ ล่ำดว้ ยกระแส จิตประหวดั | - | - | - |
66
66
2) สรุปผลกำรวเิ ครำะห์เพลงอยเู่ พื่อรัก เพลงอยูเ่ พ่ือรักเป็ นเพลงที่มีแก่นเรื่องเก่ียวกบ
ควำมรัก ดำ˚ เนินเรื่องโดยบุรุษ
ท่ีหน่ึงซ่ึงตว
ละครส˚ำคญ
ในเรื่องเป็ นผูเ้ ล่ำ มีกำรนำ˚ เสนอมุมมองควำมรักของคนๆ หน่ึงที่มอบควำม
รักใหกบ
อีกฝ่ ำยที่เขำ้ มำในชีวิต ซ่ึงผูพ
ูดมีควำมประทบ
ใจในรักคร้ังน้ี พร้อมท่ีจะอุทิศตน ดูแล และ
มอบควำมรักให้กบ
อีกฝ่ ำยอย่ำงเต็มท่ี อย่ำงไรก็ตำมจำกเน้ือหำของตว
บทเพลงเป็ นกำรกล่ำวถึง
มุมมองควำมรู้สึกของผู้พูดเพียงฝ่ ำยเดียว มิอำจช้ีให้เห็นได้ชัดเจนว่ำอีกฝ่ ำยจะมีควำมรู้สึก
เช่นเดียวกบ
ผพู
ูดหรือไม่ โดยสำมำรถสรุปโครงเรื่องไดด
งั น้
(1) ข้นเรม่ิ เรอง่ื
ก) “อยลู ำ˚ พงั ” คือ ไรควำมรกั้ ชีวตไรควำมหมำย้
ข) “มีหัวใจเพ่ืออยู่ประคองร่ำงกำย” คือ คนที่ไม่มีควำมรักทำ˚ ให
ชีวิตขำดรสชำติ เหมือน มีร่ำงแต่ไร้วิญญำณ ใช้ชีวิตไปวน ขำดกำ˚ ลงั ใจ
ๆ ไม่มีเป้ำหมำย มีควำมน้อยเน้ือต่ำ˚ ใจ
(2) ข้นพฒนำเหตกุ ำรณ์
ข้ึนเมื่อพบเจอคนที่ถูกใจ
ก) “หว
ใจฉน
อยูเ่ พื่อวน
น้ี” คือ ชีวิตถูกเติมเต็มหรือมีเป้ำหมำยมำก
ข) “อยอู
ยำ่ งเดียวดำยเพื่อมำพบเจอรักแทจ
ริงในหว
ใจ” คือ ควำมรัก
สำมำรถช่วยเติมเตมคลำยควำมโดดเดย่ี วเดยี วดำยได
(3) ข้น
ภำวะวก
ฤติ
ก) “กี่พำยุร้ำยก็ขอดูแลเธอ” คือ ไม่วำ่ จะมีอุปสรรคอะไรเขำ้ มำทำ
ใหต
องลำ˚ บำก หรือบน
ทอนควำมรักก็จะร่วมทุกขร์ ่วมสุขดว
ยกน
ข) “จะก่ีฝนท่ีทำ˚ ใหหวใจคนส่นั ไหวก็ไม่อำจสั่นคลอนควำมรักขำ้ ง
ในใจฉันได”
คือ เมื่ออยู่ในควำมรักแบบลึกซ้ึง ก็จะให้คำ˚ มน
สัญญำกบ
อีกฝ่ ำยอยำ่ งหนก
แน่น และ
มนคงในควำมรักน้น
(4) ข้น
ภำวะคลี่คลำย
“ลมพำยุที่กระทบจิตใจมำเน่ินนำน เธอเป็ นคนหยุดมน
ไวใ้ นวน
น้ี” คือ
บุคคลท่ีเขำ้ มำทำ˚ ใหเ้ กิดควำมรักถือวำ่ เป็ นบุคคลที่เขำ้ มำเติมเตมชีวต
(5) ข้นยติเรองื่ รำว
“ตรำบท่ีฟ้ำและดำวยงั คงไม่หำยไป ควำมรักของฉันจะยงั หำยใจอยู่กบเธอ” คือ เมื่อมีควำมรักที่
ลึกซ้ึงก็จะเกี่ยวโยงควำมรักกบ
ที่มีควำมยง่ิ ใหญ่ คงทน ถำวร เช่น ฟ้ำ ดำว เป็ นตน
ดงั คำ˚ พูดที่วำ
“รัก
กนชวฟ้ำดนสิ ลำย”
สัญลก
ษณ์พิเศษที่สังเกตเห็นได้ คือ 1) ลำ˚ พง
คือ โสด ไม่มีใครคบ ไม่มีญำติพี่นอง
หรือเพ่ือนใหพ่ึงพำ อำจเป็ นเพรำะนิสัยไม่ดี หรืออำจมีคนเขำ้ มำแต่ไม่อยำกคบ 2) เดียวดำย คือ กำร
ใชช
ีวิตอยำ่ งเหงำๆ อำจจะมีคู่ครองหรือไม่มีก็ได้ เป็ นอำรมณ์ควำมรู้สึกของกำรขำดที่พก
พิงทำงใจ
3) รักแทจ
ริงในหว
ใจ คือ ควำมรักที่ไม่มีอุปสรรคใดๆ มำทำ˚ ใหเ้ ลิกรักกน
ได้ เสียสละต่อกน
สำมำรถ
ตำยแทนกน
ได้ 4) ฟ้ำและดำว คือ สิ่งที่อยู่เคียงคู่กน
ไม่เคยหำยไปจำกกน
และเช่ือมน
ว่ำจะอยู
ดวยกน
ตลอดไป
4.1.1.2 ส
ญะของกำรเล่ำเรื่องใน “เพลงคำ˚ อธิษฐำนดว
ยน้ำ˚ ตำ”
เพลงคำ˚ อธิษฐำนดว
ยน้ำ˚ ตำเป็ นซิงเกิลแรกของ จำรุวฒ
น์ เชี่ยวอร่ำม หรือ โดม เดอะ
สตำร์ ไดอนดบ
1 จำกกำรจดอน
ดบของอีเอฟเอ็ม ในชำร์ตของอีเอฟเอ็ม ชำร์ต 94 ท็อป แอร์เพลย
ประจำ˚ วน
ที่ 28 กรกฎำคม พ.ศ. 2555 โดยวด
จำกกำรออกอำกำศของคลื่นวิทยุในกรุงเทพมหำนคร
และปริมณฑลจำนวน 40 สถำนี
1) เน้ือเพลง
นำฬิกำยงั เดินและหมุนอยู่ทุกวน
เพียงแต่ควำมทรงจำ˚ ของฉันไม่หมุนตำมมน
หยุดไวตรง
ภำพเหล่ำน้น
วนเวลำท่ีแสนงดงำม ทุกคืนยงั จดจำ˚ และยงั คงเฝ้ำคอย อีกสักคร้ังฉน
อยำกจะ
ฟังเสียงของเธอ ยงั คิดถึงเสมอไม่รู้วำ่ เธอไปอยูท
่ีไหน คำ˚ อธิษฐำนดว
ยน้ำ˚ ตำก็ไม่รู้วำ่ เธอได
ยินบำ้ งไหม เฝ้ำรออยู่ทุกนำทีให้เธอคนน้ีคนเดิมกลบ
มำ ตว
หนงั สือท่ีเธอเขียนไวอ
ยูท
่ีเดิม
รูปที่ถ่ำยดว
ยกน
ยงั วำงอยูไ
ม่ไกล ฉ
ไม่ไดต
องกำรสิ่งน้น
แค่ตอ
งกำรเธอกลบ
มำขำ้ งกำย
ใหแ
ลกดว
ยส่ิงใดจะทำ˚ เพ่ือพบเธอ อีกสักคร้ังฉน
อยำกจะฟังเสียงของเธอ ยงั คิดถึงเสมอไม่รู้
วำ่ เธอไปอยูท
่ีไหน คำ˚ อธิษฐำนดว
ยน้ำ˚ ตำก็ไม่รู้วำ่ เธอไดย
ินบำ้ งไหม เฝ้ำรออยู่ทุกนำทีเพื่อ
เธอคนน้ีคนเดิม ฉน
พร้อมใชท
ุกชว
โมงในชีวิตที่เหลือท่ีมี เพ่ือแลกแค่เส้ียวนำทีที่จะไดเ้ ห็น
เธอ อีกสักคร้ังฉันอยำกจะฟังเสียงของเธอ ยงั คิดถึงเสมอไม่รู้ว่ำเธอไปอยู่ที่ไหน คำ
อธิษฐำนดว
ยน้ำ˚ ตำขอใหเ้ ธอไดยน
ขอใหเ้ ธอไดยน
ขอใหเ้ ธอไดยน
ไดไ
หม เฝ้ำรออยูท
ุกนำที
ใหเ้ ธอคนน้ีคนเดิมกลบมำ กลบมำ
69
69
ตารางที่ 4.2 กำรวเิ ครำะห์สญั ญะของกำรเล่ำเรื่องในเพลงคำ˚ อธิษฐำนดวยนำ้˚ ตำ
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
1) โครงเรื่อง (Plot) | |||
1.1) ข้นั เริ่มเรื่อง (Exposition) | นำฬิกำยงั เดินและหมุนอยู่ ทุกวนั เพียงแต่ควำมทรง จำ˚ ของฉนั ไม่หมุนตำม | นำฬิกำยงั เดินและหมุนอยทู่ ุก วนั เพียงแต่ควำมทรงจำ˚ ของ ฉนั ไม่หมุนตำม | ควำมรักท่ีมน่ั คงมกั ถูกเปรียบเทียบกบั สัญญะ ของช่วงเวลำอนั ยำวนำน |
มนหยดไวต้ รงภำพ เหล่ำน้นั | ภำพควำมทรงจำที่ดียงคง ประทบั อยใู่ นใจ | ภำพควำมทรงจำ˚ ท่ีดียงั คงประทบั อยใู่ นใจ | |
ตวหนงสือที่เธอเขียนไว้ อยทู่ ี่เดิม รูปที่ถ่ำยดว้ ยกนั ยงั วำงอยไู่ ม่ไกล | ส่ิงต่ำงๆ ที่เรำเคยทำ˚ ร่วมกนั ไม่วำ่ จะเป็ นกำรเขียนบนั ทึก หรือกำรถ่ำยรูปก็ยงั อยทู่ ี่เดิม | คนเรำมกั ใชส้ ่ิงของเป็ นสัญญะตวั แทนของ กำรร˚ำลึกถึงบุคคลที่ตนรัก | |
1.2) ข้นั พฒั นำเหตุกำรณ์ (Rising Action) | อีกสกั คร้ังฉนั อยำกจะฟัง เสียงของเธอ | คำดหวงั ขอโอกำสอีกคร้ัง | ควำมคำดหวงั ใหไ้ ดม้ ำในสิ่งที่ตอ้ งกำรมกั เกิดข้ึนในบริบทของควำมรัก |
1.3) ข้นั ภำวะวกิ ฤติ (Climax) | คำ˚ อธิษฐำนดว้ ยน้ำ˚ ตำก็ไม่ รู้วำ่ เธอจะไดย้ นิ บำ้ งไหม | เธอรู้บำ้ งไหมวำ่ ฉนั โหยหำ อยำกใหเธอกลบมำ | ควำมโหยหำใหไ้ ดม้ ำในส่ิงท่ีตอ้ งกำรคือ ควำมทุกขท์ รมำนที่เกิดข้ึนกบั คนที่มีควำมรัก |
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
ใหแ้ ลกดว้ ยส่ิงใด จะทำ˚ เพ่ือพบ เธอ | ฉนั จะทำ˚ ทุกอยำ่ งเพ่ือใหไ้ ด้ พบเธออีกคร้ัง | คนเรำเม่ือหลงรักในส่ิงใดมำกๆ แลว้ ก็มกั จะ ทุ่มเททุกสิ่งอยำ่ งเพื่อใหไ้ ดม้ ำซ่ึงส่ิงน้นั | |
ฉนั พร้อมใชท้ ุกชว่ั โมงในชีวิตท่ี เหลือท่ีมี เพ่ือแลกแค่เส้ียวนำทีที่ จะไดเห็นเธอ | ยอมใชช้ ีวติ แลกกบั กำรที่จะ ไดพ้ บกบั คนรักแมเ้ พียงเส้ียว นำที | เวลำหลงรักสิ่งใดมำกๆ คนน้นั จะยอมแลก ไดแ้ มก้ ระทง่ั ชีวติ ของตนเอง | |
1.4) ข้นั ภำวะคลี่คลำย (Falling Action) | - | - | - |
1.5) ข้นั ยตุ ิเรื่องรำว (Ending) | เฝ้ำรออยทู่ ุกนำที ให้เธอคนน้ีคน เดิมกลบมำ | ฉนยงคงเฝ้ำรอใหเธอกลบมำ | กำรรอคอย กำรมีควำมหวงั ในสิ่งที่ปรำรถนำ ของคนมีควำมรักมนทรมำนเพรำะตอ้ งใช้ ควำมอดทน |
2) แก่นเรื่อง (Theme) | |||
2.1) ควำมรัก (Love Theme) | วนเวลำที่แสนงดงำม, ยงคิดถึง เสมอ, เฝ้ำรออยทู่ ุกนำทีใหเ้ ธอ คนน้ีคนเดิมกลบั มำ, จะทำเพื่อ | - | - |
70
70
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
พบเธอ, เพื่อแลกแค่เส้ียวนำทีที่จะไดเ้ ห็นเธอ หมำยเหตุ: กล่ำวถึงควำมควำมรักในเชิงโศกเศร้ำอนั เนื่องมำจำกกำรจำกไปของคนรัก ซ่ึงอำจจะเสียชีวติ หรือ แค่แยกทำงกนั โดยตวั บทเพลงใหอ้ ำรมณ์ของควำมคิดถึง โหยหำ เฝ้ำคอย และร้องขอใหคนรักกลบมำ | |||
2.2) ศีลธรรมจรรยำ (Morality Theme) | - | - | - |
2.3) แนวคิด (Idealism Theme) | - | - | - |
2.4) อำนำจ (Power Theme) | - | - | - |
2.5) เหนือจริง (Outcast Theme) | - | - | - |
3) ควำมขดแยง้ (Conflict) | |||
3.1) ควำมขดั แยง้ ระหวำ่ งคน กบั คน | - | - | - |
71
71
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
3.2) ควำมขดแยงภำยในจิตใจ | ตวั หนงั สือท่ีเธอเขียนไวอ้ ยทู่ ี่เดิม รูปที่ถ่ำยดว้ ยกนั ยงั วำง อยไู่ ม่ไกลฉนั ไม่ตอ้ งกำรส่ิงน้นั แค่ตอ้ งกำรเธอกลบั มำ ขำงกำย หมำยเหตุ: เกิดควำมขดั แยง้ ภำยในจิตใจที่ถึงแมจ้ ะมีสิ่ง แทนใจของคนรักอยกู่ บั ตนตลอด แต่ก็ไม่ไดป้ รำรถนำให้ เป็ นเช่นน้นั สิ่งที่ตองกำรคืออยำกใหค้ นรักกลบั มำอยดู่ ว้ ย | - | - |
3.3) ควำมขดั แยง้ กบั ภำยนอก | - | - | - |
4) ตวละคร (Character) | |||
4.1) บุคลิกภำพที่เปรำะบำง ทำงอำรมณ์ (Neuroticism) | คำ˚ อธิษฐำนดว้ ยน้ำ˚ ตำ หมำยเหตุ: เป็ นบุคคลท่ีมีอำรมณ์เปรำะบำง รับมือกบั ควำมเครียดยำกลำบำก | - | - |
4.2) บุคลิกภำพที่ชอบเขำ้ สังคม (Extrovert) | - | - | - |
72
72
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
4.3) บุคลิกภำพแบบ ประนีประนอม (Agreeableness) | - | - | - |
4.4) บุคลิกภำพแบบยดึ มน่ั ใน หลกกำร (Conscientiousness) | ทุกคืนยงจดจำและยงคงเฝ้ำคอย, เฝ้ำรออยทู่ ุกนำที, ให้ แลกดว้ ยส่ิงใดจะทำ˚ เพ่อื พบเธอ, ฉนั พร้อมจะใชท้ ุกชวั่ โมง ในชีวติ ที่เหลือท่ีมีเพื่อแลกแค่เส้ียวนำทีที่จะไดพ้ บเธอ หมำยเหตุ: เป็ นบุคคลที่มีควำมพยำยำมเพื่อใหส้ ำเร็จตำม เป้ำหมำย | - | - |
4.5) บุคลิกภำพแบบเปิ ดรับ ประสบกำรณ์ (Openness to Experience) | - | - | - |
5) มุมมอง (Point of View) | |||
5.1) บุรุษที่หน่ึงเป็ นตวละคร สำ˚ คญั ในเรื่องเป็ นผเู้ ล่ำ | เพียงแต่ควำมทรงจำ˚ ของฉนั ไม่หมุนตำม, ฉนั ไม่ได้ ตอ้ งกำรส่ิงน้นั , ฉนั พร้อมใชท้ ุกชว่ั โมงในชีวติ ที่เหลือที่มี, ฉนอยำกจะฟังเสียงของเธอ | - | - |
73
73
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
หมำยเหตุ: ผเู้ ล่ำคือตวั ละครนำ˚ ของเรื่อง มีกำรใชส้ รรพ นำม “ฉนั ” แทนตวั เอง | |||
5.2) บุรุษที่หน่ึงซ่ึงเป็ นตวั ละครรองในเร่ืองเป็ นผเู้ ล่ำ | - | - | - |
5.3) ผป้ ระพนธ์ในฐำนะเป็ น ผรู้ ู้แจง้ เห็นจริงทุกอยำ่ งเป็ นผู้ เล่ำ | - | - | - |
5.4) ผป้ ระพนธ์ในฐำนะเป็ นผู้ สงั เกตกำรณ์เป็ นผเู้ ล่ำ | - | - | - |
5.5) บุรุษท่ีหน่ึงเป็ นผูเ้ ล่ำดว้ ย กระแสจิตประหวดั | - | - | - |
74
74
2) สรุปผลกำรวเิ ครำะห์เพลงคำ˚ อธิษฐำนดวยนำ้˚ ตำ
เพลงคำ˚ อธิษฐำนดว
ยน้ำ˚ ตำเป็ นเพลงท่ีมีแก่นเร่ืองเก่ียวกบ
ควำมรักในเชิงโศก
เศร้ำ ดำ˚ เนินเรื่องโดย บุรุษที่หน่ึงตว
ละครส˚ำคญ
ในเร่ืองเป็ นผูเ้ ล่ำ เป็ นกำรร˚ำพน
ถึงกำรจำกไปของ
คนรัก ซ่ึงอำจจะเสียชีวิต หรือแค่แยกทำงกน ตวละครมีควำมคิดถึง โหยหำ เฝ้ำคอย และร้องขอให
คนรักกลบ
มำ โดยสำมำรถสรุปโครงเรื่องโดยยอ
ไดด
งั น้
(1) ข้นเรม่ิ เรอง่ื
“นำฬิกำยงั เดินและหมุนอยู่ทุกวน
เพียงแต่ควำมทรงจำ˚ ของฉ
ไม่หมุน
ตำม” คือ ควำมรักที่มน
คงมก
ถูกเปรียบเทียบกบ
สัญญะของช่วงเวลำอน
ยำวนำน ในที่น้ีตว
ละครมี
กำรเฝ้ำรอคนรักกลบคืนมำ ซ่ึงกำรเฝ้ำรอเสมือนเวลำน้นดยู ำวนำนมำกขึ้น
(2) ข้นพฒนำเหตกุ ำรณ์
“อีกสักคร้ังฉนอยำกจะฟังเสียงของเธอ” คือ คำดหวงั ขอโอกำสอีกคร้ัง
(ควำมคำดหวงั ใหไดม
ำในสิ่งท่ีตอ
งกำรมก
เกิดข้ึนในบริบทของควำมรัก)
(3) ข้น
ภำวะวก
ฤติ
ก) “คำ˚ อธิษฐำนดว
ยน้ำ˚ ตำก็ไม่รู้วำ่ เธอจะไดย
ินบำ้ งไหม” คือ ควำม
โหยหำให้ไดม
ำในสิ่งที่ตอ
งกำร (ในท่ีน้ีโหยหำอยำกให้คนรักกลบ
มำ) คือควำมทุกขท
รมำนท่ีเกิด
ข้ึนกบ
คนท่ีมีควำมรัก
ข) “ฉน
พร้อมใชท
ุกชว
โมงในชีวิตที่เหลือท่ีมี เพื่อแลกแค่เส้ียวนำที
ที่จะไดเห็นเธอ” คือ เวลำหลงรักส่ิงใดมำกๆ ก็จะยอมแลกไดแมกระทงั่ ชีวตของตนเอง
(4) ข้นยติเรอง่ื รำว
“เฝ้ำรออยู่ทุกนำที ให้เธอคนน้ีคนเดิมกลบมำ” คือ กำรรอคอย กำรมี
ควำมหวงั ในส่ิงที่ปรำรถนำของคนมีควำมรักมน
ทรมำนเพรำะตอ
งใชค
วำมอดทน
สัญลกษณ์พิเศษที่สังเกตเห็นได้ คือ 1) นำฬิกำยงั เดินและหมุน คือ กำลเวลำล่วงเลย
ไป 2) คำ˚ อธิษฐำนดว
ยน้ำ˚ ตำ คือ กำรภำวนำใหค
นรักกลบ
มำดว
ยควำมเศร้ำโศก (อำจจะรู้สึกเสียใจท่ี
ทิ้งคนรักไป หรือเสียใจที่ถูกคนรักทิ้ง หรือเสียใจท่ีคนรักเสียชีวิต 3) ทุกชวโมงในชีวิตท่ีเหลือ คือ
ในทุกกำรกระทำ ทุกควำมรู้สึก ในช่วงเวลำของชีวิตท่ีเหลือต่อจำกน้ี ซ่ึงอำจจะยงั คงเหลืออีกนำน
ไหม เพรำะชีวิตคือควำมไม่แน่นอน 4) เฝ้ำรออยูท กำรคะนึงหำ
ุกนำที คือ รอคอยอยำ่ งมีควำมหวง
ทุกเวลำมีแต่
4.1.1.3 ส
ญะของกำรเล่ำเร่ืองใน “เพลงควำมผกพน
ซ้ือควำมรักไม่ได”
เพลงควำมผูกพน
ซ้ือควำมรักไม่ได้ ขบ
ร้องโดย วิชญำณี เปี ยกลิ่น หรือ แกม
เดอะ
สตำร์ บน
ทึกในอล
บ้ม
เดอะสตำร์ 4 ติดอนดบที่ 4 ของผงเพลงในรำยกำร Seed Chart Top 20 ประจำ
วนที่ 9 มิถุนำยน 2551
1) เนอเพื้ ลง
ฉนเขำ้ ใจแลว
เธอไม่ตอ
งห่วง ฉน
คงไม่อำจหวง ร้ังหว
ใจเธอ ขอบคุณที่ฝื นทน อยูข
ำ้ งเคียง
มำเสมอ วน
น้ีที่เจอ แค่หน่ึงบทเรียน เธอไดส
อนใหร้ ู้วำ
วำ่ ควำมผูกพนมน
ซ้ือควำมรักไม่ได
ไม่ใช่คนที่ฝัน ผูกพน
แค่ไหน ก็คงยงั ไม่ใช่ ผิดท่ีใจหวงั ไดค
วำมรักเธอ วน
ที่สบตำ คำ˚ ที่ซ้ึง
ใจ ขอ
ควำมวำ่ คิดถึง ท่ีเธอให้กน
ผิดเองท่ีคิดไกล นึกวำ่ มีใจให้ฉน
ที่แทใ้ จเธอมีเพียงควำม
เหงำ เธอไดส
อนใหร้ ู้ว่ำ วำ่ ควำมผ พนมน
ซ้ือควำมรักไม่ได้ ไม่ใช่คนที่ฝัน ผูกพน
แค่ไหน
ก็คงยงั ไม่ใช่ ผิดที่ใจหวงั ได้ควำมรักเธอ เร่ิมจำกคำ˚ ว่ำไม่รัก ตอ
งจบดว
ยคำ˚ คำ˚ น้ี แต่อย่ำง
นอยขอให้ใกลช
ิดเธอ ถูกแลว
ที่เธอตอ
งไป เลือกคนในฝันของเธอ เขำ้ ใจเสมอ เธอไดสอน
ใหร้ ู้วำ
วำ่ ควำมผกพนมน
ซ้ือควำมรักไม่ได้ ไม่ใช่คนท่ีฝัน ผกพน
แค่ไหน ก็คงยงั ไม่ใช่ ผิดที่
ใจหวงไดควำมรักเธอ ทุ่มเทไปแค่ไหน ทำ˚ ดีแค่ไหน เปล่ียนใครไม่ได้ ผิดเองที่ท้งั ใจให้เธอ ผเ้ ดียว
77
77
ตารางที่ 4.3 กำรวเิ ครำะห์สัญญะของกำรเล่ำเร่ืองในเพลงควำมผกพนซื้อควำมรกั ไม่ได
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
1) โครงเรื่อง (Plot) | |||
1.1) ข้นั เริ่มเร่ือง (Exposition) | เริ่มจำกคำ˚ วำ่ ไม่รักตอ้ งจบดว้ ยคำ˚ คำ˚ น้ีอย่ำงน้อยขอให้ได้ใกล้ชิด เธอ | กำรคบหำที่เริ่ มต้นจำกกำรที่อีก ฝ่ ำยไม่ไดร้ ักเรำ สุดทำ้ ยหำกยงั ไม่ สำมำรถเปลี่ยนใจอีกฝ่ ำยได้ อย่ำง นอ้ ยก็ยงั โชคดีที่ไดใ้ กลช้ ิดคนท่ีเรำ รัก | ควำมใกลช้ ิดไม่ทำ˚ ให้เกิดควำมรักหำก ไม่มีควำมรู้สึกลึกซ้ึงต่อกนั |
วนั ท่ีสบตำ คำ˚ ที่ซ้ึงใจ ขอ้ ควำมวำ่ คิดถึงท่ีเธอใหก้ นั | สำยตำและคำพูดที่ดูเหมือนรักและ คิดถึงกนั ทำ˚ ใหค้ ิดไปไกล | กำรกระทำ˚ และคำ˚ พูดของคนอำจไม่ได้ แสดงถึงควำมรู้สึกที่แทจริงเสมอไป | |
1.2) ข้นั พฒั นำเหตุกำรณ์ (Rising Action) | เธอได้สอนให้รู้ว่ำควำมผูกพนั มนั ซ้ือควำมรักไม่ได้ | ถึงแมจ้ ะผูกพนั อยู่ร่วมกนั มำนำน เพียงใดก็ไม่สำมำรถเปล่ียนใจอีก ฝ่ ำยให้มำรักเรำได้ถ้ำควำมรัก ไม่ไดเ้ กิดข้ึนในจิตใจของคนๆน้นั | คนในสังคมมองว่ำควำมใกลช้ ิดผูกพนั (ในท่ีน้ีหมำยถึงควำมผูกพนั เชิงชู้สำว ซ่ึงแตกต่ำงจำกควำมผูกพนั เชิงพ่ีน้อง พ่อแม่ เพื่อน ฯลฯ) จะทำ˚ ให้คนที่ไม่ได้ รักกนั ค่อยๆ มีใจใหก้ นั ได้ เช่น กำรคลุม ถุงชนในสมยั ก่อนท่ีเชื่อว่ำคนสองคนที่ ไม่เคยรักกนั มำก่อนจะเกิดควำมรักข้ึน ไดจ้ ำกควำมใกลช้ ิดและผกู พนั แต่ |
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
ส˚ำหรับบำงคน ควำมผูกพันก็มิอำจ ทลำยกำ˚ แพงขอบเขตควำมรู้สึกที่ปิ ดก้นั ไวได้ | |||
ผิดเองท่ีคิดไปไกล นึกว่ำมีใจให้ ฉนที่แทเธอมีเพียงควำมเหงำ | เนื่องจำกอีกฝ่ ำยมีควำมเหงำจึง แสดงออกเหมือนกำ˚ ลงั มีใจให้กบั เรำ ซ่ึงจริงๆ แลว้ เรำคิดไปเองฝ่ ำย เดียว หรืออีกนยั หน่ึงคือกำรหลอก ใช้ | 1) กำรมอบควำมรักหรือกำรหลงรักใคร เ พี ย ง ฝ่ ำ ย เ ดี ย วมัก จ ะ ไ ม่ ประสบ ควำมส˚ำเร็จในเรื่องควำมรัก 2) กำรที่ คนๆ หน่ึ งหลงรักอีกฝ่ ำยสำมำรถ เกิดข้ึนไดโ้ ดยกำรที่ถูกอีกฝ่ ำยหลอกใช้ | |
1.3) ข้นั ภำวะวกิ ฤติ (Climax) | ฉันเข้ำใจแล้ว เธอไม่ต้องห่วง ฉนั ไม่อำจหวงร้ังหวั ใจเธอ | เม่ือรู้ว่ำอีกฝ่ ำยไม่รักก็ต้องยอม ปล่อยเขำไป (เป็ นกำรกลบเกลือ นควำมอ่อนแอ) | 1) กำรเหน่ียวร้ังคนที่ไม่มีใจให้กับเรำ ไวน้ ้ันเป็ นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เสียเวลำ และทำ˚ ให้เสียใจ 2) เป็ นกำรสะทอ้ นถึง ควำมแข็งแกร่งทำงจิตใจของเพศชำย ที่ ไม่ว่ำจะอยู่ในสถำนกำรณ์ใดก็สำมำรถ ด˚ำรงอยู่ได้ จริ งๆ แล้วคือกำรบดบัง จุดอ่อนของตนเอง |
78
78
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
ขอบคุณท่ีฝื นทนอยู่เคียงขำ้ งมำ เสมอ วนั น้ีที่เจอเป็ นเพียงแค่หน่ึง บทเรียน | ประชดประชันด้วยวำทะอำรมณ์ ทำงบวก เปรียบเหมือนบทเรียนที่ ทำ˚ ใหเ้ กิดกำรเติบโตทำงควำมคิด | ควำมรักหำกตอ้ งฝื นควำมรู้สึกหรือทน ทุกข์ เป็ นสัญญำณของควำมรักท่ีไม่ส่อ แววที่ดี | |
ไม่ใช่คนท่ีฝัน ผูกพนั แค่ไหน คง ยงั ไม่ใช่ | กำรท่ีเรำไม่ใช่คนในอุดมคติของ อีกฝ่ ำย ก็ยำกท่ีจะทำ˚ ให้อีกฝ่ ำยรัก เรำได้ | คนส่วนใหญ่มกั จะวำงลกั ษณะบุคคลท่ี ตนใฝ่ ฝันจะคบหำ ไม่ว่ำจะเป็ นเรื่ อง ของบุคลิก รูปร่ำง หน้ำตำ และนิสัยใจ คอ หำกพบว่ำคนที่ก˚ำลังพูดคุยด้วยมี ลกั ษณะบำงอยำ่ งที่ท่ีตนไม่ชอบก็มกั จะ ไม่สำนต่อควำมสัมพนั ธ์ใหล้ ึกซ้ึง | |
ผดที่ใจหวงไดควำมรักเธอ | คำดหวงั ว่ำอีกฝ่ ำยจะรักแต่กลับ ผดหวงั | 1) ควำมรักมักน˚ำมำซ่ึงควำมคำดหวงั เม่ือผิดหวงั จำกควำมคำดหวงั ดงั กล่ำวก็ จะเกิดควำมทุกข์ใจ 2) โดยปกติคนเรำ มักเชื่อว่ำเมื่อตนเองมอบส่ิงใดให้อีก ฝ่ ำย มกั จะไดส้ ่ิงน้นั ตอบแทนกลบั มำ |
79
79
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
1.4) ข้นั ภำวะคลี่คลำย (Falling Action) | - | - | - |
1.5) ข้นั ยตุ ิเร่ืองรำว (Ending) | ถูกแล้วที่เธอตอ้ งไปเลือกคน ในฝันของเธอ เขำใจเสมอ | เข้ำใจดีว่ำคนเรำมกั จะเลือกคบ กบั คนที่ตนชอบ | เรำไม่สำมำรถไปบงั คบั ให้ใครมำชอบเรำได้ ทุกคนมีอิสรภำพที่จะเลือกรักคนที่เขำชอบ |
ทุ่มเทไปแค่ไหน ทำ˚ ดีแค่ไหน เปลี่ยนใครไม่ได้ | ต่อต้องทุ่มเทหรื อทำ˚ ดีกับคนที่ เรำชอบสักแค่ไหน แต่เมื่อเขำ ไม่ได้รักเรำ เรำก็ไม่สำมำรถ เปลี่ยนใจเขำได้ | คนเรำมกั จะยอมทุ่มเทบำงอยำ่ งเพื่อทำ˚ ให้คน ที่ตนชอบหันมำสนใจและรักตน หำกควำม ทุ่มเทดงั กล่ำวไม่เกิดผลก็จะทำ˚ ใหเ้ สียใจ | |
ผดิ เองที่ท้งั ใจมีเธอผเู้ ดียว | มีควำมรักให้กบั คนแค่คนเดียว ไม่ไดเ้ ผอื่ ใจไวก้ ่อน | 1) คนที่รักแบบไม่เผ่ือเลือกเม่ือเลือกที่จะรัก คนๆหน่ึงโดยไม่ได้คุยกับคนอื่นเพื่อสร้ำง ทำงเลือกให้กับตัวเอง ก็มักจะคำดหวงั ใน คนๆน้นั เป็ นพิเศษ และหำกไม่เป็ นไปตำมที่ คำดหวงั ไวก้ ็จะเกิดควำมทุกข์ใจ 2) คนที่รัก แบบเผื่อเลือก มกั จะไม่จริ งจงั กับควำมรัก เพรำะรู้ว่ำเมื่อพลำดจำกคนหน่ึงก็ยงั คงมีอีก คนสำ˚ รองไวอ้ ยู่ |
80
80
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
2) แก่นเรื่อง (Theme) | |||
2.1) ควำมรัก (Love Theme) | ฉันคงไม่อำจหวงร้ังหัวใจเธอ, ควำม ผูกพนั มนั ซ้ือควำมรักไม่ได,้ ผิดที่ใจหวงั | - | - |
ไดค้ วำมรักเธอ, นึกว่ำมีใจให้ฉนั ที่แทใ้ จ | |||
เธอมีเพียงควำมเหงำ, เริ่มจำกคำ˚ วำ่ ไม่รัก ตอ้ งจบดว้ ยคำ˚ คำ˚ น้ี, ถูกแลว้ ที่เธอตอ้ งไป | |||
เลือกคนในฝันของเธอ | |||
หมำยเหตุ: เป็ นกำรตดั พอ้ ถึงควำมรักดว้ ย | |||
น้ำ˚ เสียงประชดประชนั เชิงน้อยใจ โดย ช้ี ให้ เห็ นว่ำควำมผูกพันใกล้ชิ ดไม่ | |||
สำมำรถทำใหคนคนหน่ึงมำรักเรำไดห้ ำก | |||
เขำไม่มีใจ | |||
2.2) ศีลธรรมจรรยำ (Morality Theme) | - | - | - |
2.3) แนวคิด (Idealism Theme) | - | - | - |
81
81
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
2.4) อำนำจ (Power Theme) | - | - | - |
2.5) กำรทำงำน (Career Theme) | - | - | - |
2.6) เหนือจริง (Outcast Theme) | - | - | - |
3) ควำมขดแยง้ (Conflict) | |||
3.1) ควำมขดแยง้ ระหวำ่ งคนกบั คน | ขอบคุณท่ีทนอยเู่ คียงขำ้ งกนั เสมอ วนั น้ีที่เจอ แค่หน่ึงบทเรียน, เธอไดส้ อนใหร้ ู้วำ่ ควำม ผกู พนั มนั ซ้ือควำมรักไม่ได,้ ที่แทใจเธอมี เพียงควำมเหงำ หมำยเหตุ: เป็ นควำมขดั แยง้ ระหว่ำงตวั ผูพ้ ูด กบั คนท่ีเขำรัก | - | - |
3.2) ควำมขดแยงภำยใน จิตใจ | ผิดที่ใจหวงั ไดค้ วำมรักเธอ, ผิดเองที่คิดไกล นึกว่ำเธอมีใจให้ฉัน, ผิดเองท่ีท้งั ใจมีเธอผู้ เดียว | - | - |
82
82
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
หมำยเหตุ: เกิดควำมขดั แยง้ ภำยในจิตใจวำ่ อีกฝ่ ำยรักตนหรือจริงๆ แลว้ ตนคิดไปเองฝ่ ำย เดียว | |||
3.3) ควำมขดั แยง้ กบั ภำยนอก | - | - | - |
4) ตวละคร (Character) | |||
4.1) บุคลิกภำพที่ เปรำะบำงทำงอำรมณ์ (Neuroticism) | ฉนั คงไม่อำจหวงร้ังหวั ใจเธอ, ผดที่ใจหวงั ได้ ควำมรักเธอ, ผดิ เองท่ีท้งั ใจใหเ้ ธอผเู้ ดียว หมำยเหตุ: เป็ นบุคคลที่มีบุคลิกภำพที่วิตก กงั วล ทอ้ แทง้ ่ำย อำรมณ์เปรำะบำง | - | - |
4.2) บุคลิกภำพที่ชอบ เขำสังคม (Extrovert) | - | - | |
4.3) บุคลิกภำพแบบ ประนีประนอม (Agreeableness) | - | - |
83
83
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
4.4) บุคลิกภำพแบบยดึ มนั่ ในหลกั กำร (Conscientiousness) | ทุ่มเทไปแค่ไหน ทำ˚ ดีแค่ไหน หมำยเหตุ: เป็ นบุคคลที่มีควำมพยำยำม เพื่อใหส้ ำเร็จตำมเป้ำหมำย | - | - |
4.5) บุคลิกภำพแบบ เปิ ดรับประสบกำรณ์ (Openness to Experience) | ผดเองที่คิดไปไกล หมำยเหตุ : เป็ นบุคคลที่มีจินตนำกำร ช่ำงฝัน | - | - |
5) มุมมอง (Point of View) | |||
5.1) บุรุษที่หน่ึงเป็ นตวั ละครสำคญั ในเรื่องเป็ น ผเู้ ล่ำ | ฉนเขำใจแลว้ , ฉนั คงไม่อำจหวงร้ังหวั ใจเธอ, ผดิ เองที่คิดไกลนึกวำ่ มีใจใหฉ้ นั หมำยเหตุ: ผูเ้ ล่ำคือตวั ละครนำ˚ ของเรื่อง มี กำรใชส้ รรพนำม “ฉนั ” แทนตวเอง | - | - |
5.2) บุรุษที่หน่ึงซ่ึงเป็ น ตวละครรองในเรื่องเป็ น ผเู้ ล่ำ | - | - | - |
84
84
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
5.3) ผป้ ระพนธ์ในฐำนะ เป็ นผรู้ ู้แจงเห็นจริงทุก อยำ่ งเป็ นผูเ้ ล่ำ | - | - | - |
5.4) ผป้ ระพนธ์ในฐำนะ เป็ นผสู้ ังเกตกำรณ์เป็ นผู้ เล่ำ | - | - | - |
5.5) บุรุษที่หน่ึงเป็ นผู้ เล่ำดว้ ยกระแสจิต ประหวดั | - | - | - |
85
85
2) สรุปผลกำรวเิ ครำะห์เพลงควำมผกพนซื้อควำมรกั ไม่ได
เพลงควำมผูกพน
ซ้ือควำมรักไม่ไดเ้ ป็ นเพลงที่มีแก่นเร่ืองเกี่ยวกบ
ควำมรัก
ดำ˚ เนินเรื่องโดยบุรุษที่หน่ึงตว
ละครส˚ำคญ
ในเร่ืองเป็ นผูเ้ ล่ำ เป็ นกำรตด
พอถึงควำมรักดว
ยน้ำ˚ เสียง
ประชดประชน
เชิงน้อยใจ โดยช้ีให้เห็นว่ำควำมผูกพน
ใกลช
ิดไม่สำมำรถทำ˚ ใหอ้ ีกฝ่ ำยมำรักเรำได
หำกเขำไม่มีใจ ซ่ึงสำมำรถสรุปโครงเรื่องยอ
ไดด
งั น้
(1) ข้นเรม่ิ เรอง่ื
“เร่ิมจำกคำ˚ วำ่ ไม่รักตอ
งจบดว
ยคำ˚ คำ˚ น้ีอยำ่ งนอ
ยขอใหไ
ดใ้ กลช
ิดเธอ” คือ
ควำมใกลชิดไม่ทำ˚ ใหเ้ กิดควำมรกั หำกไม่มีควำมรสึู้ กลึกซ้ึงตอก่ น
(2) ข้นพฒนำเหตกุ ำรณ์
“เธอไดส
อนใหร้ ู้ว่ำควำมผูกพนมน
ซ้ือควำมรักไม่ได”
คือ คนในสังคม
มองว่ำควำมใกลช
ิดผูกพน
(ในที่น้ีหมำยถึงควำมผูกพน
เชิงชูส
ำว ซ่ึงแตกต่ำงจำกควำมผูกพน
เชิงพ
น้อง พ่อแม่ เพื่อน ฯลฯ) จะทำ˚ ให้คนที่ไม่ได้รักก
ค่อยๆมีใจให้ก
ได้ เช่น กำรคลุมถุงชนใน
สมยั ก่อนที่เช่ือวำ่ คนสองคนท่ีไม่เคยรักกน
มำก่อนจะเกิดควำมรักข้ึนไดจ
ำกควำมใกลช
ิดและผูกพน
แต่สำ˚ หรับบำงคน ควำมผกพน
ก็มิอำจทลำยกำ˚ แพงขอบเขตควำมรู้สึกที่ปิ ดก้น
ไวไ้ ด
(3) ข้น
ภำวะวก
ฤติ
ก) “ฉน
เขำ้ ใจแลว
เธอไม่ตอ
งห่วง ฉน
ไม่อำจหวงร้ังหว
ใจเธอ” คือ
1) กำรเหนี่ยวร้ังคนที่ไม่มีใจใหกบ
เรำไวน้น
เป็ นส่ิงที่ไร้ประโยชน์ เสียเวลำ และทำ˚ ใหเ้ สียใจ 2) เป็ น
กำรสะทอนถึงควำมแข็งแกร่งทำงจิตใจของเพศชำย ท่ีไม่วำ่ จะอยูใ่ นสถำนกำรณ์ใดก็สำมำรถดำ˚ รง
อยไู
ด้ จริงๆ แลว
คือกำรบดบงั จุดอ่อนของตนเอง
ข) “ขอบคุณท่ีฝื นทนอยู่เคียงขำ้ งมำเสมอ วน
น้ีท่ีเจอเป็ นเพียงแค
หน่ึงบทเรียน” คือ ควำมรักหำกตอ แววที่ดี
(4) ข้น
งฝื นควำมรู้สึกหรือทนทุกข์ เป็ นสัญญำณของควำมรักท่ีไม่ส่อ
ยติเรื่องรำว
ก) “ถูกแลว
ที่เธอตอ
งไปเลือกคนในฝันของเธอ เขำ้ ใจเสมอ” คือ
เรำไม่สำมำรถไปบงั คบ
ใหใ้ ครมำชอบเรำได้ ทุกคนมีอิสรภำพที่จะเลือกรักคนที่เขำชอบ
ข) “ผิดเองที่ท้งั ใจมีเธอผูเ้ ดียว” คือ 1) คนท่ีรักแบบไม่เผื่อเลือกเมื่อ
เลือกท่ีจะรักคนๆหน่ึงโดยไม่ได้คุยกบ
คนอ่ืนเพื่อสร้ำงทำงเลือกให้กบ
ตวเอง ก็มก
จะคำดหวงั ใน
คนๆน้
เป็ นพิเศษ และหำกไม่เป็ นไปตำมท่ีคำดหวงั ไวก
็จะเกิดควำมทุกข์ใจ 2) คนที่รักแบบเผื่อ
เลือก มก
จะไม่จริงจงั กบ
ควำมรักเพรำะรู้วำ่ เมื่อพลำดจำกคนหน่ึงก็ยงั คงมีอีกคนสำ˚ รองไวอยู
สัญลก
ษณ์พิเศษที่สังเกตเห็นไดค
ือ 1) ควำมผูกพนมน
ซ้ือควำมรักไม่ได้ คือ ควำม
ผูกพน
ก็มิอำจทลำยกำ˚ แพงขอบเขตควำมรู้สึกท่ีอีกฝ่ ำยปิ ดก้น
ไวไ
ด้ 2) ฝื น คือ ตอ
งจำ˚ ใจทำ˚ สิ่งที่ไม
อยำกจะทำ ได้
อำจเป็ นเพรำะเกรงใจ หรือมีขอ
ผูกมด
บำงอยำ่ ง ทำ˚ ให
ม่สำมำรถทำ˚ ในสิ่งที่ใจตอ
งกำร
4.1.1.4 ส ญะของกำรเล่ำเรอง่ื ใน “เพลงยงั วำ่ ง”
เพลงยงว่ำงเป็ นซิงเกิลของสุกฤษฎ์ ิ วิเศษแก้ว ในปี พ.ศ. 2557 ออกจำ˚ หน่ำยใน
ยำยน พ.ศ. 2557 ไดอน
ดบที่ 18 ของชำร์ต GMM Grammy Gmember Song Chart Top
100 ประจำ˚ วน
ที่ 17 พฤศจิกำยน พ.ศ. 2557 และอน
ดบที่ 1 GMM Grammy Gmember MV Chart
Top 5 ประจำวนที่ 17 พฤศจิกำยน พ.ศ. 2557 จำกกำรจดอนดบของเวบไซต์ Xxxxxxx.xxx
1) เน้ือเพลง
ยงั วำ่ งๆ อยู่ ยงั วำ่ งๆ อยู่ ทำ˚ ไมๆ ชอบคิดกน
วำ่ ฉน
ไม่วำ่ งเสมอ อกหก
ทีไรไม่เห็นใจ หำวำ่ มี
สต็อกอีกเยอะ ขอร้องเธอจ๋ำอยำ่ เช่ือใคร ฉนน่ะไม่มีใครที่ไหน สถำนะไม่อยำกจะโสด ได
โปรดช่วยหน่อยไดไ
หม โออ
ยำกชวนนวลละน
ง มำไวเ้ ป็ นคู่ครอง โอถ
ำ้ พ่ียงั โสดนะ ก
อำจจะทดลอง โออ
ยำกบอกนวลละนอ
ง พ่ีไม่มีเจำ้ ของ อยำ่ งพี่ไม่อยำกจะเชื่อ วำ่ จะเหลือมำ
ตกถึงน้อง เช่ือพ่ีเถอะขอร้อง ยงั ว่ำงๆ อยู่นะจ๊ำ อ่ะเธอก็ว่ำงอยู่ใช่ไหม รู้หรอกช่วยว่ำงๆ
หน่อยเหอะนำ
เพรำะฉน
ยงั วำ่ ง ถำ้ เธอก็วำ่ งอยำ่ มำ อยำ่ มว
แค่มอง มำมำมำลองกน
สักที จด
จ่ำดำดีดด
มำจดกน
ไหม ใจยงั วำ่ งจด
จดจ่ำดำดีดด
จะจด
ใหน
ะ ถำ้ เธอวำ่ งอยู่ จด
จ่ำดำดีดด มำ
จดกน
ไป แบบไม่ข้ีตู่ จด
จ่ำดำดีดด
จะเอำควำมรัก จด
หนก
ใหร้ ู้ โออ
ยำกชวนนวลละนอ
ง มำ
ไวเ้ ป็ นคู่ครอง โอถ
ำ้ พ่ียงั โสดนะ ก็อำจจะทดลอง โออ
ยำกบอกนวลละนอ
ง พี่ไม่มีเจำ้ ของ
อยำ่ งพ่ีไม่อยำกจะเชื่อ วำ่ จะเหลือมำตกถึงนอ
ง เชื่อพ่ีเถอะขอร้อง ยงั วำ่ งๆ อยูน
ะจ๊ำ อ่ะเธอก
วำ่ งอยใู่ ช่ไหม รู้หรอก ช่วยวำ่ งๆ หน่อยเหอะนำ
เพรำะฉน
ยงั วำ่ ง ถำ้ เธอก็วำ่ งอยำ่ มำ อยำ่ มว
แค่มอง มำมำมำลองกน
สักที จด
จ่ำดำดีดด
มำจดกน
ไหม ใจยงั วำ่ งจด
จดจ่ำดำดีดด
จะจดให
นะ ถำ้ เธอวำ่ งอยู่ จด
จ่ำดำดีดด
มำจดกน
ไป แบบไม่ข้ีตู่ จด
จ่ำดำดีดด
จะเอำควำมรัก จด
หนก
ใหร้ ู้ ยงั วำ่ งๆ อยนู
ะจำ
อ่ะเธอก็วำ่ งอยใู่ ช่ไหม รู้หรอก ช่วยวำ่ งๆ หน่อยเหอะนำ
เพรำะฉนยง
วำ่ ง ถำ้ เธอก็วำ่ งอยำ่ มำ อยำ่ มว
แค่มอง มำมำมำลองกน
สักที
88
88
ตารางที่ 4.4 กำรวเิ ครำะห์สัญญะของกำรเล่ำเรื่องในเพลงยงั วำ่ ง
องค์ประกอบการเล่าเรื่อง | รูปสัญญะ (Signifier) | ความหมายสัญญะ (Signified) | มายาคติ (Myth) |
1) โครงเรื่อง (Plot) | |||
1.1) ข้นั เริ่มเร่ือง (Exposition) | ยงั วำ่ งวำ่ งอยนู่ ะจำ๊ | ยงั โสดอยู่ | สถำนะโสดคือยงั ไม่มีแฟน อำจอยู่ ในช่วงท่ีไม่มีคนคุยดว้ ย หรืออำจจะมี คนคุยดว้ ยแต่ยงั ไม่ตกลงสถำนะที่จะ เป็ นแฟนกนั (คำ˚ วำ่ “นะจำ๊ ” ใหอ้ ำรมณ์ ออดออ้ นแกมเจำ้ ชู้ บ่งบอกถึงควำม กะล่อนของผชู้ ำย) |
ทำ˚ ไมทำ˚ ไมชอบคิดกนั วำ่ ฉนั ไม่วำ่ ง เสมอ | คนส่วนใหญ่ชอบชอบมองวำ่ บุคคลที่มีลกษณะออดออ้ น แกมเจำ้ ชูจ้ ะไม่โสด | กำรท่ีคนส่วนใหญ่มองวำ่ คนๆหน่ึงไม่ โสดน้นั อำจเป็ นเพรำะ 1) คนๆน้นั มี รูปร่ำงหนำ้ ตำหรือบุคลิกภำพที่ดี ทำ˚ ให้ เป็ นที่หมำยปองของใครหลำยคน 2) มี คนคุยดวยเยอะ 3) ชอบไปไหนมำไหน กบั ใครสักคนที่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ เพื่อน 4) ลกษณะกำรพูดออดออ้ นแกม เจำชู้ |